ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 477 : การร่วมมือ
ตอนที่ 477 : การร่วมมือ
ลั่วซู่หยางและชุยเจี่ยนแสดงสีหน้าที่หนักใจออกมา ราชวงศ์หมิงกลับเป็นฝ่ายริเริ่มการทดลองนี้มาเป็นเวลานาน ภายใต้การดูแลของพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย มันทำให้พวกเขารู้สึกอับอายขึ้นมา สามสมาคมใหญ่และพันธมิตรที่ถือว่าเป็นกองกำลังชั้นนำของทวีป กลับไม่อาจจะควบคุมทวีปได้จริงๆ
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชายลึกลับผู้นั้นถึงได้เกลียดชังราชวงศ์หมิงมากนัก เขาถึงกับทำลายเมืองจูอัน…” ฝางมู่ถอนหายใจออกมา “ข้ากลัวว่า…หากราชวงศ์หมิงไม่หยุดการทดลอง เมืองจูอันคงมีพวกกลายพันธุ์กันอีกหลายคนซ่อนตัวอยู่…”
การกระทำของชายลึกลับเป็นเรื่องดีก็จริง แต่มันก็โหดร้ายเกินไป มันทำให้คนบริสุทธิ์ต้องตายไปด้วย นี่คือสิ่งที่ฝางมู่ไม่อาจจะรับได้
“ต้องขอบคุณเขา หากเขาไม่ทำลายราชวงศ์หมิง ข้าเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจจะทำอะไรกับพันธมิตรกลายพันธุ์ในตอนนี้ได้…” เซิงเป่ยซิ่วฮึดฮัดออกมา “แต่พวกเจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป ราชวงศ์หมิงได้เก็บวัสดุสำคัญให้กับพันธมิตรไว้จำนวนมาก เมื่อมันถูกทำลายโดยพวกกลายพันธุ์ พันธมิตรคงไม่มีทางที่จะยอมแพ้ พวกนั้นต้องคิดว่าเป็นฝีมือพวกเจ้าแน่…พวกเจ้าเหลือเวลากันอยู่ไม่มาก”
ลั่วซู่หยางมองไปที่เซิงเป่ยซิ่ว “เจ้าพูดจบรึยัง?”
เซิงเป่ยซิ่วชะงัก
“เมื่อเจ้าพูดจบแล้ว เจ้าก็คงพร้อมที่จะตาย” ลั่วซู่หยางมองไปที่อีกฝ่ายก่อนจะบอกกับเฉินกู “ข้าได้ถามไปหมดแล้ว อาจารย์เฉิน จัดการพวกเขาเถอะ”
เฉินกูมองไปที่ไป่หลิงและพูดขึ้นมา “ศิษย์ข้า เจ้าจะลงมือด้วยตัวเอง หรือให้ข้าจัดการแทนเจ้า?”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” ไป่หลิงมองไปที่เฉินกูและโค้งให้ก่อนจะพูดขึ้น “เลือดต้องล้างด้วยเลือด ข้าจะลงมือสังหารเขาเอง!”
ไป่หลิงหันกลับมามองที่เซิงเป่ยซิ่วและเดินไปหยุดตรงหน้าเซิงเป่ยซิ่ว
เซิงเป่ยซิ่วเหมือนจะรู้ชะตากรรมของตนเอง เขาใจเย็นลงและมองไปที่เซิงเฟิงด้วยสายตารู้สึกผิดและสับสน เขาถึงกับเหม่อลอย “เฮ้อ ….คิดไม่ถึงจริงๆ ! ข้าเซิงเป่ยซิ่วที่เป็นดั่งวีรบุรุษ แต่กลับต้องมามีชะตากรรมเช่นนี้ได้…”
ด้วยพรสวรรค์ที่เขามีแล้ว แม้ว่าจะขึ้นไปไม่ถึงระดับของเป้ยหลง แต่มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะความคิดของเขาจึงทำให้เขาทำลายทั้งตัวเขาเองและชีวิตของลูก
ทั้งสองชีวิตเป็นเขาเองที่ทำลายมันกับมือ
“หาก…หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้า เซิงเป่ยซิ่วยอมที่จะตายดีกว่า ข้าไม่น่าเชื่อคนที่มาจากพันธมิตรนั่นเลย!” เซิงเป่ยซิ่วกำหมัดแน่น ก่อนจะค่อยๆคลายมือออกแล้วเผยรอยยิ้มเศร้าๆ
ไป่หลิงมองไปที่เซิงเป่ยซิ่วด้วยท่าทีเฉยเมย “สุดท้ายเจ้าก็คือคนที่ฆ่าคนของเผ่าจิ้งจอกไป!”
