ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 469 : สิ่งที่คิดและความเป็นจริง
ตอนที่ 469 : สิ่งที่คิดและความเป็นจริง
เซิงเป่ยซิ่วที่กำลังโจมตีภาพลวงตาอย่างบ้าคลั่ง ก็ได้สติมาหลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนของเฉินกู
เขาหยุดและมองไปที่เฉินกูด้วยท่าทีระวัง ดวงตาของเขาบิดเบี้ยวไป “ปราณสัตว์อสูรที่น่าทึ่ง…เจ้าคือราชาสัตว์อสูรรึ?”
หากมองทั้งทวีปป่า นอกจากราชาสัตว์อสูรแล้วจะมีใครบ้าง ที่มีปราณสัตว์อสูรที่น่ากลัวแบบนี้ได้?
“เจ้า…ลงมือกับศิษย์ข้ารึ ? ” เฉินกูมองไปที่เซิงเป่ยซิ่ว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซิงเป่ยซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เขาจำได้ว่าไป่หลิงเคยบอกว่านางเป็นศิษย์สายตรงของราชาสัตว์อสูร เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง !
ต่อหน้าราชาสัตว์อสูรแล้ว แม้ว่าเซิงเป่ยซิ่วจะหวั่นเกรงในใจ แต่เขาไม่ได้กลัวอีกฝ่าย !
เขาเงียบอยู่สักพักและพูดขึ้นมา “ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่านางเป็นศิษย์ของเจ้า” นี่ก็แค่คำขอโทษผ่านๆ เขาถึงกับยิ้มออกมา “เมื่อนางเป็นศิษย์ของเจ้า งั้นข้าจะไว้หน้าเจ้าสักครั้งและไม่สนใจนาง แต่เจ้าไม่อาจจะหยุดข้าจากการทำลายเผ่าจิ้งจอกได้”
ในความเห็นของเขาแล้ว หากเขาต้องการฆ่าไป่หลิง แม้แต่เฉินกูก็ไม่อาจะหยุดเขาได้
ทั้งสองต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด เขาน่าจะรับมือราชาสัตว์อสูรได้
“ต่อหน้าข้าแล้วเจ้ายังอยากทำลายเผ่าจิ้งจอกอยู่อีกรึ?” เฉินกูหัวเราะออกมาเพราะความโกรธ สายตาของเขากลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม อุณหภูมิสายรอบลดลงอย่างเฉียบพลัน “ใครกันที่มอบความกล้านี้ให้กับเจ้า?”
เซิงเป่ยซิ่วสีหน้าหมองลง “ราชาสัตว์อสูร อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ!”
เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าปล่อยนางไปก็เพราะเห็นแก่หน้าของเจ้า อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้า!”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาคิดว่าตัวเองอยู่ระดับเดียวกับเฉินกู เขาไม่ได้รู้สึกว่าเฉินกูน่ากลัวจนทำให้เขากังวล เขาถึงกับกล้าท้าทายเฉินกู มันยังไม่อาจจะตัดสินได้ในตอนนี้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ !
“เห็นแก่หน้าข้า?” เฉินกูหัวเราะออกมา “ทำร้ายศิษย์ข้าและทำลายเผ่าจิ้งจอกที่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าสัตว์อสูร แต่เจ้ากลับกล้าพูดว่าเห็นแก่หน้าข้ารึ …”
ยิ่งเขายิ้มกว้างเท่าไหร่ สายตาเขายิ่งดูเย็นชามากเท่านั้น
เขาจำไม่ได้ว่าไม่ได้โกรธขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่ที่สู้กับเป้ยหลงมาเมื่อ 8,000 ปีก่อน เขาก็ไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เซิงเป่ยซิ่วกลับทำให้เขาโกรธได้สำเร็จ
เขามองไปที่เซิงเป่ยซิ่วสายไม่คิดปิดบังความอาฆาตที่มี ชายตรงหน้าเขาตอนนี้คือคนที่ตายไปแล้วสำหรับเขา
“เจ้ามั่นใจรึว่าอยากเป็นศัตรูกับข้า ? ราชาสัตว์อสูร เจ้าคงไม่อยากให้ตัวเองต้องเสียหน้า!” เซิงเป่ยซิ่วดูมั่นใจอย่างมาก เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับราชาสัตว์อสูรในตำนาน เขาก็ไม่เกรงกลัว “คนอื่นอาจจจะกลัวเจ้า แต่ข้าหากลัวเจ้าไม่ หากข้าแพ้ เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจแต่หากเจ้าแพ้ งั้นอย่าโทษข้ากับการทำลายเผ่าสัตว์อสูร !”
