ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 478 : กลุ่มสัตว์อสูร
ตอนที่ 478 : กลุ่มสัตว์อสูร
ลั่วซู่หยาง,ชุยเจี่ยนและฝางมู่ไม่ได้อยู่ต่อนานนัก ทั้งสองฝ่ายได้พูดเรื่องของการร่วมมือกัน หลังจากที่ยืนยันเรื่องแผนเสร็จ ลั่วซู่หยางก็ได้จากไป แต่พวกเขาไม่ได้กลับไปยังทิศทางเดียวกัน เขากลับมุ่งหน้าไปที่เขตกลางแทน
จางหยูยังไม่กลับมา พวกเขาไม่อาจจะทำอะไรได้ พวกเขาได้แต่รอให้จางหยูกลับมาก่อน ตอนนี้เวลาทุกนาทีมีค่าสำหรับพวกเขา หากพวกเขาหาตัวพันธมิตรกลายพันธุ์ได้เร็วขึ้นแม้เพียงวันเดียว วิกฤตนี้ก็จะได้รับการแก้ไขเร็วขึ้นไปด้วย ในทางกลับกันแล้วภัยของพันธมิตรกลายพันธุ์ก็จะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นจะทำให้มนุษย์และสัตว์อสูรตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม
ตอนที่ลั่วซู่หยางกับคนอื่นๆได้กลับไป เฉินกูก็ได้บอกกับไป่หลิง “ศิษย์ข้า เจ้าน่าจะอยู่ที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับไปหาอาจารย์ภายหลัง!”
ไป่หลิงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากและพูดขึ้นมา “ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงข้า เรื่องนั้นมันสำคัญกว่า!”
ระดับการบ่มเพาะของนางเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ขอบเขตหลี่ซวนขั้นต่ำ ด้วยระดับการบ่มเพาะและทักษะภาพลวงตาขั้นที่ 5 นั้น แม้แต่พวกขอบเขตหลี่ซวนขั้นสูงก็อาจจะไม่เป็นภัยต่อนาง สรุปคือนางคือยอดฝีมือของทวีปแล้ว พลังที่นางมีไม่อาจจะมองข้ามได้ แต่ในสายตาของเฉินกูแล้ว นางเหมือนกับเด็กน้อยที่ต้องการการปกป้องอยู่ตลอด
นักสู้ขอบเขตหลี่ซวนต้องการการปกป้องจากผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เฉินกูส่ายหน้าและยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะโต้เถียงกับไป่หลิงต่อ มิติรอบตัวเขาเกิดการผันผวนขึ้นมา ไม่นานร่างของเขาก็หายไป ก่อนจะจากไปมันก็มีเสียงดังก้องท้องฟ้าดังขึ้นมา “จำไว้ว่าให้อยู่แต่ที่นี่ อย่าคิดออกไปที่อื่น!”
ไป่หลิงอ้าปากจะพูดแต่เฉินกูหายไปแล้ว นางต้องการจะพูดบางอย่างแต่ก็ต้องกลืนคำพูดนั้นกลับลงไป
หลังจากที่เงียบได้สักพักไป่หลิงก็หันกลับไปมองจิ้งจอกน้อยด้านหลัง นางสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดขึ้นมา “พวกเจ้าไปอยู่ที่ถ้ำ ไม่ต้องไปที่อื่น ข้าจะไปฝังศพคนที่ตาย เสร็จแล้วจะกลับมาหาพวกเจ้า”
“พี่สิบสาม ข้าจะไปด้วย!” จิ้งจอกน้อยขอบเขตว่อซวนอดกลั้นความเศร้าที่มีในใจและพูดขึ้นมา
ไป่หลิงส่ายหน้าและพูดขึ้น “เจ้าต้องคอยดูแลคนอื่นๆที่นี่ คนอื่นๆเพิ่งจะเกิดมา พวกเขายังไม่มีความคิดที่ดีนัก เจ้าต้องดูแลพวกเขา” หลังจากที่เงียบไป นางก็ลูบหัวจิ้งจอกน้อยขอบเขตว่อซวนและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “พวกเจ้าคือกลุ่มเดียวที่เหลือรอดในเผ่าจิ้งจอก พวกเจ้าต้องมีชีวิตที่ดีเพื่อคนในเผ่าของเรา”
จิ้งจอกขอบเขตว่อซวนมองไปยังจิ้งจอกน้อยรอบตัว ก่อนจะมองไปที่ไป่หลิงอีกครั้งแล้วพยักหน้าตอบรับ “พี่สิบสามวางใจเถอะ! ข้าจะมีชีวิตที่ดีและจะ…ดูแลพวกเขา ! ”
ไป่หลิงพยักหน้าตอบกลับก่อนจะเดินออกมา เดินออกมาได้ก้าวเดียวนางก็หยุดและหันกลับมาถาม “ใช่สิ เจ้าชื่ออะไรกัน?”
“หลิงตัง” จิ้งจอกขอบเขตว่อซวนตอบกลับ
มีแค่ตอนที่ขึ้นไปถึงขอบเขตหลิงซวนเท่านั้นที่จะมีสิทธิได้ชื่อเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านี้จะมีแค่ชื่อเล่น หลิงตังคือชื่อเล่นของจิ้งจอกขอบเขตว่อซวน ในอดีตนั้นญาติและเพื่อนของนางก็เรียกนางแบบนี้ แต่ตอนนี้คนที่รู้จักชื่อของนางกลับตายกันไปหมดแล้ว
ไม่ใช่แค่หลิงตังแต่รวมไปถึงจิ้งจอกน้อยที่อยู่ในถ้ำด้วย พวกเขาต่างก็กลายเป็นเด็กกำพร้า
“ดี หลิงตัง” ไป่หลิงยิ้มออกมา “ต่อไปเจ้าต้องเรียกข้าว่า พี่ไป่หลิง พี่สิบสามนั่น…อย่าเรียกมันอีก”
สิบสามคือชื่อที่พ่อนางมอบให้กับนาง เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเรียกชื่อนี้ นางจะคิดถึงพ่อกับแม่ของนางรวมถึงผู้เฒ่าที่ตายไปเพื่อปกป้องนาง เมื่อได้ยินชื่อนี้ฉากอันน่าเศร้าจะปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง
หลิงตังรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่ก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ได้ พี่ไป่หลิง ”
นางไม่เข้าใจว่าทำไมไป่หลิงถึงได้รู้สึกหวั่นไหวตอนที่ได้ยินชื่อที่เรียกว่าพี่สิบสาม ไม่ใช่ว่าพ่อกับผู้เฒ่าก็เรียกนางว่าสิบสามหรือไง ?
แต่หลิงตังนั้นเชื่อฟังคำสั่งถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจก็ตาม ไป่หลิงบอกให้นางเรียกชื่อของไป่หลิงใหม่ นางก็แค่เปลี่ยนคำเรียกก็เท่านั้น
….
ลึกเข้าไปในภูเขาทางตะวันออก บนภูเขาลูกหนึ่งเฉินกูได้มองไปรอบๆพร้อมกับแผ่การรับรู้ออกไปจนถึงขีดจำกัดของตัวเอง จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ราวกับฟ้าผ่า “ข้าราชาสัตว์อสูร ผู้นำเผ่าของเหล่าสัตว์อสูร ข้ามาที่นี่เพื่อพบพวกเจ้า!”
เสียงของเขาราวกับคลื่นที่แผ่ออกไป มันทั้งหนักหน่วงและดังฟังชัด มันแผ่ไปรอบๆครอบคลุมตลอดระยะของการรับรู้ แม้แต่ส่วนที่อยู่ไกลเกินระยะการรับรู้ก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน
เสียงอันทรงพลังสิ้นสุดลงพร้อมกับร่างของเฉินกูที่หายไปในทันที หลังจากนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้นมาในอีกที่
ตอนที่เฉินกูกลับมายังตำแหน่งเดิม สัตว์อสูรแทบทุกตัวต่างก็ตื่นจากการบ่มเพาะ พวกมันมองมาทางยอดเขาและเห็นร่างร่างหนึ่ง พวกมันเข้าใจทันทีว่านี่คือราชาสัตว์อสูร !
