ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 220 ของขวัญล้ำค่า
บทที่ 220
ของขวัญล้ำค่า
เมื่อประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ปรากฏตัวเบื้องหน้าพวกเขา สามพี่น้องผู้ก่อตั้งกองกำลังมาด้วยปณิธานอันแรงกล้า ก็อดตื้นตันใจไม่ได้ พวกเขาต่างคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะที่กองกำลังปีกแห่งแสงจะประกาศศักดาให้กึกก้องออกไปทั่วหล้า
นับตั้งแต่ตั้งกองกำลังมา ด้วยอุดมการณ์ของพวกเขา ทำให้กองกำลังปีกแห่งแสงสามารถรวบรวมไพร่พลจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น
เย่เย่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวตนของเขา จะดึงดูดความสนใจของผู้คนมากขนาดนี้มาก่อน ระหว่างที่ใช้ความคิดอยู่นั้น ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเขาก็ผุดยิ้มเล็กๆขึ้นมาที่มุมปาก เย่เย่สลัดความลังเลทั้งหมดทิ้งไป และกล่าวขึ้นท่ามกลางสีหน้าที่คาดหวังของฝูงชน
“พวกเจ้า ถอยออกไปก่อน ข้าจะแสดงอะไรให้พวกเจ้าดู”
เหล่าสมาชิกกองกำลังปีกแห่งแสง หันหน้ามองกันอย่างงุนงง ก่อนจะทำตามคำสั่งของเย่เย่อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เย่เย่ดึงแหวนวงเล็กออกจากนิ้ว โยนมันขึ้นไปบนฟ้า เกิดแสงเจิดจรัสจนฝูงชนต้องยกมือขึ้นมาป้องตาไว้
ครืนนนนนนนนนนนนนนน
เมื่อแสงสว่างจางลง อารามสูงเสียดฟ้าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสีหน้าอันเหลือเชื่อของผู้คน ดวงตาของพวกเขาเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้น
“1 2 3 4 5 6 7 8 9!?” น้องรองสกุลตงไล่นิ้วนับชั้นของอารามอย่างช้าๆ
“นี่น่ะหรือ อารามวิถีสวรรค์!?”
“ขอบคุณสวรรค์ ที่ปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้” ตงซานคุกเข่าแหงนมองฟ้า ด้วยความตื้นตัน
เย่เย่นั้นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นมาของอารามมากนัก รู้แต่เพียงว่าอารามวิถีสวรรค์เป็นขั้วตรงข้ามที่คานอำนาจทัณฑ์สวรรค์อยู่ก็เท่านั้น เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจท่าทีและอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา
“ย่อมได้ ถ้าพวกเจ้าอยากเป็นกำลังให้ข้าล่ะก็ เข้ามาสิ ในอารามอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งโลกและสวรรค์ ข้ามั่นใจว่าด้วยสิ่งนี้จะทำให้พวกเจ้าทุกคนพัฒนาวรยุทธ์ได้อย่างก้าวกระโดด”
แม้ตงซานจะเคยป่าวประกาศว่ากองกำลังจะทำตามประสงค์ของประมุข แต่เย่เย่ก็ไม่คิดจะบีบบังคับพวกเขา ไม่ว่ากองกำลังปีกแห่งแสงจะตัดสินใจอย่างไร อุดมการณ์ของเขาก็ไม่สั่นคลอน
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ก็เป็นไปอย่างที่เย่เย่คาดเอาไว้ สิ่งที่คนพวกนี้มีไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่เป็นความศรัทธาที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ หลังจากที่เย่เย่เปิดประตูของอารามออก พวกเขาก็ไม่มีทีท่าลังเลที่จะก้าวเข้าไปเลยแม้แต่น้อย
เมื่อสมาชิกกองกำลังเข้ามาจนครบทุกคน พวกเขาก็พบว่าสิ่งที่ประมุขกล่าวนั้นไม่ได้เกินจริงไปเลยสักนิด ห้องโถงชั้นแรกนั้นกว้างใหญ่สามารถรองรับพวกเขาทั้งหมดได้อย่างเหลือเฟือ
หลังจากพวกเขากวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความตื่นตาตื่นใจแล้ว ก็พบกับหีบขนาดใหญ่ที่ดูยังไงก็ไม่อาจยกได้ด้วยกำลังของคนคนเดียวแน่ๆ แต่เมื่อเทียบกับขนาดห้องโถงมันก็ดูเล็กลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่พวกเขาจดๆจ้องๆอยู่หีบนั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังกังวานขึ้น
“หีบตรงหน้าพวกเจ้า ข้าได้รวบรวมอุปกรณ์ชั้นยอด ทั้งชุดเกราะ อาวุธ ยารักษาและปรับสมดุลพลังปราณที่เหมาะสมกับระดับวรยุทธ์ของพวกเจ้าไว้แล้ว รับมันไปสิ”
คนแรกที่กำลังใช้มือสัมผัสกล่อง ก็สะดุ้งโหยงถอยออกไปสองก้าว สมาชิกกองกำลังคนอื่นๆก็หันซ้ายทีขวาที พยายามสอดส่องหาที่มาของเสียงนั้น แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ก่อนที่ตงซานจะอาสาออกมาเปิดกล่องยักษ์นั้นด้วยตัวเอง
เอี๊ยดดดดดดด
เพียงแง้มกล่อง แสงเงาวิบวับที่สะท้อนกับโลหะที่อยู่ภายในก็แทรกช่องแคบๆของหีบออกมา
“น่ะ นี่มัน!? ของชั้นยอดทั้งนั้นเลยนี่น่า!”
