ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 462 : ครึ่งเดือน (I)
ตอนที่ 462 : ครึ่งเดือน (I)
“ปล่อยรึ?” ลั่วซู่หยางพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “เจ้ายังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าบริสุทธิ์ เจ้าจะไปไหนได้?”
ปรมาจารย์ใช้คำสาป 6 ดาว คือองค์ประกอบที่ไม่มั่นคงที่สุดสำหรับทวีปป่า อันตรายยิ่งกว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นต่ำหลายคนรวมกัน ไม่แน่ว่ามันอาจจะอันตรายยิ่งกว่าพวกระดับสูงสุดขั้นสูงสุดด้วยซ้ำ แล้วลั่วซู่หยางจะปล่อยอีกฝ่ายไปได้ยังไง ?
ชุยเจี่ยนและหยางเพ้ยอันเหมือนจะเห็นด้วยกับลั่วซู่หยาง พวกเขาไม่คิดที่จะปล่อยตัวหนี่จี่เทียนไป
“ตอนแรกท่านไม่ได้บอกแบบนี้!” หนี่จี่เทียนสีหน้าเปลี่ยนไปและมองไปที่ลั่วซู่หยางด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ลั่วซู่หยางยิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวลไป เราไม่ได้มีแผนจะทำอะไรเจ้า แค่ให้เจ้าไปพบกับเจ้าสำนักกับเรา เจ้าจะได้อยู่ต่อหรือไปก็ขึ้นอยู่กับเจ้าสำนัก”
หยางเพ้ยอันคิดสักพักก่อนจะตาเป็นประกายขึ้นมา “ใช่ เรื่องนี้ควรให้เจ้าสำนักตัดสิน”
“เจ้าสำนัก?” หนี่จี่เทียนเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสำนักที่พูดถึงเป็นใคร ทำไมต้องให้เขาตัดสินด้วย?”
ลั่วซู่หยางยิ้มอกมา “งั้นเจ้าก็ไม่ควรจะบ่น นอกซะจากว่าเจ้าต้องการจะสู้กับเรา หากเจ้าเอาชนะเราได้ มันก็ไม่มีใครห้ามอะไรเจ้าได้”
สู้กับยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งห้าคนรึ ?
หนี่จี่เทียนกรอกตาใส่ เขายังไม่อยากตาย !
“ได้ ข้าจะไปเจอกับเจ้าสำนัก แต่ท่านต้องบอกข้าก่อนว่าเจ้าสำนักเป็นใครกัน?” สุดท้ายเขาก็ได้แต่กัดฟันยอมรับ
ลั่วซู่หยางพูดขึ้นมา “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่รึ? เจ้าสำนักก็คือเจ้าสำนักของสำนักคังเฉียง ! ”
หนี่จี่เทียนกัดฟันแน่น “เขาชื่ออะไร? ระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับไหน? เขาอยู่ที่ไหน?”
“ชื่อเขานั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” ลั่วซู่หยางพูดขึ้นด้วยท่าทีเฉยเมย “ส่วนระดับการบ่มเพาะของเขา ข้าเองก็ไม่รู้ สำหรับว่าเขาอยู่ที่ไหนนั้น ในไม่ช้าเราจะพาเจ้าไปที่นั่น ในอนาคตเจ้าจะรู้เอง ”
หนี่จี่เทียนเบะปาก “แล้วมันต่างจากการที่ไม่พูดยังไงกัน?”
