ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 480 : การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ตอนที่ 480 : การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
“ส่วนเรื่องที่ว่าจะทำยังไงนั้น พวกเจ้าก็ลองปรึกษากันดู ข้าจะคอยดูผลสำเร็จ” เฉินกูสั่งงานแล้วไม่ได้สนใจเรื่องอื่น “ใช่สิ คนแรกที่หาตัวพันธมิตรกลายพันธุ์เจอ ข้าจะให้รางวัลก้อนใหญ่ ! สำหรับรางวัลนั้น ตอนนี้ข้าขอยังไม่พูดถึง แต่สรุปแล้วคือมันจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องผิดหวัง!”
ในด้านของความร่ำรวยแล้ว คนในทวีปป่าคงไม่มีใครที่จะเทียบกับเฉินกูได้ มีแค่ราชามังกรเท่านั้นที่พอจะทัดเทียมกับเฉินกูได้
ยิ่งกว่านั้นด้วยความสามารถของเฉินกูแล้ว เมื่อเขาพูดมาว่ารางวัลที่จะมอบให้นั้นไม่ธรรมดา มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นของแย่ๆ
หัวหน้าเผ่าหลายคนเมื่อได้ยินแบบนั้น ต่างก็มีดวงตาที่เป็นประกายขึ้นมา พวกเขาตื่นเต้นจนพากันหายใจถี่ขึ้น
พวกเขามองหน้ากันและพบกับสายตาที่ตื่นเต้นของอีกฝ่าย แน่นอนว่าของที่ราชาสัตว์อสูรจะให้เป็นรางวัลนั้นมันต้องไม่ธรรมดา!
ตอนนี้พวกเขาแทบจะอดใจรอไม่ไหว พวกเขาอยากจะส่งสัตว์อสูรทั้งหมดของตัวเองออกไปตามหาพวกพันธมิตรกลายพันธุ์….
“หัวหน้าเผ่าเผิง อีกสักพักเจ้าส่งสัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนมาหาข้าสักคน ข้ามีภารกิจที่จะมอบให้กับเขา” เฉินกูไม่ได้สนใจความคิดของเหล่าหัวหน้าเผ่า เขามอบหมายงานเสร็จและบอกกับหัวหน้าเผ่าเผิง
หัวหน้าเผ่าเผิงรวมถึงคนในเผ่าต่างก็ตะลึง เขารีบพยักหน้าตอบรับทันที “ได้”
เฉินกูโบกมือและพูดขึ้นมา “ไปได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่“ เฉินกูเงียบไปชั่วครู่และบอกกกับหัวหน้าเผ่าคนที่เหลือ “เรื่องเกี่ยวกับตัวพันธมิตรกลายพันธุ์ มันยังไม่สายเกินไป พวกเจ้าต้องรีบกันหน่อย ”
หัวหน้าเผ่าต่างๆไม่อาจจะอดทนรอไหว เมื่อเฉินกูสั่งการออกมาแบบนั้น พวกเขาก็รีบขอตัวกลับมายังเขตของตัวเองโดยเร็วที่สุด ก่อนจะจัดแจงกำลังพลทั้งหมด เพื่อออกตามหาตัวพันธมิตรกลายพันธุ์
ไม่นานสัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนของเผ่าเผิงก็มาถึงที่นั่น
สัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนนี้คือหนึ่งในสมาชิกเก่าแก่ของเผ่าเผิง และอยู่ขอบเขตตุ้นซวนขั้นต่ำ เขามีสายเลือดเทพวิหคเพลิง เขารวดเร็วดั่งสายฟ้า ทันทีที่เขามาถึง เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ก่อนจะทำความเคารพเฉินกู “เฟยหงจากเผ่าเผิงขอคำนับราชาสัตว์อสูร”
เฉินกูพยักหน้าตอบรับและพูดขึ้นมา “ตามข้ามา”
เมื่อพูดจบ เฉินกูก็ได้มุ่งหน้าไปยังภูเขาจิ้งจอก เพื่อที่จะให้เฟยหงตามให้ทัน เขาถึงกับลดความเร็วของตัวเองลง ไม่งั้นแล้ว เฟยหงคงตามเขาไม่ทันแน่
เฟยหงไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อ เขารีบติดตามเฉินกูไปทันที และไม่นานทั้งสองก็ไปถึงภูเขาจิ้งจอก
ตอนนั้นร่างของจิ้งจอกนับสิบล้านตัวบนภูเขา ถูกไป่หลิงนำไปฝังหมดแล้ว ศพของจิ้งจอกทั้งหมดถูกฝังไว้ในหลุม มันไม่ได้มีป้ายสักการะพวกเขา เพราะไป่หลิงจัดการฝังทุกคนด้วยตัวคนเดียว หากนางต้องทำการแยกคนตามตระกูล นางคงต้องหมดแรงแน่ๆ
ไป่หลิงยืนอยู่หน้าหลุมศพขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง และมองออกไปด้วยสีหน้าโศกเศร้า
พื้นดินรอบๆเต็มไปด้วยขี้เถ้า ซึ่งทำให้บรรยากาศหม่นหมองลงยิ่งกว่าเดิม
เฉินกูลงมาจากฟ้าและโผล่มาอยู่ข้างๆไป่หลิง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ศิษย์ข้า อย่าคิดมาก”