เมื่อพูดจบฝ่ามือของไป่หลิงก็ได้ฟาดเข้าใส่ศีรษะของเซิงเป่ยซิ่วอย่างแรง ในพริบตาศรีษะของเซิงเป่ยซิ่วก็ระเบิดออกกลายเป็นหมอกเลือด
ยอดฝีมือระดับสูงสุด กลับต้องมาตายด้วยฝีมือของสัตว์อสูรขอบเขตหลี่ซวน
ทุกคนต่างก็มองดูฉากนี้อยู่เงียบๆ ในสายตาของพวกเขามีความรู้สึกมากมายแฝงเอาไว้
แม้ว่าจะสงสารเซิงเป่ยซิ่ว แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าการทำแบบนี้มันผิด การมอบความตายให้กับอีกฝ่ายก็ถือว่าเมตตามากแล้ว หากดูจากสิ่งที่เซิงเป่ยซิ่วและลูกชายได้ทำไป
ไป่หลิงมีชั้นพลังห่อหุ้มตัวเอาไว้ ซึ่งป้องกันไม่ให้หมอกเลือดของเซิงเป่ยซิ่วโดนตัวนาง นางไม่อยากจะแปดเปื้อนเลือดสกปรกแบบนี้ แม้ว่าจะเปื้อนตัวนางแค่เพียงเล็กน้อยแต่มันก็ทำให้นางรู้สึกแย่ได้
หลังจากที่จัดการสังหารเซิงเป่ยซิ่วด้วยตัวเองแล้ว ไป่หลิงก็เดินหน้าเข้าไปหาเซิงเฟิงต่อ
เฉินกูโคจรพลังของตัวเองแล้วซัดพลังไปใส่เซิงเฟิง ทำให้ร่างของเซิงเฟิงสั่นไหว วังวนในตันเถียนถูกบีบ เขาดิ้นรนต่อแต่มันก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆจนสุดท้ายเขาก็ไม่อาจจะขัดขืนได้
เมื่อเห็นแบบนั้น ลั่วซู่หยางก็ยกเท้ากลับก่อนจะเดินหลบไปข้างๆ
“เผ่าจิ้งจอกมีคนนับสิบล้านคนแต่พวกเขากลับต้องตายเพราะเจ้า” เสียงของไป่หลิงไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย มันทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างก็พากันขนลุก “จำไว้ว่าหลังจากที่ตายไปแล้ว อย่าลืมไปขอขมากับคนของข้า!”
“ไร้สาระ!” เซิงเฟิงราวกับคนบ้า “จิ้งจอก…”
เขายังพูดไม่ทันจบ อยู่ๆเขาก็หยุดเพราะไป่หลิงไม่ได้เปิดโอกสให้เขาได้พูดเลยแม้แต่น้อย ตอนที่เขาเพิ่งเปิดปากพูดนั้น ฝ่ามือของไป่หลิงก็สับลงมา ทำให้หัวของเซิงเฟิงได้ระเบิดออกเหมือนกับพ่อของเขา หัวเขาได้เปลี่ยนเป็นหมอกเลือดกระจายไปทั่วในทันที
ตอนนั้นเซิงเป่ยซิ่วและลูกได้หายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์
ไป่หลิงไม่ได้พอใจกับการแก้แค้นนี้ นางกลับเริ่มสับสนและผิดหวังขึ้นมาแทน นางราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พ่อ, แม่, ลุงและคนอื่นๆ…ต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว การที่ศัตรูตายไปนี้มันจะมีความหมายอะไรกับการที่จะต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง?
