ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 481 : สงสัย
ตอนที่ 481 : สงสัย
หลังจากที่พูดหยอกเย้ากัน ลั่วซู่หยางก็หุบยิ้มและถามขึ้นมา “มีข่าวอะไรจากเซียนหลอมรึไม่?”
หยางอันเป่ยส่ายหน้าและพูดขึ้นมา “ตอนนี้เขากำลังตรวจสอบอยู่ ตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยานั้นเจ้าเล่ห์และซ่อนตัวเก่ง ตอนนี้ยังไม่พบเบาะแสพวกเขาเลย ”
“โชคร้ายจริงๆ“ ลั่วซู่หยางรู้สึกเสียดายเมื่อได้ยินแบบนั้น “หากหาพวกเขาเจอเร็วกว่านี้ เราอาจจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์จากพวกเขา”
“ราชวงศ์หมิงถูกทำลายไปแล้ว ข้ากลัวว่าพวกเขาคงตื่นตัวและคงไม่อาจจะหาตัวพวกเขาได้ในเร็วๆนี้แน่” หยางเพ้ยอันถอนหายใจออกมา
ชุยเจี่ยนพูดขึ้นมา “ระวังตัวแล้วยังไง? ยังไงซะเขตใต้ก็ถูกปิดล้อมเอาไว้แล้ว พวกเขาแค่อยู่ด้านใน แม้ว่าจะมีปีกแต่ก็ไม่อาจะหนีไปได้ ! การจะหาพวกเขาพบก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!”
ลั่วซู่หยางส่ายหน้าและพูดขึ้นมา “ข้าไม่ได้กังวลว่าพวกนั้นจะหนี แต่ข้ากังวลว่าพันธมิตรกลายพันธุ์จะยื่นมือเข้ามายุ่งและช่วยพวกนั้น ความแข็งแกร่งของพันธมิตรกลายพันธุ์นั้นเจ้าเองก็รู้ แค่เซียนหลอมเพียงคนเดียวอาจจะหยุดพวกเขาไว้ไม่ได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างก็พากันเงียบไป
ตามที่เซิงเป่ยซิ่วบอกมา ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือระดับสูงสุดในพันธมิตรกลายพันธุ์นั้นทัดเทียมกับพวกเขา ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง 2 คนและขั้นต่ำ 3 คน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกังวล มีแค่ราชาสัตว์อสูรเท่านั้นที่อาจจะทำลายพวกพันธมิตรกลายพันธุ์ได้
“ข้าหวังว่าพวกนั้นจะลงมือ” หยางเพ้ยอันยิ้มออกมา “หากไม่ลงมือ มันจะไม่เท่ากับเผยจุดอ่อนไม่ใช่รึไง? การประกาศของพวกเราในครั้งนี้มันก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ตราบใดที่พันธมิตรกลายพันธุ์ไม่ได้โง่ พวกนั้นก็ต้องลงมือ ตราบใดที่พวกนั้นลงมือ มันก็เท่ากับเป็นโอกาสของพวกเรา”
ทุกคนต่างก็มองไปที่หยางเพ้ยอันด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ฝางมู่เห็นด้วย “มันจริงที่ว่าตลอดมานั้นพันธมิตรกลายพันธุ์ซ่อนตัวได้ดี ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีใครรับรู้ตัวตนของพวกเขา หากพวกเขาลงมือกันจริงๆ มันอาจจะมีหวังที่เราจะหาพวกเขาเจอ”
“หลังจากคืนนี้แล้วให้เซียนหลอมกลับมา เขาอยู่เขตใต้เพียงลำพัง มันอันตรายเกินไป” หยางเพ้ยอันเสนอขึ้นมา “และหากมีเขาดูแลเขตใต้อยู่ พวกพันธมิตรกลายพันธุ์อาจจะไม่กล้าลงมือ…”
ในอดีตนั้นพวกเขากังวลว่าตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยาจะถูกช่วยไปได้ แต่ตอนนี้พวกเขากังวลกันว่าพวกพันธมิตรกลายพันธุ์จะไม่คิดช่วยพวกนั้น
“ข้าจะส่งคนไปแจ้งกับเซียนหลอม” ลั่วซู่หยางพยักหน้าและพูดขึ้นมา “ตอนนี้คือช่วงเวลาที่อ่อนไหว เราไม่กี่คนไม่อาจจะทำอะไรได้มากนัก เรื่องที่สำคัญที่สุดนี้นอกจากเราไม่กี่คนแล้ว ข้ากลัวว่าคงมีคนที่เชื่อใจได้ไม่มาก…ใครจะไปรู้ว่าคนอื่นๆอาจจะเกี่ยวข้องกับพันธมิตรกลายพันธุ์ก็ได้?”