เฟยหงเองก็ลงมายืนอยู่ข้างๆเฉินกูเพื่อรอฟังคำสั่ง
“อาจารย์!” ไป่หลิงได้สติกลับมา และรีบวิ่งไปหาเฉินกู
“ข้าขอให้เผ่าเผิงส่งสัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนมา” เฉินกูผายมือและพูดขึ้นมา “จากนี้เขาจะพาเจ้าและจิ้งจอกที่เหลือไปยังสำนักคังเฉียง เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น พวกเขาจะได้มีชีวิตที่สบายกว่าเดิม หากมีเจ้าสำนักอยู่ที่นั่น มันก็จะไม่มีใครกล้าทำร้ายพวกเจ้า และพวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเภทภัยใดๆ”
หากถามเฉินกูว่าที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกเป็นที่ใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เฉินกูจะตอบว่ามันคือที่สำนักคังเฉียง
ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยไปกว่าสำนักคังเฉียงได้ แม้แต่ป่าหวงหยวนของเขาหรือเกาะมังกรก็ไม่อาจจะเทียบกับสำนักคังเฉียงได้ แค่การที่มีเจ้าสำนักอยู่ก็เพียงพอที่จะมั่นใจถึงความปลอดภัยของสำนักคังเฉียงได้แล้ว
เฟยหงเข้าใจจุดประสงค์ที่เฉินกูเรียกเขามาทันที เขามองไปที่ไป่หลิงและพูดขึ้นมา “นายหญิง ข้าจะพาท่านกลับไปยังสำนักคังเฉียงอย่างปลอดภัย!” เขาไม่รู้ว่าสำนักคังเฉียงอยู่ที่ไหน แต่เขามั่นใจว่าต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น
ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้ข้อมูลจากเผิงหวงแล้วว่า เผ่าจิ้งจอกถูกทำลาย ดังนั้นเมื่อมาเห็นฉากตรงหน้า เขาก็รู้สึกอึ้งแต่ก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก
“ไม่ อาจารย์” ไป่หลิงเงียบไปก่อนจะพึมพำออกมา “ศิษย์ต้องการอยู่ที่ภูเขาจิ้งจอกต่อ”
นางไม่อยากออกไปจากที่นี่ เพราะหากนางทิ้งที่นี่ไป งั้นเผ่าจิ้งจอกของภูเขาจิ้งจอกก็จะถูกลบชื่อออกไปจากโลกนี้
นางต้องการที่จะอยู่ต่อ เพื่อแบกรับหน้าที่ของเผ่าจิ้งจอกเอาไว้ นางจะคอยดูแลเหล่าจิ้งจอกน้อย และหาทางรวบรวมจิ้งจอกที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งทวีป หากนำจิ้งจอกจากที่อื่นมารวมกัน บางทีภูเขาจิ้งจอกแห่งนี้อาจจะฟื้นฟูความแข็งแกร่งขึ้นมาได้ บางทีสักวันเผ่าจิ้งจอกอาจจะรุ่งโรจน์ดังเดิม
“ไม่” น้ำเสียงของเฉินกูยังดูใจเย็น แต่ฟังดูเด็ดขาดอย่างมาก ไม่อาจจะปฏิเสธคำพูดเขาได้เลย “ตอนนี้ทวีปป่ากำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย พันธมิตรกลายพันธุ์อาจก่อให้เกิดวิกฤตได้ทุกเมื่อ ที่นี่ไม่ปลอดภัย!” เขามองไปที่ไป่หลิงและพูดต่อ “เจ้าต้องกลับไปที่สำนักคังเฉียง ที่นั่นคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด!” เฉินกูเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ข้าสร้างพื้นที่ในป่าหวงหยวนสำหรับเผ่าจิ้งจอกให้ได้ มันจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเผ่าจิ้งจอก ”
บอกได้ว่าป่าหวงหยวนนั้นคือพื้นที่ส่วนตัวของเฉินกู แต่เขาก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ที่จะยกพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับไป่หลิงมันแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาชอบไป่หลิงมากแค่ไหน แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ไป่หลิง ทั้งมังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้าก็ด้วย หากพวกนั้นเจอเรื่องคล้ายๆกัน เขาก็จะทำแบบเดียวกันนี้โดยไม่ลังเล เพราะศิษย์ทั้งสามคือของที่มีค่าที่สุดสำหรับเขา
เฟยหงที่อยู่ข้างๆมองไปที่ไป่หลิง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ราชาสัตว์อสูรดีกับนายหญิงจริงๆ!”
การดูแลแบบนี้ บอกได้เลยว่าเฉินกูมองไป่หลิงไม่ต่างอะไรไปจากลูกสาว
เมื่อเห็นว่าเฉินกูห่วงใยไป่หลิงแบบนี้ เฟยหงก็แสดงสีหน้าจริงจังออกมา และคิดในใจ “เมื่อกลับไป ข้าต้องแจ้งกับหัวหน้าเผิงให้เขาสนใจนายน้อยและนายหญิงทั้งสามมากกว่าแต่ก่อน!”
ไป่หลิงแสดงท่าทีกระอักกระอ่วนออกมา นางเข้าใจว่าเฉินกูหวังดีต่อนาง หากเขาบอกว่าไม่ให้นางอยู่ต่อ นางก็ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ต่อได้
ในใจของนางรู้สึกตื้นตัน อาจารย์ช่างดีกับนางจริงๆ
“ให้จิ้งจอกน้อยออกมา และรีบไปยังสำนักคังเฉียง” เฉินกูเร่ง
ไป่หลิงลังเล แต่เมื่อเห็นว่าเฉินกูตัดสินใจแล้ว คำคัดค้านของนางก็ไร้ประโยชน์ นางบินไปยังถ้ำและพาหล่าจิ้งจอกน้อยออกมาทันที
เฉินกูมองไปที่เฟยหง และพูดขึ้นมา “สำนักคังเฉียงอยู่ติดกับป่าหวงหยวน หลังจากที่เจ้าไปถึงชายแดนป่าหวงหยวนแล้ว เจ้าจะเห็นเมืองมนุษย์ ใจกลางเมืองมนุษย์มีภูเขาร้าง ที่นั่นคือที่ตั้งของสำนักคังเฉียง เมื่อไปถึงที่นั่นภารกิจของเจ้าก็เสร็จสิ้น”
เฟยหงพยักหน้าตอบรับด้วยความเคารพ
“ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ ข้าคงไม่มีอะไรต้องพูดอีก…ไปได้แล้ว!” เฉินกูไม่มีเวลาพาไป่หลิงกลับไปด้วยตัวเอง เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องไปจัดการ
….
ที่เขตกลาง
ลั่วซู่หยางและชุยเจี่ยนได้กลับไปยังพื้นที่ของตนโดยเร็วที่สุด พวกเขาเหมือนจะร้อนใจ ตอนที่เคลื่อนย้ายพริบตานั้นพวกเขาไม่ได้ปิดบังพลังของตัวเองเลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่สนใจการใช้พลังวิญญาณของตน พวกเขาแค่หวังว่าจะกลับไปยังสมาคมของตนและจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น
ฝางมู่ได้รับมอบหมายจากลั่วซู่หยางและชุยเจี่ยน ให้ไปยังสำนักงานของพันธมิตรร้อยสำนักเพื่อแจ้งกับหยางเพ้ยอัน เกี่ยวกับเรื่องพันธมิตรกลายพันธุ์ และให้เซียนอักษรจัดการทำตามแผน
ในวันนั้น ยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ที่เขตกลางหลายคนพากันสับสนกับท่าทีของลั่วซู่หยาง,ชุยเจี่ยนและฝางมู่ พวกเขาแปลกใจเพราะลั่วซู่หยางไม่เคยทำตัวโดดเด่นเช่นนี้ แต่ตอนนี้ผู้คนกลับรู้สึกได้ว่าเขาร้อนใจราวกับว่ามีเรื่องใหญ่กำลังเกิดขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้มีคำสั่งประกาศออกมาจากสมาคมนักวางค่ายกล, สมาคมนักปรุงยา และสมาคมนักหลอมรวมไปถึงพันธมิตรร้อยสำนัก
คำสั่งพวกนี้ต่างก็ทำให้เหล่ายอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่พากันแปลกใจ “มีเรื่องอะไรกัน?”