หัวหน้าเผ่าของสัตว์อสูรชนิดต่างๆไม่ลังเลที่จะมุ่งหน้าไปที่ภูเขาลูกนั้นโดยไม่ลังเล ตอนนั้นที่ภูเขามีสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนทั้งขอบเขตหลี่ซวนและตุ้นซวน หัวหน้าเผ่าของสัตว์อสูรชนิดอื่นที่อยู่ไกลอาจจะยังมาไม่ถึงที่นั่น แต่ตอนนี้สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้กับภูเขาลูกนั้นกลับแห่ไปรวมตัวกันที่นั่นกันหมด
สัตว์อสูรที่แห่กันมานี้ราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามา พวกมันรวมตัวกันรอบภูเขาและมองไปยังร่างที่อยู่บนยอดเขาด้วยความตื่นเต้น
นี่คือราชาสัตว์อสูร เทพของเหล่าสัตว์อสูร
แม้ว่าเฉินกูจะเก็บตัวอยู่ที่ป่าหวงหยวน แต่ที่ภูเขาเขตตะวันตกก็ยังถือว่าเป็นเขตของสัตว์อสูรที่แท้จริง หากเทียบจำนวนสัตว์อสูรในเขตตะวันตกแล้ว ป่าหวงหยวนมีสัตว์อสูรไม่ถึง 1 ใน100 ของที่นี่ หากดูทั้งทวีปแล้ว จำนวนสัตว์อสูรที่ภูเขาเขตตะวันตกนั้นมีจำนวนถึง 9 ใน 10 ของสัตว์อสูรทั้งหมดในทวีป
ที่นี่คือพื้นที่บ่มเพาะของสัตว์อสูรในการเอาตัวรอดจากความกดดันจากมนุษย์อย่างแท้จริง
“ราชาสัตว์อสูร!”
ไม่นานเหล่าหัวหน้าของเผ่าเผิงก็ได้มาถึงภูเขาซื่อทัว หลังจากที่ไปถึงที่นั่นหัวหน้าเผ่าเผิงก็เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์และทำความเคารพต่อเฉินกู เขาดูสูงส่งและสง่ากว่าสัตว์อสูรทั่วไป
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังจากเฉินกู หัวหน้าเผ่าเผิงก็ตกตะลึงในใจ “พลังของราชาสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก!”
ตอนนั้นเองหัวหน้าเผ่าเผิงก็ได้แสดงท่าทีเคารพออกมายิ่งกว่าเดิม แต่ในสายตาของเขายังคงดูสงบนิ่งไม่ได้ดูยินดีเลยแม้แต่น้อย
สัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนทุกตัวถือว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูง พวกมันอาจจะเคารพเฉินกูและฟังคำสั่งของเฉินกู แต่พวกมันไม่มีทางคิดว่าเฉินกูเป็นเทพ โดยเฉพาะกับหัวหน้าเผ่าเผิง สัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงแบบนี้ไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง แต่ยังมีสายเลือดของเผิงสายฟ้าและมีอำนาจในหมู่สัตว์อสูร ตัวตนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมก้มหัวให้กับใคร
แต่หลังจากที่หัวหน้าเผ่าเผิงพูดออกมา บรรยากาศที่สงบด้านล่างกลับพังทลายลง ฝูงสัตว์อสูรพากันตะโกนออกมา “ราชา!”
“ราชา!”
“ราชา!”
สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนพากันตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น แสดงความชื่นชมและเคารพในตัวราชาสัตว์อสูร
เมื่อเห็นแบบนั้น เฉินกูก็ยังแสดงสีหน้าเฉยชาออกมา ราวกับว่าสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนด้านล่างไม่ได้เรียกเขา หรือไม่ก็เขาชินกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
เวลาผ่านไปไม่นานหัวหน้าของสัตว์อสูรชนิดต่างๆก็ได้มาถึง หลังจากที่หัวหน้าสัตว์อสูรเหล่านั้นทำความเคารพเฉินกูเสร็จ ทุกคนก็เงียบไปไม่กล้าพูดอะไรออกมา