ความเกลียดชังที่เคยค้ำจุนการมีชีวิตของนางหายไป นางเหมือนกับไม่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตต่อไป
ลั่วซู่หยาง,ชุยเจี่ยนและฝางมู่มองไปที่ไป่หลิงโดยไม่รู้ว่าจะปลอบนางยังไง
“ศิษย์ข้า บางครั้งคนเราก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตเพื่อตัวเอง เมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ได้ เจ้าจะเติบโตขึ้นมา” เฉินกูเดินเข้าไปหาไป่หลิงและตบไหล่อีกฝ่าย “ข้าเองก็เกิดมาเพียงลำพัง พ่อแม่ข้าก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ข้ารู้ว่าชีวิตและความตายต่างกันยังไง หลังจากนั้นข้าก็ต้องเป็นทาสของมนุษย์ สุดท้ายข้าก็หนีมาได้ จากนั้นข้าก็คอยปกป้องเหล่าสัตว์อสูร หากคิดถึงสิ่งที่ข้าผ่านมานั้น ประสบการณ์ของเจ้าถือว่าดีกว่าหลายเท่า อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีเพื่อนอย่างมังกรแดง, อินทรีย์ปีกฟ้าและสัตว์อสูรตัวอื่นๆ เจ้ายังมีกลุ่มจิ้งจอกน้อยที่ยังรอด ให้เวลากับพวกเขา พวกเขาจะขยายพันธุ์ออกมามากกว่านี้ และบางทีพวกเขาอาจจะทำให้เผ่าจิ้งจอกแข็งแกร่งขึ้นมายิ่งกว่าตอนนี้ก็ได้ อีกอย่างแล้วในโลกนี้ใช่ว่าจะไม่มีคนที่รักเจ้า ข้าเองก็คือคนที่รักเจ้า!”
ไป่หลิงเงยหน้าขึ้นมองเฉินกู
“ตราบใดที่เจ้ายังกังวล เจ้าจะมีชีวิตที่ดีได้ยังไง!” เฉินกูแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “ศิษย์ของข้าจะเป็นคนที่เปราะบางแบบนั้นได้ยังไง?”
ริมฝีปากของไป่หลิงสั่นไหว นางรีบก้มหน้าทันที “ข้าขอโทษ อาจารย์”
“เจ้าไม่ต้องขอโทษข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องของข้า” เฉินกูพูดขึ้นมา “เจ้าแค่ต้องทำตัวให้สมคุณค่าของตัวเองก็พอ”
แม้ว่าคำพูดของเฉินกูจะฟังดูใจร้าย แต่ไป่หลิงก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของเขา นางสูดหายใจเข้าลึกๆและรวบรวมสติก่อนจะพูดขึ้นมา “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”
ไป่หลิงเงียบไปชั่วครู่และพูดต่อ “อาจารย์ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับศิษย์คนนี้ต่อ อีกไม่นานศิษย์ก็จะหายดี อาจารย์สนใจเรื่องพันธมิตรกลายพันธุ์ต่อเถอะ มันเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทั้งมนุษย์และสัตว์อสูร เรื่องของศิษย์ไม่อาจจะเทียบได้”
ไป่หลิงเศร้าแต่นางรู้ว่าโชคชะตาของมนุษย์และสัตว์อสูรนั้น หากเทียบกับสิ่งที่ภูเขาจิ้งจอกต้องเจอกันไม่อาจจะเอามาเทียบได้เลย
เฉินกูมองไปที่ไป่หลิง ก่อนจะหันไปหาลั่วซู่หยางและพูดขึ้น “ต่อไปข้าจะให้เหล่าสัตว์อสูรออกค้นหาพันธมิตรกลายพันธุ์อย่างเต็มกำลัง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะกำชับกองกำลังมนุษย์เอาไว้ หากพวกเจ้าพบกับสัตว์อสูรในเขตของพวกเจ้าก็อย่าคิดทำร้ายพวกเขา แน่นอนข้าจะกำชับเหล่าสัตว์อสูรว่าไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูร ข้าจะถือว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ใครที่เริ่มลงมือก่อนต้องตาย!”