ฝางมู่ที่อยู่ข้างๆตาเป็นประกายขึ้นมา “ข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
สำหรับตัวตนลึกลับอย่างเจ้าสำนัก ฝางมู่นั้นสงสัยในตัวอีกฝ่ายอย่างมาก เขาคิดว่าเขาคงมีโอกาสพบกับสำนักคังเฉียง หากต้องรออีกสักเดือน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีโอกาสได้พบกับเจ้าสำนักล่วงหน้า
ลั่วซู่หยางมองไปที่หยางเพ้ยอันและชุยเจี่ยน ก่อนจะพูดคุยกันแบบลับๆ “พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”
เพราะได้อยู่ด้วยกันมาสักพัก พวกเขาจึงเป็นมิตรต่อกันมากขึ้นเล็กน้อย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาไว้ใจในตัวฝางมู่มากขึ้นไปด้วย
“ยังไงซะเขาก็ต้องเจอกับเจ้าสำนักในไม่ช้า เร็วกว่าเดิมคงไม่เป็นอะไร” ชุยเจี่ยนพยักหน้า
เมื่อ่ได้ยินแบบนั้น ลั่วซู่หยางก็ตัดสินใจทันที เขามองไปที่ฝางมู่และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ข้าพาท่านไปด้วยได้ แต่ท่านอย่าลืมสัญญาที่เราตกลงกันไว้”
ฝางมู่พยักหน้า “ไม่ต้องกังวล ข้ารับปากอะไรแล้วไม่เคยผิดคำพูด”
“งั้นก็ดี ไปกันเถอะ” ลั่วซู่หยางเตือนหนี่จี่เทียนอีกครั้ง “เจ้าควรทำตัวดีๆ ไม่งั้นแล้วไม่ต้องถึงมือเจ้าสำนัก เราก็จัดการเจ้าได้” ปรมาจารย์ใช้คำสาป 6 ดาวใช่ว่าจะเมินเฉยกันได้ง่ายๆ
หนี่จี่เทียนเบะปาก “ท่านเห็นว่าข้าโง่รึไง ? ข้าจะสร้างปัญหาในเวลาแบบนี้ได้ยังไง?”
ใจเขาหล่นวูบ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย เขาแค่มาตรวจสอบเมืองจูอัน แต่กลับมาพบกับเหล่าเซียน นี่ถือว่าเป็นโชคร้ายที่สุดในชีวิตของเขา !
“ไปกันตอนนี้เลยรึ?” ฝางมู่แปลกใจนิดๆ
“ใช่ เราเพิ่งได้ข้อมูลเกี่ยวกับตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยา เราควรรายงานเรื่องนี้กับเจ้าสำนัก” ลั่วซู่หยางพยักหน้า “เจ้าสำนักให้ความสนใจกับสองคนนี้อย่างมาก เพราะแบบนั้นเราควรรายงานเรื่องนี้ให้เจ้าสำนักรู้โดยเร็วที่สุด”
เพราะคำตอบแบบนี้จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไรต่อ
ลั่วซู่หยางได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบก็เกิดการผันผวนของมิติรอบตัวลั่วซู่หยาง จากนั้นร่างของเขาก็เหมือนแตกออกเป็นชิ้นๆ และไม่นานก็หายไปปรากฏตัวขึ้นที่จุดห่างจากเดิมไปหลายพันไมล์
ฝางมู่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารีบตามลั่วซู่หยางไปทันที เมื่อเขาคิดว่าตนเองจะได้พบกับเจ้าสำนัก ฝางมู่ก็แทบอดทนรอไม่ไหว
ชุยเจี่ยนและหยางเพ้ยอันมองไปที่หนี่จี่เทียน ก่อนจะบอกบางอย่างผ่านสายตา
หนี่จี่เทียนพูดขึ้นมาช้าๆ “มองข้าทำไม ? ข้าไม่หนีหรอก….”
หลังจากที่ยืนยันได้ว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะหนีได้ หนี่จี่เทียนจึงเคลื่อนย้ายไปตามลั่วซู่หยางและฝางมู่ ปากเขาพึมพำออกมา “เฮ้อ ความเชื่อใจของคนเราหายไปไหนกันหมด?”
หลังจากที่รอให้หนี่จี่เทียนตามสองคนแรกไป ชุยเจี่ยนและหยางเพ้ยอันก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะตามไป พวกเขารอเผื่อว่าหนี่จี่เทียนคิดจะหนี
สันเขาทางใต้ห่างจากเขตเหนือ 10 ล้านลี้ มันต้องใช้เวลานานกว่าจะเดินทางไปถึงที่หมาย
โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาไปตรวจสอบอะไรระหว่างทาง ตราบใดที่ใช้เคลื่อนย้ายพริบตาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็สามารถเดินทางต่อไปได้ด้วยพลังวิญญาณที่พวกเขามี
กว่าครึ่งวันต่อมาทุกคนก็ได้มาถึงที่อาณาเขตของอาณาจักรโจว เมื่อใช้เคลื่อนย้ายพริบตาอีกครั้งพวกเขาก็มาถึงภูเขาร้าง
“เรามาถึงแล้วรึ?” ลั่วซู่หยางหยุดก่อนที่ฝางมู่จะปรากฏตัวขึ้นตามมา เมื่อเห็นว่าลั่วซู่หยางไม่ได้เดินทางต่อ ฝางมู่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ลั่วซู่หยางพยักหน้า “ใช่”
ฝางมู่มองไปรอบๆและแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา “เจ้าสำนัก…อยู่ในที่ห่างไกลแบบนี้น่ะรึ ?”