เซิงเป่ยซิ่วบอกว่าพันธมิตรกลายพันธุ์มียอดฝีมือระดับสูงสุด 5 คน ใครจะไปรู้ว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งห้าอาจจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ พวกนั้นอาจจะใช้โอกาสที่มียอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่กำเนิดขึ้นมาเพื่อแสดงพลังของตัวเองให้กลมกลืนไปกับทุกคนก็ได้
เซียนทั้งสี่รู้จักกันมานาน พวกเขามั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับพันธมิตรกลายพันธุ์ และฝางมู่นอกจากจะเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของเป้ยหลงแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะทำแบบนี้เช่นกัน อายุของเขาถือว่ามากที่สุดในทวีปป่าแล้ว คนที่มีอายุขัยเหลือไม่มากและอยู่ได้ไม่กี่ร้อยปี คนแบบนี้จะมีความทะเยอทะยานแบบไหนได้ ?
แน่นอนว่าลึกๆในใจของลั่วซู่หยางก็ยังระวังตัวอยู่ ยังไงซะตัวตนของฝางมู่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน มันไม่มีใครบอกได้ว่านี่คือฝางมู่ที่เป็นศิษย์ของเป้ยหลงจริงๆรึไม่ หรือว่าเป็นคนจากพันธมิตรกลายพันธุ์
แม้ว่าความเป็นไปได้นี้จะต่ำ แต่หากมีโอกาสอยู่ ลั่วซู่หยางก็ไม่อาจจะเชื่อใจฝางมู่ได้เต็มที่
“ฉินอู่ตี้ ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางเองก็มีความทะเยอทะยาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้อาณาจักรฉินรุ่งเรือง…คนแบบนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างพันธมิตรกลายพันธุ์ขึ้นมา” ลั่วซู่หยางตาเป็นประกายขึ้นมา “พันธมิตรกลายพันธุ์คงอยู่มาหลายพันปี อายุของฉินอู่ตี้เองก็พอๆกัน ข้าไม่กล้าบอกว่าฉินอู่ตี้เป็นคนของพันธมิตรกลายพันธุ์ แต่เขาเป็นคนที่น่าสงสัย…”
ลั่วซู่หยางสงสัยยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่เช่นกัน แต่พวกนั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก มีแค่ฉินอู่ตี้ที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง !
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาตัวผู้นำทั้งสองของพันธมิตรกลายพันธุ์ เพราะผู้นำทั้งสองคือมนุษย์ มนุษย์ที่แฝงตัวอยู่กับทุกคน ไม่อาจจะมีใครรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองได้ ส่วนสมาชิกที่เหลือของพันธมิตรกลายพันธุ์นั้นพอมองออกได้ เพราะมีรูปร่างที่ผิดจากคนทั่วไป
คนอื่นๆพากันพยักหน้า ชุยเจี่ยนได้พูดขึ้นมา “ฉินอู่ตี้ผู้นี้น่าสงสัยอย่างมาก ”
“ข้าไม่รู้ว่าคืนนี้เขาจะมาหรือไม่ หากเขามา เราก็ใช้โอกาสนี้ทดสอบเขาได้” ลั่วซู่หยางครุ่นคิดและพูดขึ้นมา “ตอนนั้นให้ทุกคนสังเกตุเขาดีๆ อย่ามองข้ามแม้แต่น้อย”
ทุกคนพากันพยักหน้า เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับมนุษย์และโชคชะตาของพวกเขา มันไม่มีใครกล้ามองข้าม
สูงขึ้นไปหลายหมื่นลี้ ดวงจันทร์ได้ฉายแสงหม่นๆออกมาปกคลุมทั้งโลกทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา
ในคืนนั้นที่สมาคมนักวางค่ายกลได้มีร่างของกลุ่มคนในชุดอันหรูหราบินเข้ามาที่นั่น พร้อมกับแผ่พลังอันแข็งแกร่งออกมา
“มาแล้ว !” ลั่วซู่หยางแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืนแต่ด้วยสายตาของเขาแล้ว เขาสามารถเห็นคนที่บินเข้ามาได้อย่างชัดเจน มันคือฉินอู่ตี้จักรพรรดิของอาณาจักรฉิน
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ก็มีกลุ่มคนมากมายปรากฏตัวขึ้นมาในท้องฟ้าภายนอกสมาคมนักวางค่ายกล
ฉินอู่ตี้อยู่หน้าสุด ตามมาด้วยยอดฝีมือระดับสูงสุดคนที่เหลืออยู่ด้านหลัง พวกเขามีมากถึง 16 คน !
“มียอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่อยู่หลายคน!” ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆตะลึง ยอดฝีมือระดับสูงสุด 16 คน แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นต่ำ แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นภัยต่อเขาได้ นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่มียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางอย่างฉินอู่ตี้อยู่ด้วยเลย
ในเวลาเดียวกัน ฉินอู่ตี้และยอดฝีมือระดับสูงสุดคนอื่นๆต่างก็มองมาที่เหล่าเซียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขารับรู้ได้ถึงพลังจากลั่วซู่หยางและคนอื่นๆ นอกจากฉินอู่ตี้แล้ว คนอื่นๆต่างก็พากันแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
ฉินอู่ตี้ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเรียกข้ามาดึกดื่นแบบนี้มีเรื่องอะไรกัน?”
เขายิ้มออกมาก็จริง แต่น้ำเสียงของเขาได้แสดงความไม่พอใจออกมา ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด เหล่าเซียนได้บังคับให้พวกเขามายังสมาคมนักวางค่ายกล ลั่วซู่หยางถึงกับขู่ไว้ด้วยว่าให้คิดถึงผลที่ตามมาเอง นี่ชัดแล้วว่าพวกนี้ไม่เห็นพวกเขาในสายตา พวกเขาจะพอใจได้ยังไง ?
“ชายผู้นี้คือใครกัน?” ฉินอู่ตี้ไม่รอให้ลั่วซู่หยางได้ตอบกลับ เขามองไปที่ฝางมู่ สัญชาตญาณบอกเขาว่าฝางมู่อันตรายอย่างมาก ระดับความอันตรายไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วซู่หยางเลย ซึ่งนั่นทำให้เขาตกตะลึงอย่างมาก คนระดับนี้มีน้อยคนนักที่จะปิดบังตัวตนเอาไว้ ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีสำหรับฉินอู่ตี้เลย
ลั่วซู่หยางมองไปที่ฉินอู่ตี้ และพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “นี่คือผู้อาวุโสฝางมู่ ผู้อาวุโสฝางมู่เป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของท่านเป้ยหลง”
เมื่อได้ยินชื่อของเป้ยหลง ทุกคนต่างก็มองไปที่ฝางมู่ด้วยความแปลกใจ
ชายแก่ผู้นี้กลับเป็นศิษย์โดยตรงเพียงคนเดียวของคนในตำนานน่ะรึ ?
“การเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกันดึกดื่นแบบนี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่มันเกี่ยวข้องกับโชคชะตาของมนุษย์ ข้าต้องทำแบบนี้อีกในครั้งต่อไป หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ” ลั่วซู่หยางไม่ได้แสดงท่าทีเย่อหยิ่ง เมื่อก่อนเขามักจะชอบวางท่าราวกับว่าตัวเองสูงส่งจริงๆ และไม่มีเหตุผลที่จะขอโทษ แต่ถ้าหากเขายังคงแสดงนิสัยที่แข็งกร้าวเช่นนี้ออกมา เกรงว่าคนอื่นๆคงไม่รับฟังเขา และจะเป็นเขาเงที่มานั่งเสียใจในภายหลัง
ฉินอู่ตี้คิ้วขมวดขึ้นมา “อะไรกันที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของมนุษย์?”
ยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่หลายคนมองไปที่ลั่วซู่หยางด้วยความสงสัย หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “การยกระดับของเรานี้ทำให้สมดุลของยอดฝีมือระดับสูงสุดเสียรึ? เจ้าหมายความว่าการยกระดับของเรานี้เป็นภัยต่อมนุษย์งั้นรึ?”
“ในความเห็นข้าแล้วมันขึ้นอยู่กับมนุษย์เอง โชคชะตาเป็นแค่สิ่งจอมปลอม สิ่งที่เราทำต่างหากคือโชคชะตาของเรา!”
“ใช่ เราต่างก็เป็นมนุษย์ เราจะเป็นภัยต่อมนุษย์ได้ยังไง มันเป็นภัยต่อเจ้าต่างหากไม่ใช่สำหรับมนุษย์…”
“มันไม่จำเป็นต้องเรียกเรามาที่นี่ด้วยซ้ำ เจ้าคิดจะกำจัดเราที่เป็นภัยต่อเจ้าในคราวเดียวรึ? หากเจ้ามีความคิดแบบนั้นจริง ข้าขอบอกเลยว่าเจ้าคิดผิดไป…”
ยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ พากันหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำพูดเพียงประโยคเดียวจากลั่วซู่หยาง
ลั่วซู่หยางยังคงใจเย็นดังเดิม เขามองไปที่ผู้คนรอบๆ เมื่อทุกคนหยุดพูด เขาก็พูดขึ้นมาช้าๆ “ที่ข้าจะพูดตอนนี้พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะดูสองร่างนี้ก่อน หลังจากที่ตรวจสอบแล้วค่อยคุยเรื่องอื่นกันทีหลัง”
ตอนนั้นเอง ลั่วซู่หยางก็ได้โบกมือ และต่อหน้าทุกคนก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นมา
“ร่างอะไร? เจ้าคิดว่าแค่สองร่างนี้จะขู่เราได้รึ?” ฉินอู่ตี้ฮึดฮัดออกมา และมองไปยังร่างทั้งสองที่อยู่ที่พื้น โดยไม่คิดที่จะลดการป้องกันเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเขาเห็นร่างทั้งสองนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง “ นี่มัน…”
คนที่เหลือเมื่อได้เห็นร่างทั้งสอง ต่างก็พากันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ นี่เป็นมนุษย์รึสัตว์อสูรกันแน่ ? ”
ทั้งสองร่างนี้ ร่างหนึ่งไม่มีระดับการบ่มเพาะเหมือนกับคนทั่วไป และอีกร่างนั้นมีระดับการบ่มเพาะ แต่ร่างกายกลับปกคลุมไปด้วยขนที่ยาวรุงรัง…
พลังของเขาเป็นของมนุษย์ แต่รูปร่างนั้นดูคล้ายกับสัตว์อสูร…แปลกจริงๆ !