“จริงด้วย! ท่านพี่ สวรรค์ทรงโปรด”
“สะวง สวรรค์อะไรกันเล่า ต้องขอบคุณท่านประมุขที่เมตตา!” ตงหยูตบหัวตงซิงดังฉาด
“แหะ แหะ มันติดปากน่ะ ขออภัยด้วยขอรับท่านประมุข” ตงซิงเกาหัวและยิ้มแหยๆออกมาอย่างไม่ประสีประสา
“พวกเจ้า เลิกติ๊งต๊องได้แล้ว” พี่ใหญ่ตงซานแผดเสียงดุออกมา จนทำให้ทั้งตงหยูและตงซิงต้อง ก้มหน้าหงอไปตามๆกัน
ยุทโธปกรณ์ที่อยู่ในกล่องนั้นคุณภาพสูงกว่าที่เซี่ยไป่สีซื้อมาอยู่หลายเท่าตัว นอกจากอุปกรณ์สำหรับวรยุทธ์ขั้นเทพอสูรที่ว่าราคาสูงลิ่วตามท้องตลาดแล้วนั้น ยังมีอุปกรณ์สำหรับวรยุทธ์ขั้นจิตพิสุทธิ์ที่หาได้ยากยิ่งในยุทธภพอีกด้วย
ก่อนที่เย่เย่จะแลกของระดับจิตพิสุทธิ์ออกมานั้น เขาคิดอย่างรอบคอบแล้วว่าเขาจะมอบให้เฉพาะกับคนที่เป็นพันธมิตรเท่านั้น ไม่เคยมีความคิดที่จะขายหรือประมูลเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากสินค้าที่ขายไปอาจกลายเป็นดาบสองคมหวนกลับมาทำร้ายเขาในอนาคตได้ โดยปกติแล้วเย่เย่จึงมักขายเฉพาะของที่ระดับต่ำกว่าตนหรือของที่เขามั่นใจว่าจะรับมือได้เท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ข่าวความบาดหมางระหว่างนิกายวิถีสวรรค์ และนิกายเมฆาสวรรค์ก็เป็นที่กล่าวขานไปทั่วยุทธภพ ผู้คนต่างเชื่อว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเพราะทั้งสองนิกายแม้จะไม่ลงรอยกันมาอย่างช้านานแต่ต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันในหลายๆแง่
อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งสองฝ่ายออกมาประกาศสงคราม กองกำลังและตระกูลต่างๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสงครามครั้งนี้ก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป
แม้แต่กลุ่มที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยังเป็นกังวลว่าสงครามระดับมหัพภาคนี้จะส่งผลกระทบถึงความมั่นคงและอนาคตของแผ่นดินฉางหลาง
กระนั้นก็ยังมีบางกลุ่มที่หัวใสคาดการณ์ว่า การต่อสู้ของสองนิกายในครั้งนี้เป็นเพียงแผนล่อเสือออกจากถ้ำเท่านั้น หากประมุขแห่งอารามไม่ปรากฏตัว ตัวตนของเขาก็จะไร้ซึ่งความชอบธรรมและหมดความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย แต่หากเขาปรากฏตัวขึ้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับหนูติดจั่น
เย่เย่ที่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับศึกสงครามครั้งนี้ตั้งแต่ก่อนออกจากหวางตู้ เขาก็คาดไว้ตั้งแต่แรกว่านี่เป็นกับดัก แต่เป็นกับดักที่เขาในฐานะประมุขแห่งอารามไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงได้เตรียมการล่วงหน้า แลกยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นออกมาจากระบบมอบให้กับกองกำลังปีกแห่งแสง และขัดเกลาพลังให้พร้อมสำหรับศึกครั้งใหญ่ในอีกสิบวันข้างหน้า
เมื่อกองกำลังปีกแห่งแสงเข้ามาในอารามได้พักหนึ่ง เย่เย่ก็ไม่รอช้าคืนสภาพอารามขนาดใหญ่กลับเป็นแหวน สวมเข้าที่กลางด้านขวา และมุ่งหน้ากลับไปยังหอการค้าหยูเย่ ณ เมืองหวางตู้ในทันที