หากเทียบกับหลิงชี่ที่หนาแน่นในเขตกลางแล้ว เขตเหนือนี้ถือว่าเป็นที่ห่างไกลและแร้นแค้น อาณาจักรโจวคือที่ที่ล้าหลังที่สุดในเขตเหนือ มันยากที่จะคิดได้ว่าที่แบบนี้จะมียอดฝีมือลึกลับอยู่
“ภูเขาแห่งนี้ไม่ได้สูงส่งแต่กลับวิเศษ น้ำที่ไม่ได้ลึกแต่กลับมีมังกร” ลั่วซู่หยางยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านไม่รู้สึกหรือว่ายิ่งเข้าใกล้ที่นี่เท่าไหร่ หลิงชี่ก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น?”
ฝางมู่ลองตรวจสอบดูก่อนจะพยักหน้า “จริง หลิงชี่ธาตุที่นี่หนาแน่นจริงๆ โดยเฉพาะรอบๆภูเขา หลิงชี่ที่นี่แทบไม่ได้น้อยไปกว่าที่เขตกลางด้วยซ้ำ” เมื่อคิดถึงเจ้าสำนักที่ลึกลับ ฝางมู่ก็ไม่ได้แปลกใจ บางทีสำหรับยอดฝีมือแล้ว การเปลี่ยนภูมิประเทศในที่หนึ่งๆคงไม่ใช่เรื่องยาก
ลั่วซู่หยางพูดขึ้นมา “เมืองแห่งนี้คือเมืองทะเลทราย ภูเขาลูกนี้คือภูเขาร้าง บนยอดเขามีสำนักคังเฉียงตั้งอยู่ เจ้าสำนักคือเจ้าสำนักของสำนักคังเฉียง”
ตอนนั้นหนี่จี่เทียน,หยางเพ้ยอันและชุยเจี่ยนเองก็มาถึงที่นั่น
เมื่อเห็นพวกนั้นมาถึง ลั่วซู่หยางก็ค่อยๆลงไปที่ทางขึ้นเขา
ลั่วซู่หยางเงยหน้าขึ้นและตะโกนออกมา “ลั่วซู่หยางจากสมาคมนักวางค่ายกล ขอเข้าพบเจ้าสำนัก!”
“ชุยเจี่ยน จากสมาคมนักปรุงยา ขอเข้าพบเจ้าสำนัก!”
“หยางเพ้ยอัน จากพันธมิตรร้อยสำนัก ขอเข้าพบเจ้าสำนัก ! ”
ต่อหน้าเจ้าสำนักแล้ว คนพวกนี้ไม่กล้าจะใช้ตำแหน่งเซียนที่พวกเขาหวงแหนด้วยซ้ำ
…..
ที่ลานในสำนักคังเฉียง
โอวเสินเฟิงกำลังเพ่งสมาธิไปกับการบ่มเพาะและได้ยินเสียงราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นมา เขาถึงกับตื่นขึ้นมา “เซียนค่ายกล, เซียนโอสถและเซียนอักษรรึ ? พวกเขามาทำอะไรที่นี่ ?”
โอวเสินเฟิงลุกขึ้นยืน และมุ่งหน้าไปที่ประตูทางขึ้นเขาทันที
ระหว่างทางจีหลิง,จงเซี่ยวเซี่ยว,คังชือหลินและเทียนเย่ ต่างก็บินออกมาเช่นกัน
“อาจารย์โอว เจ้าสำนักล่ะ?” จีหลิงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เจ้าสำนักออกไปข้างนอกตั้งแต่ 10 วันที่แล้ว” โอวเสินเฟิงส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสำนักอยู่ที่ไหน เขาบอกแค่ประโยคเดียวว่าให้ข้าจัดการเรื่องของสำนัก และจะกลับมาก่อนเปิดเรียน จากนั้นเขาก็หายไป”
แม้จะเป็นเรื่องของเหล่าเซียน แต่สีหน้าของโอวเสินเฟิงก็ยังคงดูปกติโดยไม่มีสีหน้าตกตะลึงเลยแม้แต่น้อย
คนในกลุ่ม จีหลิงยังคงแสดงท่าทีเคารพออกมา เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของโอวเสินเฟิง พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พวกเขาก็พยักหน้าและพูดขึ้น “ขอบคุณมาก อาจารย์โอว” พวกเขากลัวว่าโอวเสินเฟิงจะห้ามไม่ให้พวกเขาไปพบกับเหล่าเซียน แต่ดูเหมือนว่าโอวเสินเฟิงจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นสักพักทั้งห้าคนก็มุ่งหน้ามาที่ทางขึ้นเขา
จีหลิง,คังชือหลินและเทียนเย่แสดงสีหน้าเคารพออกมา “เซียนโอสถ เซียนอักษร !”