เฉินกูโกรธจัด เซิงเป่ยซิ่วเองก็ไม่พอใจกับท่าทีของเฉินกู เขาพูดขึ้นมาด้วยท่าทีที่โอหัง “เจ้ากับข้าต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสุงสุด มันไม่มีใครเหนือกว่าใคร เจ้ายิ่งใหญ่มาจากไหนถึงได้มายโสต่อหน้าข้า?”
เพื่อเผ่าจิ้งจอกแล้วมันคู่ควรหรือที่จะเป็นศัตรูกับยอดฝีมือระดับสูงสุดอย่างเขา ?
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินกูถึงได้โกรธแบบนี้ ช่างโง่เง่านัก
“ดูเหมือนว่าข้าจะเก็บตัวมานาน จนยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่กล้าที่จะโผล่หัวมาลองดีต่อหน้าข้า…” เฉินกูใจเย็นลง นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่เขาก้าวขึ้นไปยังขั้นสูงสุดได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่เลื่อนขั้นจากนี้ แต่เซิงเป่ยซิ่วก็ไม่ใช่คู่มือของเขา “ข้าจะลองดูว่าเจ้าจะเอาชนะข้ายังไง…”
ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงของมนุษย์ เฉินกูก็ยังไม่กลัว แล้วนับประสาอะไรกับยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางตรงหน้าเขา? หากเขาต้องการฆ่าอีกฝ่าย มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดาย
ใช่ เซิงเป่ยซิ่วเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง แต่กลับกล้าโอหังต่อหน้าเฉินกู
เซิงเป่ยซิ่วไม่เข้าใจว่าเฉินกูพูดอะไร ตอนที่เฉินกูพูดถึงยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูง แต่เขารู้สึกได้ว่าเฉินกูเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา และแสดงสีหน้าเยาะเย้ยออกมา นี่ทำให้เซิงเป่ยซิ่วไม่พอใจ
“กล้าดูถูกข้ารึ?” เซิงเป่ยซิ่วสีหน้าหมองลง
แม้ว่าเขาจะจัดการกับเฉินกูไม่ได้ แต่เซิงเป่ยซิ่วก็มั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจนี้มาจากความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาเคยสู้กับลั่วซู่หยาง ตอนนั้นเขาเป็นยอดฝีมือระดับสูง และสามารถทำให้ลั่วซู่หยางที่เพิ่งขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดบาดเจ็บได้ เพียงแต่เขาไม่ออกมาแสดงตัวกับโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามนุษย์มียอดฝีมือแบบเขาอยู่
หลังจากนั้นก็มียอดฝีมือระดับสูงหน้าใหม่อย่างเซียนโอสถ, เซียนอักษรและเซียนหลอมกำเนิดขึ้นมา ยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าเก่าค่อยๆหายไปทีละคนๆ เหลือแค่เขาที่ยังซ่อนตัวอยู่ในทวีปป่า
เซิงเป่ยซิ่วมองไปที่เฉินกู สายตาของอีกฝ่ายเหมือนกับยั่วยุเขา
“เหล่าเซียนกลับกลัวตายและไม่กล้าจะลงมือกับเจ้า ข้าจะจัดการเจ้าและทำลายภัยที่มีต่อมนุษย์!” เซิงเป่ยซิ่วไม่ได้พึ่งทักษะจี๋อู่เหมือนกับยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ เขาคือยอดฝีมือระดับสูงสุดเก่าแก่ เขาถึงกับเป็นคนแรกในหมู่เซียนที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ เขามีองค์ประกอบทั้งหมด ที่ยอดฝีมือระดับสูงสุดควรจะมีทั้งความกล้าและความแข็งแกร่ง “การที่เจ้ามาเจอข้าวันนี้ถือเป็นโชคร้ายของเจ้า!”