“ร่างหนึ่งคือเซิงเป่ยซิ่ว ข้ามั่นใจว่าบางคนคงเคยได้ยินชื่อเขามาก่อน” ลั่วซู่หยางพูดพร้อมกับมองดูท่าทีของแต่ละคน เรื่องที่สำคัญที่สุดคือตรวจสอบท่าทีของฉินอู่ตี้ เขาไม่คิดจะตัดอีกฝ่ายจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย โชคร้ายที่ท่าทีของฉินอู่ตี้ยังดูปกติไม่ได้น่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย “อีกร่างคือเซิงเฟิงเป็นลูกของเขา ข้าเรียพวกเจ้ามารวมตัวกันก็เพราะเซิงเฟิงผู้นี้!”
แม้ว่าท่าทีของฉินอู่ตี้จะยังดูปกติ แต่ลั่วซู่หยางก็ไม่ได้ลดความระวังลงเลยแม้แต่น้อย
“ข้ารู้จักเซิงเป่ยซิ่ว” ฉินอู่ตี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เขาเกิดมาก่อนข้าพันปี และถือว่าเป็นอัจฉริยะ ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้ว เขาจึงขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดได้ อาจารย์ข้าบอกว่าเขามีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง หากขยันในการบ่มเพาะเขาก็มีหวังที่จะขึ้นไปได้ถึงระดับท่านเป้ยหลง อาจารย์ของข้ายังไม่ดีเท่ากับเซิงเป่ยซิ่วผู้นี้ จากนั้นเซิงเป่ยซิ่วก็หายตัวไป ไม่มีข่าวคราวใดๆอีก ทุกคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเข้าไปในเขตหวงห้ามทั้งสาม”
เขามองไปที่ร่างที่ไม่มีการบ่มเพาะและสงสัยขึ้นมา “ชายผู้นี้ไม่มีการบ่มเพาะ เขาใช่เซิงเป่ยซิ่วจริงๆรึ?”
ลั่วซู่หยางพูดด้วยท่าทีเฉยชา “ไม่ต้องสงสัยเลย ชายผู้นี้คือเซิงเป่ยซิ่ว เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่มีการบ่มเพาะก็เพราะก่อนที่เขาจะตาย การบ่มเพาะเขาถูกทำลายลง หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้ามาตรวจสอบร่างกายของเขาดูได้ แม้ว่าการบ่มเพาะจะถูกทำลาย แต่ร่างกายของเขาก็ยังต่างจากคนทั่วไป ”
“หากชายคนนี้คือเซิงเป่ยซิ่วจริงๆ เขามีชีวิตอยู่มาหลายปี แน่นอนว่าเขาต้องแข็งแกร่ง ใครกันที่สามารถทำลายการบ่มเพาะของเขาได้?” ฉินอู่ตี้มองไปที่ลั่วซู่หยาง “ข้าไม่คิดว่าเจ้ากับคนของเจ้าจะทำแบบนั้นได้?”
ลั่วซู่หยางพูดขึ้น “เซิงเป่ยซิ่วไม่ได้แข็งแกร่งแบบที่เจ้าคิด แน่นอนถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ก็เป็นจริงตามที่เจ้าพูด พวกเราไม่อาจจะจัดการเขาได้ แต่….คนที่ทำลายการบ่มเพาะของเขานั้นไม่ใช่เรา”
“ใครกันที่ทำแบบนั้น?”
“ราชาสัตว์อสูร!” ลั่วซู่หยางพูดขึ้นช้าๆ “คนที่ทำลายการบ่มเพาะของเซิงเป่ยซิ่วคือราชาสัตว์อสูร! คนที่ฆ่าพ่อกับลูกนี้คือศิษย์สายตรงของราชาสัตว์อสูร องค์หญิงของเผ่าจิ้งจอก ไป่หลิง!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างก็พากันเงียบสนิท