ลั่วซู่หยาง,หยางเพ้ยอันและชุยเจี่ยนพากันพยักหน้าให้กับพวกนั้น จากนั้นพวกเขาก็ได้ทักทายโอวเสินเฟิง “อาจารย์โอว!”
สิ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกใจคือ โอวเสินเฟิงที่ตอนแรกมีร่างที่เหมือนกับหมอก แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนมนุษย์จริงๆ เมื่อเห็นแบบนั้นพวกเขาถึงกับสงสัยว่าพวกเขาจำผิดไป
แต่พวกเขามีเรื่องสำคัญอยู่ในหัว และไม่ได้มีเวลามาคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงของโอวเสินเฟิง
ลั่วซู่หยางถามขึ้นมาด้วยความสุภาพ “อาจารย์โอว เจ้าสำนักล่ะ?”
“ขอโทษด้วยแต่เจ้าสำนักไม่อยู่” ท่าทีของโอวเสินเฟิงไม่ได้ถ่อมตัว แต่นั่นไม่ใช่เพราะฐานะที่ต่ำต้อยของเขาหรือความแข็งแกร่งของเหล่าเซียน แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาคือตัวแทนของสำนักคังเฉียง มันเป็นธรรมดาที่เขาไม่อาจจะลดตัวเพื่อทำลายชื่อเสียงของสำนัก เขาไม่อาจจะทำให้สำนักคังเฉียงอับอายได้ “พวกท่านมีธุระอะไรหรือไม่?”
ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆมองหน้ากันก่อนจะลังเลขึ้นมา
“เจ้าสำนักเดาว่าต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน หากพวกท่านมีธุระอะไร พวกท่านบอกข้าได้โดยตรง” โอวเสินเฟิงมองไปที่พวกนั้นและพูดด้วยท่าทีเฉยชา “หากข้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าจะรอให้เจ้าสำนักมาตัดสิน หลังจากที่เข้าใจเรื่องราวแล้วข้าจะได้รายงานกับเจ้าสำนักต่อ”
“ครึ่งเดือน?” ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆพากันสีหน้าหม่นลง ในมุมมองของพวกเขาแล้ว การที่เจ้าสำนักไม่อยู่ตอนนี้ถือว่าเป็นข่าวร้าย
หยางเพ้ยอันถามขึ้นมา “มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะติดต่อเจ้าสำนัก? เรามีเรื่องสำคัญต้องรายงาน!” เขาอยากที่จะรายงานเรื่องนี้ เขาหวังว่าโอวเสินเฟิงจะมีหนทางแก้ไขได้
โอวเสินเฟิงเงียบไปก่อนจะส่ายหน้า “ขอโทษด้วย เจ้าสำนัก…ไม่น่าจะอยู่บนเขาและไม่ได้อยู่เขตเหนือด้วยซ้ำ…ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสำนักไปที่ไหน แม้แต่ข้าเองก็ไม่มีทางที่จะติดต่อเจ้าสำนัก”
เขาคิ้วขมวด “มีเรื่องอะไรสำคัญรึ ? หรือให้ข้าไปหาอาจารย์เฉิน ด้วยความแข็งแกร่งของเขาแล้ว มันไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่เขาไม่อาจจะจัดการได้”
อาจารย์เฉินที่ว่าคือราชาสัตว์อสูร ลั่วซู่หยางได้เห็นการทะลวงผ่านของเฉินกูด้วยตาของตัวเอง
แต่…นี่คือเรื่องภายในของมนุษย์ พวกเขาจะให้เฉินกูเข้ามาเกี่ยวได้ยังไง ?
มันเป็นเรื่องตลกรึ ?
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเรื่องตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยาแล้ว มันก็เหมือนว่ามีแค่เจ้าสำนักเท่านั้นที่จะจัดการได้
ลั่วซู่หยาง,หยางเพ้ยอันและชุยเจี่ยนมองหน้ากัน และอดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา “เจ้าสำนักไม่อยู่ที่นี่ เราควรทำยังไงกันดี ? ”