เขาเชื่อว่าพรสวรรค์ของตัวเองไม่ได้ด้อยกว่าเป้ยหลง หากไม่มีเรื่องของลูกชายที่กินเวลาเขาไปหลายปี เขาถึงกับคิดว่าเขาจะขึ้นไปถึงระดับของเป้ยหลงได้
ตอนนั้นเป้ยหลงสามารถจัดการกับราชาสัตว์อสูรจนบาดเจ็บและนั่นก็ยังไม่ใช่จุดที่เป้ยหลงแข็งแกร่งที่สุดด้วย แม้ว่าเขาจะเอาชนะเป้ยหลงไม่ได้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะอ่อนแอกว่าเฉินกู
แน่นอนว่า ทุกคนบอกว่าการกระทำนั้นดีกว่าคำพูด ดังนั้นเซิงเป่ยซิ่วจึงไม่พูดจาไร้สาระและลงมือทันที
เซิงเป่ยซิ่วสะบัดฝ่ามือพร้อมกับมีดาบปรากฏขึ้นมาในมือ ปลายดาบนั้นงอโค้งส่องแสงสีฟ้าออกมา…นี่คือดาบขั้น 6 แม้ว่าจะยังไม่ใส่ปราณลงไป แต่มันก็ยังมีพลังที่น่าทึ่ง หากยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางอย่างเขาใช้มัน มันก็จะแสดงพลังอันน่าทึ่งออกมาได้
“ดาบปฐพี !”
สีหน้าของเซิงเป่ยซิ่วดูเคร่งเครียดขึ้นมา มือทั้งสองข้างกำด้ามดาบเอาไว้ เขาตะโกนออกมาพร้อมกับปราณธาตุดินรอบๆได้เริ่มสั่นไหว ปราณธาตุดินนับไม่ถ้วนได้ก่อตัวขึ้นเป็นวังวนที่มีพลังอันน่ากลัว ก่อนจะไหลเข้ามาในดาบ ซึ่งทำให้มิติรอบๆเริ่มสั่นไหว
เซิงเป่ยซิ่วไม่รอให้เฉินกูได้เตรียมตัว เขาได้ใช้ทักษะดาบของตัวเองฟันออกไปด้วยท่วงท่าเรียบง่าย แต่กลับปลดปล่อยพลังอันน่าทึ่งออกมา
การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือระดับสูงสุดนั้น มันไม่ใช่การวัดกันที่ทักษะโจมตีแต่เป็นการใช้พลังของกฎ พลังที่บริสุทธิ์ที่สุด !
ใครกันที่แข็งแกร่งกว่ากันนั้นตัดสินจากการใช้พลังของกฎ ใครจะชนะหรือแพ้ไม่มีใครตัดสินได้ !
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงได้หยิ่งยโสแบบนี้ เจ้าแข็งแกร่งดีนิ” เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังของอีกฝ่าย เฉินกูก็มองไปที่เซิงเป่ยซิ่วด้วยความแปลกใจ พลังนี้มันใกล้เคียงกับขั้นสูง หากไม่ใช่เพราะการเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นสูงสุด เขาคงไม่กล้าที่จะประมาท เขาต้องทุ่มสุดตัวเพื่อเอาชนะเซิงเป่ยซิ่ว แม้ว่าเขาจะเอาชนะเซิงเป่ยซิ่วได้ แต่เขาก็ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะฆ่าอีกฝ่ายได้
ยังไงซะความสามารถในการเอาตัวรอดของยอดฝีมือระดับสูงสุดนั้นก็น่าทึ่ง นอกซะจากว่าความแข็งแกร่งจะต่างกันอย่างมาก ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าจะฆ่ายอดฝีมือระดับสูงสุดได้
เฉินกูมองไปที่ดาบที่ตัดผ่านเข้ามาอย่างใจเย็น เขาพูดขึ้นด้วยท่าทีเฉยเมย “ แต่ด้วยการโจมตีแบบนี้แล้ว หากเจ้าต้องการจะเอาชนะข้า เจ้าคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของข้าไป ”
ตอนที่ดาบฟันเข้าถึง เฉินกูได้ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปข้างหน้า ปลายนิ้วของเขาได้ระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมา
ตอนนั้น….ลำแสงดาบได้สว่างครอบคลุมไปทั่วทั้งป่า แต่มันกลับแตกสลายราวกับเต้าหู้ ไม่อาจจะทนรับการโจมตีได้ไหว
“อะไรกัน!” เซิงเป่ยซิ่วหรี่ตาลง เขาไม่คิดว่าเขาจะฆ่าเฉินกูได้ด้วยการโจมตีนี้ แต่เขาไม่คิดว่าเฉินกูจะใช้เพียงนิ้วเดียวทำลายการโจมตีของเขา ต้องรู้ก่อนว่าเฉินกูยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา มันเพียงแค่ลำแสงจากปลายนิ้ว แต่กลับทำลายการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาได้ มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว
ต่อมาเฉินกูก็ได้มาปรากฏตัวตรงหน้าเซิงเป่ยซิ่ว
“คุกเข่าลงไป!”