พวกเขารอให้หัวหน้าคนที่ 31 มาถึงแต่กลับไม่เห็นร่างของหัวหน้าเผ่าจิ้งจอก หัวหน้าเผ่าคนหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวดก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกระดับการบ่มเพาะก็ไม่ได้สูงนักแต่กลับกล้าดีไม่ใช่น้อย ราชาสัตว์อสูรเรียกตัวทุกคนมาแต่เขากลับไม่มา เขาโอหังจนไม่เคารพราชาสัตว์อสูรเลยรึ?” ถึงเขาจะด่าหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกแต่เขาก็ยังมองไปที่เฉินกูราวกับประจบอีกฝ่าย
เฉินกูมองไปที่อีกฝ่ายและพูดขึ้นมา “เผ่าจิ้งจอกที่ภูเขาจิ้งจอกถูกทำลาย ทั้งราชา, ราชินีและผู้อาวุโสต่างก็ตายไปหมดแล้ว…”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเหล่าหัวหน้าเผ่าต่างก็เปลี่ยนไป
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ยังไงซะเผ่าจิ้งจอกก็คือเผ่าหนึ่งของสัตว์อสูร พวกนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่ามังกรเลย พวกเขาไม่คิดว่าจะมีวันที่เผ่าจิ้งจอกต้องถูกทำลายไปเช่นนี้
การจะทำลายเผ่าจิ้งจอกโดยที่ไม่ให้เผ่าอื่นๆรู้ตัว อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงหรือไม่ก็เป็นกลุ่มยอดฝีมือขอบเขตตุ้นซวนขั้นต่ำและกลาง ดูจากทั้งเผ่าสัตว์อสูรแล้วมีไม่กี่เผ่าที่จะทำแบบนั้นได้
ตอนนั้นหัวหน้าเผ่าทั้งหลาย ต่างก็ส่งสายตาสงสัยมองไปยังสามคนที่ว่านั่น คนหนึ่งคือหัวหน้าเผ่าเผิง, คนหนึ่งคือหัวหน้าเผ่าศิลา และคนสุดท้ายคือหัวหน้าเผ่าแมลง
หัวหน้าเผ่าเผิงปกครองสัตว์อสูรชนิดนก และสัตว์อสูรอื่นส่วนมากในภูเขาตะวันตกที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ มันถือว่าเป็นหนึ่งในสามเผ่าใหญ่ที่คงสมดุลของสัตว์อสูรเอาไว้ !
เผ่าศิลาคือสิ่งมีชีวิตประเภทหิน จำนวนของคนในเผ่านั้นน้อยแต่ว่าแต่ละคนนั้นแข็งแกร่ง มันอาจจะน่ากลัวกว่าเผ่าเผิงและหนอนด้วยซ้ำ และยังมีสัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงอยู่หลายตัว !
เผ่าแมลงคือเผ่าที่มีความหลากหลายมากที่สุดและมีจำนวนที่น่าทึ่ง บอกได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็ว่าได้ แม้ว่าพลังต่อสู้จะไม่ได้สูงมากนักแต่ก็สามารถทดแทนด้วยจำนวน หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ เผ่าเผิงและเผ่าศิลาคงไม่คิดสู้กับเผ่าแมลงแน่
ผู้คนต่างก็มองไปทั้งสามคนนั้น หัวหน้าเผ่าเผิงสีหน้าเปลี่ยนไป เขารีบพูดมาขึ้นทันที “อย่ามองข้าแบบนั้น ข้าไม่ได้ทำ ! ข้ากับเผ่าจิ้งจอกไม่ได้ผิดใจอะไรกัน หากข้าทำลายเผ่าจิ้งจอกไปแล้วจะได้อะไร?”
“ไม่ใช่ข้า” เมื่อผู้คนหันมามองที่หัวหน้าเผ่าศิลา หัวหน้าเผ่าศิลาก็พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ปกติแล้วคนของเราไม่ชอบหาเรื่องใคร นอกซะจากว่ามีคนโจมตีเราก่อน ไม่งั้นแล้วเราก็ไม่คิดจะสนใจโลกภายนอกเพื่อหาปัญหาเข้าตัว”
สุดท้ายทุกคนก็หันมาหาเผ่าแมลงที่เป็นชายแก่ เขาพูดขึ้นมาทันที “ถึงข้าเกลียดเผ่าจิ้งจอกก็จริง แต่…เราไม่ได้เป็นคนทำ”
ตอนที่ทุกคนกำลังมองหัวหน้าเผ่าทั้งสามด้วยความสงสัยนั้น เฉินกูก็พูดขึ้นมาช้าๆ “พวกเขาไม่ได้ทำ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็หันมามองที่เฉินกู พวกเขาอยากรู้ว่าเป็นฝีมือใครกัน
ยังไงซะถึงพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าเผ่าจิ้งจอก แต่มันก็มีขีดจำกัด ซึ่งหมายความว่าเผ่าของพวกเขาอาจจะถูกทำลาย ต่อหน้าวิกฤตเช่นนี้พวกเขาจะอยู่เฉยได้ยังไง ?
“คนร้ายที่แท้จริงเป็นมนุษย์” เฉินกูพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ยอดฝีมือระดับสูงสุดของมนุษย์!”