เดิมทีเขาตั้งใจจะบ่มเพาะพลังปราณ และฝึกฝนวิชายุทธ์ตามลำพัง แต่พอเขากลับมาถึงก็ต้องประหลาดใจกับจำนวนคนที่คับคั่งอยู่ด้านหน้าหอการค้าของเขา โดยมีลู่จุ้นเพียงคนเดียวที่คอยปรามไม่ให้พวกเขาเข้าไปในหอ
นับจากวันที่เขาบุกคฤหาสน์สกุลเจียง ก็ผ่านมาได้ราวสองวัน ชื่อเสียงของเขาก็ทำให้หลายสำนักที่ไม่พอใจสกุลเจียงเป็นทุนเดิมต่างให้ความสนใจกันยกใหญ่
“เสี่ยวเอ้อ ไปเรียกเถ้าแก่มาซิ! พวกข้ามีเรื่องต้องคุยกับเขา”
“ตอนนี้เถ้าแก่ของข้าฝึกวิชาอยู่ พวกท่านได้โปรดกลับมาวันหลังเถอะ!” ลู่จุ้นพูดด้วยเสียงดังฟังชัด เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้คนพวกนี้เข้าไปได้ เขาคงจบไม่สวยแน่ พอคิดได้ดังนั้นก็กลืนน้ำลายลงไปเอื๊อกใหญ่
เย่เย่ที่เพิ่งมาถึง ก็ทำทีเดินลงมาจากห้องชั้นบน
‘เฮ้อ พอหอการค้าเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาหน่อย คนพวกนี้ก็มาประจบประแจง ไม่ว่าหน้าไหนๆก็เป็นเหมือนกันหมด’ เขาคิดพลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด และแน่นอนว่าเย่เย่ไม่คิดจะคบค้าสมาคมกับคนจำพวกนี้ เขาจึงสั่งให้ลู่จุ้นส่งแขกกลับไปให้หมด
แต่พอเขาเหลือบตาไปเห็น เซี่ยงเฟ่ยหลินอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เขาก็เชิญจ้าวสำนักข่าวขึ้นมาจิบน้ำชาด้วยกัน หากไม่ได้คำเตือนของเซี่ยงเฟ่ยหลินในวันนั้น เย่เย่ก็คงไม่มีวันได้เบาะแสของกองกำลังปีกแห่งแสงและชี้ตัวคนร้ายที่ขโมยดาบประกายเพลิงไปได้ ดังนั้นเย่เย่จึงรู้สึกติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ไม่น้อย
“ฮ่า ฮ่า ท่านเย่ คนกันเองไม่ต้องมาพิธี นึกไม่ถึงว่าท่านจะบุกไปคฤหาสน์สกุลเจียงด้วยตัวเองเช่นนี้” เซี่ยงเฟ่ยหลินประสานมือตอบรับคำเชิญของเย่เย่
“ถ้าพวกเขาไม่หาเรื่องข้าก่อน ก็ไม่ต้องพบกับจุดจบเช่นนั้นหรอก” เย่เย่ยิ้มและตอบกลับเซี่ยงเฟ่ยหลินอย่างเรียบๆ พลางยกแก้วน้ำชาขึ้นซดราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
จ้าวสำนักพิราบฟ้าเห็นดังนั้น ก็ตบเข่าฉาด และหัวเราะลั่นให้กับท่าทีผ่อนคลายของเย่เย่
“ฮ่าฮ่าฮ่า ให้มันได้อย่างนี้สิ! ข้าล่ะถูกใจท่านจริงๆ! ถ้าข้ามีความกล้าได้ครึ่งหนึ่งของท่าน ข้าคงไม่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างละอายใจเช่นนี้หรอก ฮ่าฮ่าฮ่า”
ตั้งแต่การพบกันครั้งที่แล้วทำให้เย่เย่นั้นรู้ว่าเซี่ยงเฟ่ยหลินเป็นคนระมัดระวังตัวมาก เนื่องจากตัวเขานั้นกุมความลับไว้หลายเรื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักข่าวพิราบฟ้าของเขาเหลือเพียงชื่อ เซี่ยงเฟ่ยหลินจึงตั้งกฎเหล็กไว้ 3 ข้อ และจะไม่ขายข้อมูลเหล่านั้นให้ใครเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยเด็ดขาด
เซี่ยงเฟ่ยหลินนั้นรู้ดีว่าเขาไม่มีวันเป็นคนอย่างเย่เย่ได้ พอพูดจบประโยคเขาก็ถอนหายใจให้ความไร้พลังของตน เมื่อปรับอารมณ์เสร็จสรรพ จ้าวสำนักพิราบฟ้าก็เริ่มเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้…