เซิงเป่ยซิ่วยังไม่ทันได้สติ เข่าของเขาก็ถูกกดด้วยแรงมหาศาล ก่อนที่เขาจะพุ่งอัดลงไปกับพื้น
หลุมขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นมาใต้ร่างของเซิงเป่ยซิ่ว
หลุมนี้มีรอยแตกแผ่ออกไปราวกับใยแมงมุม
ในเวลาเดียวกัน ป่าลวงตาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง พลังของการโจมตีนี้เกินกว่าที่ป่าลวงตาจะรับไหว ป่านี้อาจจะพังลงตอนไหนก็ได้
ต้นไม้ลวงตาที่อยู่ใกล้ๆที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอด กลับหักโค่นลงและแตกสลายไป
ทรงพลัง !
ลงมือเพียงครั้งเดียว เฉินกูก็ได้แสดงพลังของยอดฝีมือระดับสูงสุดออกมา !
เซิงเป่ยซิ่วที่ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองสูงส่ง กลับต้องถูกกดลงกับพื้น !
“อ๊ากก!” เซิงเป่ยซิ่วคลั่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ที่หางตามีเลือดไหลออกมาเป็นสาย
เขามั่นใจในตัวเองมาสายตลอด เขาไม่เคยให้ราคาเหล่าเซียนมาก่อน และไม่เห็นหัวเฉินกูเลย แต่ตอนนี้เขากลับถูกเฉินกูบดขยี้ ความโกรธในใจนี้เพียงพอที่จะจินตนาการได้
แต่ก่อนที่เซิงเป่ยซิ่วจะได้ลุกขึ้นนั้น เฉินกูก็ได้ดึงพลังของตัวเองกลับมา ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดขึ้น “ทลาย!” ฝ่ามือของเขากดลงไปที่หัวของเซิงเป่ยซิ่ว กดหัวของอีกฝ่ายลงกับพื้น
ปัง ปัง ปัง !
หัวของเซิงเป่ยซิ่วถูกบดลงกับพื้น พลังอันน่ากลัวส่งผ่านจากหัวไปถึงพื้นจนทำให้พื้นดินยุบลงหลายสิบลี้ เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา
“นี่คือผลจากการที่เจ้าทำร้ายศิษย์ข้า เจ้าไม่ควรโจมตีนาง!” เฉินกูยังคงสีหน้าเฉยชา
หลังจากนั้นเฉินกูก็ปล่อยมือจากหัวอีกฝ่าย
เซิงเป่ยซิ่วคลั่ง ความรู้สึกของการถูกดูหมิ่นนี้ทำให้เขาบ้าคลั่งขึ้นมา
ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยโดนดูถูกแบบนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่ยังไม่ขึ้นมาเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด ก็ไม่เคยมีใครกล้าดูถูกเขา หลังจากที่ขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดแล้ว มันก็ไม่มีใครกล้าทำกับเขาแบบนี้ เขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าตั้งแต่ได้ขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดมาหลายปี หลังจากที่เขามีความแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้ได้ เขากลับจะถูกกดลงกับพื้นราวกับเด็กน้อย !
มันคือการดูหมิ่น !
เขาไม่เคยถูกดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน !
เซิงเป่ยซิ่วต้องการจะลุกขึ้นยืนแต่ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมา ฝ่ามือของเฉินกูก็กดลงที่หัวของเขาอีกครั้ง ภายใต้พลังอันเกินจะรับไหว หัวของเขาก็ถูกกดลงอัดกับพื้นอย่างแรง
“นี่คือผลจากการทำลายเผ่าจิ้งจอก” เฉินกูยังคงสีหน้าเฉยเมย
ตอนนั้นหน้าของเซิงเป่ยซิ่วบิดเบี้ยวพร้อมกับความเจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหว