ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 219 แหล่งกบดาน
บทที่ 219
แหล่งกบดาน
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกีบม้าก็ปลุกผู้คนสกุลเจียงให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ป้ายจตุลักษณ์ได้ถูกอัญเชิญกลับมายังบ้านสกุลเจียงเป็นที่เรียบร้อย
ป้ายจตุลักษณ์นี้ถูกแกะสลักด้วยลวดลายของสัตว์เทพแห่งทิศทั้งสี่ มังกรฟ้า หงส์แดง พยัคฆ์ขาว และเต่าคะนอง พอ เย่เย่เหลือบเห็นดังนั้นเขาก็มั่นใจว่ามันเป็นของแท้อย่างแน่นอน เขาจึงคว้ามันจากมือของสารถีและเดินจากไปก่อนที่ป้ายนั้นจะถูกส่งไปยังมือของผู้นำตระกูลเสียอีก
ท่าทีที่ดูหมิ่นของเย่เย่ ก็ยิ่งสุมไฟแค้นให้กับผู้คนสกุลเจียง แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจ้องมองป้ายศักดิ์สิทธิ์ถูกคนนอกช่วงชิงไปต่อหน้าต่อตา
เมื่อเย่เย่กลับมาถึงหอการค้า เขาก็พบว่าป้ายจตุลักษณ์นี้มีความสามารถอย่างอื่นอีก นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของประมุขแล้ว มันยังมีกลไกของค่ายกลระดับสูงแฝงอยู่ภายในด้วย แต่ในตอนนี้เย่เย่ยังไม่มีเวลามากพอที่จะศึกษามันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ข่าวการบุกคฤหาสน์สกุลเจียงก็ทำให้ชื่อเสียงของหอการค้าหยูเย่เป็นที่เลื่องลือขึ้นอีกครั้ง เย่เย่จึงฉวยโอกาสนี้จัดการประมูลครั้งแรกของสาขาหวางตู้ขึ้น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทำกำไรให้กับหอการค้าหยูเย่อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ครั้นเมื่อเย่เย่แลกเปลี่ยนตั๋วทองจำนวนมหาศาลเข้าระบบ เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้น
“จำนวนเงินในระบบถึงตามเงื่อนไข ปลดล็อกอุปกรณ์ขั้นสูง” เย่เย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับลิสต์ไอเทมที่ถูกเพิ่มเข้ามาในระบบอย่างรวดเร็ว จนเขาถึงกับใช้นิ้วเลื่อนตามไม่ทัน
พอเห็นยุทโธปกรณ์เหล่านี้ ในหัวของเย่เย่ก็นึกถึงกองกำลังปีกแห่งแสง หลังจากที่เขาอดใจไม่ไหวแลกอุปกรณ์เหล่านั้นออกมาจำนวนหนึ่งเก็บไว้คลังสินค้าภายในอารามวิถีสวรรค์ ก่อนสวมเกราะทมิฬบินตรงไปยังตำแหน่งของเซี่ยไป่สีที่เขาใช้เหรียญสะกดรอยติดตามอยู่
หลังจากที่ผ่านป่ารกชัฏที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็เริ่มเห็นวี่แววของเมืองร้างเล็กๆอยู่ด้านหน้า แต่ทว่าใจกลางเมืองร้างนั้นกลับมีจัตุรัสที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านี่คงจะเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังปีกแห่งแสง
ทันใดนั้นเย่เย่ก็เหลียวไปเห็น ชายในชุดขาว ที่ดูคุ้นตากำลังสนทนาอยู่กับชายผู้ที่ดูท่าว่าจะเป็นหัวหน้าของเขาอยู่
‘ชายคนนั้นคงจะเป็นหัวหน้าของกองกำลังสินะ ดีล่ะ’ ครั้นลาดตระเวนดูลาดเลาของกองกำลังเสร็จสรรพ เย่เย่ก็ตัดสินใจบินโฉบลงต่ำเพื่อให้ปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าสาวก
ครืนนนนนนนนนนนนนน
การกระพือปีกเบาๆของเย่เย่ ก่อให้เกิดมรสุมขนาดย่อมๆ พัดฝุ่นและเศษไม้ใบหญ้าปลิวว่อนไปในอากาศ
ด้วยพลังของเย่เย่ทำให้เหล่าสาวกแตกตื่น พากันกระจายกำลังออกไปและกระชับอาวุธของตนแน่น พวกเขาต่างคิดว่าถูกแปดนิกายลอบโจมตีเข้าให้แล้ว แต่เมื่อมีสาวกคนหนึ่งชี้ไปบนท้องฟ้า ท่าทีหวาดระแวงของเหล่ากองกำลังปีกแห่งแสงก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“น่ะ น่ะ น่ะ นั่นมันท่านประมุขไม่ใช่รึไงน่ะ?” สาวกที่ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า แหกปากออกมาด้วยความตกตะลึง
“จริงด้วย! ในที่สุดท่านก็ปรากฏตัว”พวกเขาต่างตื่นเต้น จนทำตัวไม่ถูก ก่อนจะรวบรวมสติกลับมาได้
สาวกทุกคนต่างคุกเข่าลงทำความเคารพเย่เย่อย่างพร้อมเพรียง โดยที่ไม่มีใครตั้งข้อสงสัยเลยแม้แต่คนเดียวว่าผู้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นตัวจริงรึตัวปลอมกันแน่
ทันใดนั้นชายสามคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งกว่าคนอื่นๆก็ลุกขึ้น ก้าวเท้าออกมาด้านหน้าฝูงชน และแนะนำตัวต่อหน้าประมุขแห่งอาราม
“ข้าน้อยตงซาน หัวหน้ากองกำลังหนึ่งในสามผู้ก่อตั้งกองกำลังปีกแห่งแสง ส่วนสองคนนี้คือน้องชายร่วมอุดมการณ์ของข้า ตงหยูและตงซิง” ชายผู้เป็นหัวหน้าประสานมือแนะนำตัว ก่อนผายมือแนะนำให้รู้จักกับน้องชายร่วมตระกูลทั้งสอง
“ข้าตงหยู/ตงซิง เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านประมุข!” ทั้งสามพี่น้องมีบุคลิกเปิดเผย เสียงพูดจึงดังฟังชัด สมกับเป็นผู้กล้าแห่งยุค
ระหว่างนั้นเย่เย่ก็ร่อนตัวลงมายังพื้น ยืนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา ก่อนถามขึ้น
“พวกเจ้าไม่ใช่คนของข้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องติดตามข้า วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะต้องการถามพวกเจ้าหนึ่งสิ่ง”
“…เชิญท่านว่ามา” แม้สามพี่น้องจะรู้สึกจุกอกกับคำพูดที่ไร้เยื่อใยของเย่เย่ แต่ความศรัทธาที่มีต่อประมุขของพวกเขาก็ไม่ได้เสื่อมคลายลงง่ายๆ
“ที่หวางตู้มีข่าวลือหนาหู เกี่ยวกับสงครามระหว่างพวกแปดนิกายหลัก พวกเจ้าคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้” เย่เย่พูดด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม พลางกวาดสายตามองไปยังสาวกโดยรอบ
“เรียนตามตรงก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งคนของข้า ไปสั่งซื้อยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่งเพื่อหวังจะแทรกแซงสงครามตามอุดมการณ์ของท่านประมุข แต่ลูกน้องข้าไร้ความสามารถที่เขาซื้อมาได้มีเพียงแต่ของไม่ได้คุณภาพทั้งนั้น” ตงซานกล่าว พลางส่งสายตาตำหนิไปยังเซี่ยไป่สีที่ก้มหน้าด้วยความละอายใจ
“น่าๆพี่ใหญ่ อย่าไปแขวะเด็กมันมากนักเลย ไหนๆท่านประมุขก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ท่านจะเอาอะไรอีกเล่า” ตงซิงน้องคนเล็กตบบ่าเตือนสติพี่ใหญ่อย่างเบามือ
ระหว่างนั้นตงหยูก็พลันนึกถึงเรื่องในอดีตที่เป็นต้นกำเนิดของกองกำลังที่พวกเขาสามพี่น้องช่วยกันก่อร่างสร้างตัวขึ้น
สามพี่น้องตระกูลตงนั้นเติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบาก พวกเขาสูญเสียบุพการีตั้งแต่ยังเล็กจากภัยสงคราม ทั้งสามที่เกลียดสงครามยิ่งกว่าอะไรดีจึงร่วมกันตั้งปณิธานขจัดภัยสงครามให้พ้นไปจากแผ่นดิน แต่เมื่อพวกเขาเติบใหญ่ขึ้นและได้เผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้าย ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าด้วยกำลังของพวกเขาทั้งสามก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ทว่าวันหนึ่ง ตงซานได้พบตำราเล่มหนึ่งที่บุพการีของพวกเขาทิ้งไว้โดยบังเอิญ ภายในกล่าวถึงตำนานปรัมปราเกี่ยวกับบุรุษผู้ยับยั้งสงครามทั้งปวง ชั่วขณะที่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลนั้นเอง แสงสีดำดังคำกล่าวในตำราก็พุ่งตัดผ่านเหนือท้องฟ้า ทำให้ปณิธานที่เขาเคยตั้งไว้ในวัยเด็กหวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็แรงกล้าขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวี…