ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 472 : การสืบทอด
ตอนที่ 472 : การสืบทอด
“อย่าบอกว่าการที่เจ้าสำนักขอให้พวกเราเผยแพร่ทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำออกไปนั้น มันเกี่ยวข้องกับกองกำลังลึกลับงั้นรึ?” ลั่วซู่หยางเกิดความคิดแปลกๆขึ้นมาในหัว เขามองไปที่ฝางมู่และชุยเจี่ยน “เจ้าสำนักรู้เรื่องเกี่ยวกับกองกำลังลึกลับนี้มานานแค่ไหนแล้ว และเขาถึงกับคิดว่าพวกนั้นจะออกมาสร้างความวุ่นวาย เขาทำไปเพราะแบบนั้นจริงๆรึ?”
ชุยเจี่ยนดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “ดูเหมือนว่ามีโอกาสที่จะเป็นแบบนั้น ”
ในมุมมองของพวกเขาแล้ว เจ้าสำนักนั้นไม่อาจจะคาดเดาได้ ทวีปป่านี้กว้างใหญ่ เป็นธรรมดาที่ว่าเจ้าสำนักไม่อาจจะดูแลทั้งหมดได้ แทนที่จะเสียเวลากับกองกำลังลึกลับ มันจะดีกว่าที่จะบ่มเพาะยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่และให้พวกนั้นไปจัดการกับกองกำลังลึกลับแทนเพื่อรักษาสมดุลของทวีป
อย่าโทษว่าพวกนี้เพ้อฝันไป มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ กับการที่จางหยูเพิ่งจะส่งผ่านทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำมาให้กับพวกเขา และกองกำลังลึกลับก็เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ไม่น่าที่จะบังเอิญได้แบบนี้
“หากเจ้าสำนักต้องการทำแบบบนั้นจริงๆ งั้นเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกองกำลังลึกลับมากนัก” ลั่วซู่หยางรู้สึกโล่งอกขึ้นมา “คนที่ถูกเจ้าสำนักจับตามองนั้นไม่มีจุดจบดีๆเลยสักคน”
สิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดคือเจ้าสำนักไม่รู้ถึงการมีอยู่ของกองกำลังลึกลับ แต่ตอนนี้เมื่อเจ้าสำนักเหมือนจะรู้เรื่องกองกำลังลึกลับอยู่แล้ว และไม่มีทางปล่อยให้กองกำลังลึกลับนี้ได้พัฒนาต่อ บางทีเจ้าสำนักอาจจะสู้กับกองกำลังลึกลับนี้อยู่แบบลับๆก็ได้
ชุยเจี่ยนเผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมา “ใช่ เราแค่ต้องทำภารกิจที่เจ้าสำนักมอบหมายมาให้สำเร็จ เราไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น การที่มีเจ้าสำนักอยู่ กองกำลังลึกลับก็ไม่อาจจะทำอะไรได้”
เมื่อเป็นเรื่องเจ้าสำนัก ทั้งลั่วซู่หยางและชุยเจี่ยนต่างก็มั่นใจในตัวเขา
มีแค่การเห็นเจ้าสำนักแสดงพลังออกมาถึงจะรู้ได้ว่าเจ้าสำนักแข็งแกร่งแค่ไหน เขาไม่คิดว่ากองกำลังลึกลับจะมาทัดเทียมกับเจ้าสำนักได้ แม้ว่ากองกำลังลึกลับจะมีคนอย่าง เฉินกู,อ้าวคุนและอ้าวเยว่มากกว่าหนึ่งคน แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังคงน่าอนาถอยู่ดี
“เป็นไปไม่ได้!” เซิงเป่ยซิ่วเหมือนจะบ้าคลั่ง เขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ไม่มีใครหยุดคนบ้าเหล่านั้นได้ ! ราชามังกรก็ไม่อาจจะทำได้ ! ”
ชุยเจี่ยนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ราชามังกรรึ ? ต่อหน้าเจ้าสำนักแล้วราชามังกรก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อย!”
