ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 461 : ผลกำไรที่ไม่คาดคิด
ตอนที่ 461 : ผลกำไรที่ไม่คาดคิด
ฝางมู่และคนอื่นๆไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ชัดแล้วว่าเขามีโอกาสที่จะหลบหนีไปได้ แต่ทำไมเขาถึงได้ยอมแพ้ ?
ทำไมเขาถึงไม่ต้านทาน ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาได้ฆ่าชายลึกลับคนนี้ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ขอบคุณพวกเขา? ทำไมชายลึกลับถึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมาในตอนที่จะตาย ?
พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าชายลึกลับนี้ปกปิดความลับเอาไว้
ไม่วาจะเป็นรูปร่างที่แปลกประหลาดและพฤติกรรมที่บ้าคลั่ง มันก็พิสูจน์ได้ว่ามีความลับซ่อนอยู่
การที่ชายลึกลับตายไป และเมืองจูอันที่ถูกทำลายไปจนไม่มีใครเหลือรอดนั้น แม้ว่าพวกเขาต้องการจะตรวจสอบเรื่องนี้แต่ก็ไม่อาจจะหาข้อมูลอะไรได้
“รูปร่างเหมือนสัตว์อสูร แต่ลมปราณของมนุษย์ พวกเจ้าเคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนหรือไม่?” ลั่วซู่หยางมองไปที่ร่างของชายลึกลับและถามคนรอบๆ
ทุกคนต่างก็พากันส่ายหน้า แม้แต่ฝางมู่ก็ยังสับสน
เรื่องประหลาดแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของทวีปป่า
รูปร่างที่เหมือนกับมนุษย์แต่มีพลังของมังกรนั้นปรากฏขึ้นมาแล้ว ในจักรวรรดิฉินก็มีคนแบบนั้น แต่รูปร่างที่เหมือนกับสัตว์อสูรแต่มีพลังของมนุษย์ ทุกคนต่างก็มั่นใจว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
หยางเพ้ยอันพูดขึ้นมา “เขาบอกว่า เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนี้ก็เพราะราชวงศ์หมิง….มันเป็นเหตุผลที่เขาเข่นฆ่าพวกราชวงศ์หมิงรึ?”
“มันบ่งบอกได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์หมิง” ลั่วซู่หยางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จากข้อมูลพวกนี้พวกเขารู้สึกว่าชายลึกลับนี้ไม่ใช่คนบ้า เพราะคำพูดและการกระทำเขาดูปกติ คำพูดเขาฟังดูมีเหตุผล หากมันไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษแล้วเขาจะทำลายราชวงศ์หมิงทำไม?
ลั่วซู่หยางหันกลับไปมองที่หนี่จี่เทียน “เจ้ารู้จักเขามาหลายปี เจ้าน่าจะรู้อะไรบางอย่างบ้าง?”
เมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่เขา หนี่จี่เทียนก็ยิ้มออกมา “ข้ารู้จักปิศาจเฒ่ามาหลายปีแต่ข้าไม่ได้สนิทอะไรกับเขามากนัก เขาไม่เคยบอกข้อมูลเรื่องนี้กับข้า ข้าเคยถามเขาอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็อารมณ์รุนแรงขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาโมโห ข้าจึงไม่เคยถามคำถามนี้อีก” เขาเงียบไปชั่วครู่และพูดต่อ “ข้ารู้แค่ว่าสภาพภายนอกของเขาเกิดขึ้นเพราะราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่คล้ายๆกับเขาก็น่าจะมีมากกว่าหนึ่งคน แต่เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด กระทั่งผู้เฒ่าของของราชวงศ์หมิงก็ไม่อาจจะจัดการเขาได้ ไม่งั้นแล้วเขาคงไม่มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ และทำลายราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ”
ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน
“เจ้ามั่นใจหรือว่ามีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่อีก?” ลั่วซู่หยางคิ้วขมวด
“ข้ามั่นใจ” หนี่จี่เทียนพยักหน้าและพูดขึ้น “เพราะข้าเคยเห็นคนสองคนมาหาเขาเหมือนจะมาขอให้เขาทำบางอย่าง โดยที่หนึ่งในนั้นเองก็เหมือนกับเขา แต่คนคนนั้นไม่ได้มีหางและเขาที่หัว หากไม่ใช่พราะหนึ่งในนั้นโดนหนามข่วนจนเผยให้เห็นแขนที่เต็มไปด้วยเกล็ด ข้าก็คงคิดว่าเขาเป็นมนุษย์ปกติ สำหรับอีกคนแล้วน่าจะเป็นผู้ติดตามซึ่งดูเหมือนมนุษย์ปกติ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างก็พากันเงียบไป
คนแบบนั้นแม้ว่าจะถือว่าเป็นคน แต่ก็ไม่มีใครแยกแยะความต่างจากคนธรรมดาได้
เรื่องที่น่ากังวลที่สุดก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีคนแบบนั้นปรากฏตัวขึ้นมามากเท่าไหร่ในอนาคต และจะทำเหมือนกับชายลึกลับทำหรือเปล่า แม้ว่าจะมีมนุษย์อยู่มากมายแต่หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำๆ สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องสูญพันธุ์ไป
นี่คือเรื่องที่ไม่มั่นคง !
มันไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะระเบิดออกมาตอนไหน !
“เจ้าต้องหาสองคนนั่นให้เจอ” ฝางมู่แสดงสีหน้าจริงจังและพูดขึ้นมา “ราชวงศ์หมิงถูกทำลายไปแล้วและเมืองจูอันก็ถูกทำลายไปด้วย สองคนนั่นเป็นเบาะแสเดียวที่เรามีในตอนนี้! หากหาสองคนนั้นเจอ ก็จะไขเบาะแสของราชวงส์หมิงได้และรู้เหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงได้กลายเป็นสัตว์ประหลาด!”
นี่อาจจะถือว่าเป็นข่าวร้ายแต่ก็ถือว่าเป็นข่าวดีได้เช่นกัน
ตราบใดที่หาสองคนนั้นเจอ ปัญหาหลายๆอย่างก็จะได้รับการแก้ไข
หยางเพ้ยอันบอกกับหนี่จี่เทียน “สองคนนั่นหน้าตาเป็นยังไง ? เจ้าให้เราดูที!”
สุดท้ายหนี่จี่เทียนก็ไม่กล้าปฏิเสธ เขาควบคุมปราณและสร้างหน้าตาของทั้งสองขึ้นมา
ทุกคนมองไปที่สองคนนั่นและเหม่อไปเล็กน้อย
หลังจากที่เห็นหน้าตาของสองคนนั่นแล้ว ลั่วซู่หยาง,หยางเพ้ยอัน,ชุยเจี่ยนและหงจินเป่าต่างก็หน้าถอดสี พวกเขาแสดงความตื่นตะลึงออกมา
“มีอะไรรึ?” ฝางมู่เห็นท่าทีประหลาดของทั้งสี่คน เขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “พวกเจ้าเคยเห็นสองคนนี่รึ?”
หนี่จี่เทียนเองก็มองไปยังทั้งสี่ด้วยความสงสัย สีหน้าของคนพวกนี้ประหลาดอย่างมาก
เมื่อมองหน้ากัน ทั้งสี่คนก็พบความกังวลในสายตาของอีกฝ่าย
ถูกต้องแล้ว ความกังวล !
พวกเขาไม่คิดว่าคนที่พวกเขาตามหามานานโดยที่ไม่มีเบาะแสะอะไร กลับจะปรากฏตัวขึ้นในสถานการณ์แบบนี้
“เราไม่เคยเจอพวกเขา แต่เราเคยเห็นพวกเขามาก่อน” ลั่วซู่หยางสงบสติอารมณ์และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เรารู้จักสองคนนี้ คนหนึ่งคือตู้รั่วหยุน อีกคนคือหลินไห่หยา สัตว์ประหลาดที่เจ้าพูดถึงก็คือตู้รั่วหยุน”
หยางเพ้ยอันพยักหน้า “อันที่จริงแล้วเราได้ส่งคนไปตามหาสองคนนี้มาเกือบจะครึ่งเดือนแล้ว แต่โชคร้ายที่สองคนนี้ซ่อนตัวได้เก่ง เราตามหาพวกเขามานานแต่กลับไม่ได้เบาะแสใดๆเลย ข้าไม่คิดว่าสัตว์ประหลาดที่เจ้าพูดถึงจะเป็นพวกเขา”
ทั้งสี่คนพากันตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขารู้สึกว่าเข้าใกล้การก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนไปได้อีกก้าว
ชุยเจี่ยนมองไปที่หนี่จี่เทียนแล้วรีบถามขึ้นมา “เจ้าเห็นพวกเขาตอนไหนกัน ? เจ้าเห็นพวกเขาที่ไหน?”
หนี่จี่เทียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและพูดขึ้น “ไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนว่าจะเป็น 4 วัน ไม่สิ 3 วัน ใช่ 3 วันก่อน ตอนที่ปิศาจเฒ่ามายืมหินต้องสาปของข้า ข้ากังวลจนตามเขามาด้วย หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าเขาต้องการจะศึกษาการทำงานของหินต้องสาปจริงๆ ข้าก็คิดจะกลับ ตอนนี้เองที่สองคนนั้นมาหาเขา”
3 วันก่อน ตำแหน่งคือที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้
“ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาล่ะ?” หยางเพ้ยอันถามขึ้นมา
“ขอบเขตหลิงซวนขั้นสูงกับขอบเขตว่อซวนขั้นกลาง” หนี่จี่เทียนตอบกลับอย่างมั่นใจ
หยางเพ้ยอันดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “3 วันก่อน ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกเขาแล้ว….แม้ว่าพวกเขาจะบินกันทั้งคืน แต่ก็ต้องอยู่ในเขตใต้อยู่ ! ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเราตามหาพวกเขาอยู่ บางทีพวกนั้นอาจจะยังไม่หนีไปก็ได้!”
ลั่วซู่หยางพูดขึ้นมา “ข้าจะปิดเขตใต้เอาไว้ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร ข้าต้องหาตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยาให้ได้!”
คนที่น่าจะดีใจที่สุดคือหงจินเป่า เขารับหน้าที่ดูแลภารกิจนี้ ตอนนี้เมื่อทั้งสองอยู่ในเขตใต้ ความกดดันที่เขาได้รับก็ลดลงไปอย่างมาก ตราบใดที่ปิดเขตใต้เอาไว้….พวกเขาก็จะเจอตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยาในไม่ช้า บอกได้ว่าทั้งสองคนนั้นตกอยู่ในร่างแหที่รอวันโดนจับ
“ข้าจะจัดการเอง ไปเจอกันที่เมืองกวนหยาง” ก่อนที่คนอื่นๆจะได้สติ หงจินเป่าก็ได้หายไปทันที
ไม่ใช่แค่หงจินเป่า แม้แต่ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆก็อยากจะออกจากที่นั่น พวกเขาอยากจะหาสองคนนั้นให้เจอ
เมื่อเห็นว่าหงจินเป่าจากไปอย่างรวดเร็ว ฝางมู่ก็แปลกในขึ้นมา “รีบขนาดนี้เลยรึ?”
สามคนที่เหลือไม่อาจจะหุบยิ้มได้ ในที่สุดพวกเขาก็รู้ตำแหน่งของตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยา พวกเขาจะไม่กังวลได้ยังไง ? ก็ตามที่เจ้าสำนักบอกมา สองคนนั้นเจ้าเล่ห์อย่างมากหากพวกเขาประมาท พวกนั้นอาจจะหนีไปได้ แต่เมื่อทั้งสองยังอยู่ในเขตใต้ แม้ว่าต้องขุดดินลึกขนาดไหน พวกเขาก็จะหาสองคนนั่นให้เจอ !
“ลั่วซู่หยางเจ้าบอกข้าทีว่าพวกนั้นเป็นใครกัน?” ฝางมู่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ขอบเขตหลิงซวนกับขอบเขตว่อซวน มันคุ้มค่ารึที่ยอดฝีมือระดับสูงจะลงมือด้วยตัวเอง ?”
เขาจำได้ว่า ก่อนที่ทั้งสี่คนจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดนั้นคือตู้รั่วหยุน ทั้งสี่คนไม่ได้มีท่าทีแบบนี้
ลั่วซู่หยางลังเล เขามองไปที่ชุยเจี่ยนและหยางเพ้ยอัน ก่อนจะปรึกษากับทั้งคู่
“ทุกคนจะรู้เองในไม่ช้า ไม่จำเป็นต้องปิดบัง” หยางเพ้ยอันครุ่นคิดและส่งข้อความกลับ “แต่เรื่องเกี่ยวกับที่เจ้าสำนักรับปากเอาไว้ไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
สิ่งที่เจ้าสำนักรับปากไว้ หยางเพ้ยอันให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก ลั่วซู่หยางและชุยเจี่ยนต่างก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เพราะเรื่องนี้พวกเขาเองก็อยากปิดมันเป็นความลับ
ชุยเจี่ยนส่งข้อความตอบกลับ “เจ้าควรเผยข้อมูลของเจ้าสำนักบางส่วน แต่เรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูด ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้ดีอยู่แล้ว ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเพ้ยอันและชุยเจี่ยน ลั่วซู่หยางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาหันไปหาฝางมู่และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงแล้ว คนที่อยากตามหาสองคนนี้ไม่ใช่เราแต่เป็นเจ้าสำนัก เราแค่ทำตามที่เจ้าสำนักบอกมา” ตอนที่พูดนั้นเขาคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆแล้วขบคิดก่อนจะพูดต่อ “บางทีเจ้าสำนักอาจจะเห็นมานานแล้วว่าสองคนนี้ผิดปกติ หรืออาจจะรู้ความลับนี้จึงให้พวกเราแอบตามหาสองคนนี้”
“เจ้าสำนัก?” ฝางมู่มองไปที่ลั่วซู่หยางด้วยความแปลกใจ เรื่องแบบนี้ยังมีคนสั่งให้เหล่าเซียนทำได้ด้วยรึ ?
ฝางมู่คิด “งั้นเจ้าสำนักอาจจะรู้ถึงปัญหาของสองคนนี้”
หนี่จี่เทียนเองแอบเดาตัวตนของเจ้าสำนัก ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ท่านบอกว่าหากข้าพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่เมืองจูอันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ท่านจะปล่อยข้าไป ตอนนี้คนร้ายตัวจริงก็ตายไปแล้ว และท่านก็มีคนร้ายคนอื่นอีก ข้าไปได้หรือยัง?”
การอยู่กับเหล่าเซียนต่อทำให้เขากดดันเป็นอย่างมาก และมันอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ ความหวังเพียงอย่างเดียวของเขาคือออกจากที่นี่ให้เร็วและไกลที่สุดเท่าที่ทำได้