ต้องรู้ก่อนว่าตอนที่สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์กำเนิดขึ้นมา สมาคมนักวางค่ายกลและกองกำลังอื่นๆนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวครั้งใหญ่แบบนี้ นี่พวกเขาถึงกับส่งคนในสาขาใหญ่ออกมา ตอนนี้ที่สาขาใหญ่แทบไม่มีคนอยู่เลย ทุกคนต่างก็ถูกส่งออกมาหมด แม้แต่หัวหน้าสมาคมอย่างหงยู่ และผู้อาวุโสเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
มันยากที่จะคิดได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกัน ถึงได้คู่ควรพอกับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของสมาคมเหล่านี้ !
“เพราะเรารึ?” ยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่พากันหน้าถอดสีเมื่อได้ยินข่าวนี้ พวกเขาพากันกังวลขึ้นมาทันที
ตอนที่พวกเขากังวลอยู่นั้น ลั่วซู่หยางก็ได้แผ่การรับรู้ของตัวเองออกจนเข้าไปถึงตัวยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ และประกาศออกมา “ยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ทุกคน ก่อนที่จะเช้า ข้าขอเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่สมาคมนักวางค่ายกล หากมาช้า พวกเจ้าก็จงคิดถึงผลที่ตามมากันเอาเอง!”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วซู่หยางแสดงท่าทีแปลกประหลาดแบบนี้ออกมา ตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด !
คำพูดนี้ทรงพลังและแฝงไปด้วยความหมาย บางคนถือว่ามันเป็นคำประกาศ บางคนถือว่ามันเป็นคำเตือน บางคนถึงกับไม่พอใจ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดกันแบบไหน แต่เมื่อลั่วซู่หยางพูดมันออกมาแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะกล้ามองข้าม แม้แต่ฉินอู่ตี้ก็ไม่กล้าจะมองข้ามคำพูดของลั่วซู่หยาง ในมุมมองของเขาแล้ว การที่ลั่วซู่หยางกล้าพูดแบบนี้ออกมา งั้นมันก็ต้องมีเหตุผล ไม่ว่าจะเพราะอะไร เขาก็ต้องไปยังสมาคมนักวางค่ายกล
หลังจากที่ได้ทำการประกาศรอบเขตกลางแล้ว ลั่วซู่หยางก็ได้กลับมายังสมาคมนักวางค่ายกล ตอนนั้นชุยเจี่ยน หยางเพ้ยอันและฝางมู่ก็มาที่นั่นด้วย
เมื่อพบกับอีกฝ่าย หยางเพ้ยอันก็พูดขึ้นมา “เรารู้จักกันมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าแสดงท่าทีเด็ดขาดแบบนี้ออกมา เจ้าเองก็มีด้านที่เผด็จการอยู่เหมือนกันนี่…เจ้าไม่กลัวว่าพวกนั้นจะหุนหันและทำการปิดล้อมที่นี่เอาไว้รึ?”
หากยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ร่วมมือกัน ถึงไม่อาจจะเป็นคู่มือให้กับลั่วซู่หยาง แต่ก็พอยื้อลั่วซู่หยางไว้ได้สักพัก
“เจ้าจะกลัวอะไร? ทั้งข้าและผู้อาวุโสฝางมู่ ต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง รวมกับเจ้า,เซียนโอสถและเซียนหลอมแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันจริงๆแต่พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นภัยต่อเรา” ลั่วซู่หยางพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “เอาจริงๆแล้ว นอกจากฉินอู่ตี้แล้ว ยอดฝีมือหน้าใหม่คนอื่นๆไม่ได้มีค่าในสายตาของข้าเลย….ถึงพวกนั้นจะร่วมมือกัน ก็แค่ทำให้ข้ากังวลเล็กน้อยเท่านั้น”