หากอยู่ต่อหน้าราชามังกร เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่เพราะราชามังกรไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เขาจึงไม่สนว่าจะพูดอะไรออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะทำให้อ้าวคุนไม่พอใจ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะต่อหน้าเจ้าสำนักแล้ว ราชามังกรไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย
อ้าวคุน,เฉินกูและอ้าวเยว่ ต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงสุด เฉินกูและอ้าวเยว่ต่างก็ใช้ทักษะศักดิ์สิทธิ์แต่กลับไม่อาจทำลายการป้องกันของเจ้าสำนักได้ นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าสำนักแข็งแกร่งแค่ไหน
“มันมีคนที่แข็งแกร่งกว่าราชามังกรในโลกนี้อีกรึ? เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้!” เซิงเป่ยซิ่วไม่อาจจะทำใจเชื่อได้
ชุยเจี่ยนมองไปที่เซิงเป่ยซิ่วด้วยสีหน้าไม่พอใจและพูดขึ้น “เจ้าคือคนที่ตายไปแล้ว ทำไมข้าต้องโกหกเจ้าด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นการที่เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีใครสน…”
นี่คือความจริงที่น่าเจ็บปวด
สีหน้าของเซิงเป่ยซิ่วบิดเบี้ยวไป แต่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธความจริงเรื่องนี้ได้
“หากมีความสามารถมากพอก็ฆ่าข้าซะ!” เซิงเป่ยซิ่วกรีดร้องอกมา ความทนทุกข์มาหลายพันปีและการที่ลูกชายของเขากำลังจะตาย ทำให้จิตใจของเขาพังทลายลงไปด้วย ความเจ็บปวดจากก้นบึ้งหัวใจทำให้เขาทรมานอยู่ตลอด เขาอยากจะตายตอนนี้ทันที
“เจ้าสบายใจได้ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ในทางกลับกันแล้วข้าจะให้เจ้ามีชีวิตเป็นอยู่ที่ดี และให้พ่อกับลูกได้กลับมาพบกัน” เฉินกูพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ครอบครัวต้องอบอุ่น หากเจ้าตายไปแล้วลูกชายเจ้าจะเป็นยังไง?”
เซิงเป่ยซิ่วมองไปที่เฉินกูด้วยความกลัว “เจ้ามันปิศาจ!”
เฉินกูฮึดฮัดออกมา “ปิศาจรึ? ลองมองดูจากการที่เจ้าสังหารคนของเผ่าจิ้งจอกไป ใครกันแน่ที่เป็นปิศาจ!”
“ราชาสัตว์อสูร ทำไมต้องไปสนใจเขาด้วย? ตอนนี้รีบไปหาตัวลูกชายเขาจะดีกว่า” ลั่วซู่หยางพูดขึ้นอย่างใจเย็น “เขาไม่คิดจะบอกอะไรไม่ใช่รึ ? ตอนที่หาลูกเขาพบ ข้าอยากเห็นว่าเขาจะยังปากแข็งเหมือนตอนนี้หรือไม่….”
ยังไงซะเขาก็ยังมีหวังที่จะได้ข้อมูลของกองกำลังลึกลับเบื้องหลังเซิงเป่ยซิ่ว หากเขาไม่รู้ข้อมูลนั้น เขาก็ไม่อาจจะทำใจให้สงบได้ มันเหมือนกับมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่อกของเขา
เฉินกูไม่ได้สนใจกองกำลังลึกลับเบื้องหลังของเซิงเป่ยซิ่ว แต่เขาสนใจกับการค้นหาตัวลูกของเซิงเป่ยซิ่ว เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วซู่หยางเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ใช่ เรื่องสำคัญอันดับแรกคือต้องหาตัวลูกชายของเขา!” ตอนที่พูดนั้นเขาก็มองไปที่ไป่หลิง “ศิษย์ข้า สนใจที่จะไปตามหาคนกับอาจารย์หรือไม่?”