ในอดีตยากที่จะมีสัตว์อสูรปรากฏตัวในเขตของมนุษย์ แม้ว่าจะมี แต่ส่วนมากก็เป็นสัตว์อสูรระดับสูง หากเฉินกูสั่งการแบบนี้ออกไป มันจะมีสัตว์อสูรจำนวนมากเข้าไปในเขตของมนุษย์
เมื่อได้ยินที่เฉินกูพูดมา ลั่วซู่หยางก็แสดงสีหน้าจริงจังและพูดขึ้น “อาจารย์เฉินสบายใจได้ เรารับปากว่าจะกำชับเหล่ามนุษย์เอาไว้ หากมีคนลงมือกับเหล่าสัตว์อสูร ข้าจะจัดการกับพวกนั้นโดยตรง และให้คำตอบที่อาจารย์เฉินพอใจ!”
ลั่วซู่หยางไม่ได้ล้อเล่น เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับโชคชะตาของเผ่ามนุษย์และเผ่าสัตว์อสูร มันเกี่ยวข้องกับชีวิตเป็นพันล้านบนทวีป ความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรนั้นไม่คู่ควรที่จะพูดถึง หากมีใครกล้าสร้างปัญหาในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยอีกฝ่ายไปได้
ในเรื่องความเป็นความตายเช่นนี้ มนุษย์กับสัตว์อสูรต้องมองข้ามความบาดหมางที่เคยมีและร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตในครั้งนี้ ไม่งั้นแล้วหากสัตว์อสูรและมนุษย์สูญพันธุ์ไป ความโกรธแค้นที่เคยมีมาก็ไร้ค่าไปด้วย
“ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้” เฉินกูมองไปที่ลั่วซู่หยางเขาไม่เชื่อในตัวลั่วซู่หยางเขาไม่ได้เชื่อในความสามารถของลั่วซู่หยางยังไงซะมนุษย์ก็มีคนระดับเขาอยู่อีกหลายคน ลั่วซู่หยางอาจจะห้ามทุกคนไม่ได้แต่เฉินกูต่างออกไป เขาเป็นราชาสัตว์อสูรเพียงคนเดียวของเผ่าสัตว์อสูร คำสั่งของเขานั้นไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนกล้าขัด
ลั่วซู่หยางเองก็เข้าใจว่าเขาเองไม่ได้มีอำนาจพอแต่เขายังคงมั่นใจเพราะเขาไม่ได้ตัวตนเดียว ตราบใดที่เขาตัดสินใจ ชุยเจี่ยน,หงจินเป่า,หยางเพ้ยอันและฝางมู่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขา ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งห้าคน และอำนาจของสามสมาคมใหญ่และหนึ่งพันธมิตร มันก็น่าจะเพียงพอที่จะออกคำสั่งให้กับเหล่ามนุษย์ได้
ที่สำคัญที่สุดคือพวกยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่นั้นไม่ได้โง่ หากพวกเขารู้ถึงวิกฤตที่กำลังคืบคลานเข้ามา พวกเขาก็ยินดีที่จะช่วย ยังไงซะหากมนุษย์กับสัตว์อสูรตายไป แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรต่อไปอีก
“มาลองดูกัน” ลั่วซู่หยางพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