“พี่สิบสาม” จิ้งจอกน้อยขอบเขตว่อซวนที่อยู่ด้านหลังไป่หลิงพากันตะโกนออกมา
ไป่หลิงกัดฟันและบอกกับเฉินกู “อาจารย์ ข้าต้องอยู่รับการสืบทอดของผู้อาวุโสจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์!”
นางยังมีบางอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา ซึ่งก็คือ….นางต้องอยู่ดูแลเหล่าจิ้งจอกน้อย ตอนนี้ทั้งภูเขาจิ้งจอกเหลือแค่จิ้งจอกน้อย หากนางไม่ดูแลพวกนี้ งั้นพวกนี้ควรจะไปซ่อนอยู่ที่ไหนกัน ?
“การสืบทอดของจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์รึ?” เฉินกูตาเป็นประกายขึ้นมาและแสดงท่าทีสนใจ “ข้าได้ยินชื่อเสียงของจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว มันคือสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ จิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์คือสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับที่สุด ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าการสืบทอดของมันจะอยู่บนภูเขาจิ้งจอก…”
สุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทุกตัว สุดท้ายจะได้ขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงสุดซึ่งทัดเทียมกับราชามังกร
แม้ว่าเฉินกูจะโชคดีที่ได้ขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงสุด แต่เขาก็ไม่อาจจะดูถูกยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงสุดคนอื่นได้ โดยเฉพาะจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์
“หากเป็นเช่นนั้น งั้นเจ้าก็ไปรับการสืบทอดของจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะคอยคุ้มกันที่นี่ ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า จะไม่มีใครมารบกวนเจ้าในการรับการสืบทอดได้” เฉินกูไม่สบายใจหากต้องปล่อยให้ไป่หลิงรับการสืบทอดเพียงลำพัง เขายังสงสัยเรื่องการสืบทอดของจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์ด้วย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่เพื่อปกป้องไป่หลิง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
“นี่…” ไป่หลิงลังเล “หากท่านจะอยู่แล้วใครจะไปตามหาตัวลูกชายเขา?”
ตอนนั้นลั่วซู่หยางก็เสนอตัวออกมา “ข้าเอง ตอนนี้เจ้าสำนักยังไม่กลับมา เราไม่มีอะไรต้องทำ งั้นเราจะช่วยหาตัวลูกชายของเขา”
“กองกำลังลึกลับนี้อาจจะเป็นภัยต่อมนุษย์อย่างมาก ลูกชายของเซิงเป่ยซิ่วอาจจะเป็นเบาะแสสำคัญ แม้ว่าราชาสัตว์อสูรจะไม่พูดออกมา แต่เป็นธรรมดาที่พวกเราจะต้องหาตัวเขาให้เจอ” ฝางมู่พูดขึ้น ดูเหมือนว่าเขาเองก็กังวล
ชุยเจี่ยนพูดขึ้นต่อ “เพื่อตัวของเราเองแล้ว เราต้องหาตัวชายคนนี้ให้เจอ!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนยืนยันออกมา เฉินกูก็คิดสักพักและพูดขึ้น “ดี เรื่องนี้คงต้องฝากให้พวกเจ้าจัดการ หากหาตัวลูกของเซิงเป่ยซิ่วเจอ ข้าจะถือว่าติดหนี้บุญคุณพวกเจ้า หากมีเรื่องอะไรที่ข้าทำได้ ข้าก็ไม่ปฏิเสธ!”
คำรับปากที่ราชาสัตว์อสูรให้กับมนุษย์นั้นมีค่าไม่อาจจะประเมินได้ !
ลั่วซู่หยาง,ชุยเจี่ยนและฝางมู่ ต่างก็ไม่คิดว่าจะได้คำรับปากเช่นนี้ พวกเขาต่างก็พากันแปลกใจ นี่คือคำรับปากของยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงสุด ! ต้องรู้ก่อนว่าราชาสัตว์อสูรในตอนนี้อยู่ระดับเดียวกับอ้าวคุน! คำรับปากที่เขาให้มานี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคำพูดของอ้าวคุนเลย !
เมื่อได้ยินที่พวกนั้นพูดกันเซิงเป่ยซิ่วก็แทบกระอักเลือดออกมา “แค่ก! ราชาสัตว์อสูร เซียนค่ายกล…พวกบัดซบ !บัดซบ !แม้ว่าข้าจะกลายเป็นผี แต่ข้าก็ไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไป!”
เขาไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้มาก่อน เพื่อที่จะทำลายความเศร้าให้กับลูกของตน เขาจึงทำลายเผ่าจิ้งจอกและหาเรื่องราชาสัตว์อสูร สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความแข็งแกร่งของราชาสัตว์อสูรนั้นสูงกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาไม่อาจจะต้านทานได้เลย ความพยายามหลายพันปีกลับพังทลายลง หากเขารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เขาคงไม่มีทางทำลายเผ่าจิ้งจอก….
โชคร้ายที่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว !
“คนที่จะตายมีอะไรจะพูดอีกรึ?” เฉินกูมองไปที่เซิงเป่ยซิ่ว ปลายนิ้วของเขาก่อเกิดปราณผนึกเพื่อปิดปากเซิงเป่ยซิ่วเอาไว้ “รออยู่นิ่งๆ เมื่อพวกเขาหาลูกชายเจ้าพบ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พูด”
ดวงตาของเซิงเป่ยซิ่วเบิกกว้าง ตาของเขาแดงก่ำพร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวไป
แต่ปากของเขาถูกปิดผนึกเอาไว้ เขาไม่อาจจะพูดออกมาได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว
…..
ไม่นาน ลั่วซู่หยาง,ชุยเจี่ยนและฝางมู่ก็ได้ออกค้นหาเขตโดยรอบภูเขาจิ้งจอก
ไป่หลิงกลับไปที่ถ้ำและเดินไปยังรูปปั้นเทพธิดา รูปปั้นนี้ทำขึ้นมาจากวัสดุที่พิเศษ มันตั้งอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแต่กลับไม่มีร่องรอยความเก่าหรือทรุดโทรมเลยแม้แต่น้อย แม้แต่รอยยิ้มของรูปปั้นก็ยังดูน่าประทับใจราวกับว่ามันมีชีวิต
กลุ่มจิ้งจอกน้อยตามหลังไป่หลิงมา พวกนั้นไม่กล้าจะส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย พวกจิ้งจอกน้อยขอบเขตว่อซวนพวกนี้ฉลาด พวกนี้รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป สีหน้าของพวกนี้ดูเคร่งเครียดอย่างมาก
เฉินกูยืนรออยู่ด้านนอก เขามองดูฉากนี้ด้วยความสนใจ
ไป่หลิงหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นกว่าหนึ่งนาที นางมองไปที่รูปปั้นและค่อยๆพูดออกมาอย่างช้าๆ “ลูกหลานเผ่าจิ้งจอกไป่หลิง โชคดีที่ได้ปลุกสายเลือดจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ผู้อาวุโสจิ้งจอกลวงตาศักดิ์สิทธิ์โปรดมอบการสืบทอดช่วยผู้น้อยด้วย!”
ตอนที่พูดนั้น สายเลือดในตัวของนางก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา
ตอนนั้นเองพลังของสายเลือดในตัวนางราวกับสั่นพ้องไปกับรูปปั้น รูปปั้นนั้นสั่นไหวราวกับมีชีวิตและปล่อยแสงสีขาวอันอ่อนโยนออกมาห่อหุ้มตัวของไป่หลิงเอาไว้ แสงนี้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก
ต่อมาแสงสีขาวก็สว่างจ้าขึ้นหลายเท่า จากนั้นก็มีข้อมูลและความลับนับไม่ถ้วนไหลเข้ามาในหัวของไป่หลิง
เฉินกูที่อยู่ไม่ไกลนักเหมือนจะเห็นบางอย่าง เขาแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา “ความหนาแน่นของสายเลือดและระดับการบ่มเพาะของนางเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว….”