ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 222 กู่เชิง BY OHMLETT
บทที่ 222
กู่เชิง BY OHMLETT
“เอ่อ…รับทราบขอรับ” แม้ลู่จุ้นจะไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของเย่เย่ แต่เขาก็รับคำสั่งมาโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก และนำสินค้าจำนวนหนึ่งของหอการค้าหยูเย่ รวมไปถึงยาคืนสมดุลไปโฆษณาต่อหน้าสาธารณชนที่เดินผ่านไปผ่านมา
สินค้าประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าจำพวกยุทโธปกรณ์นั้นได้รับความสนใจจากฝูงชนอย่างล้นหลาม แต่ทว่าสำหรับยาคืนสมดุลที่มีสรรพคุณเฉพาะทางนั้นกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ลู่จุ้นคิดไม่ตกว่าแท้จริงแล้ว เย่เย่ต้องการอะไรกันแน่
หลังจากนั้นได้หนึ่งวัน กู่เชิงที่ได้รับรายงานเกี่ยวกับยาดังกล่าว ก็เดินทางมายังหอการค้าหยูเย่พร้อมกับบริวารของเขา กู่ไป่ ตามการคาดการณ์ของเย่เย่
“เสี่ยวเอ้อ! ไหนล่ะยาคืนสมดุลที่เจ้าว่า!?” มาถึงไม่ทันไร กู่ไป่ก็ชี้นิ้วทวงถามลู่จุ้นด้วยท่าทางหยาบคาย ราวกับลู่จุ้นเป็นคนใช้
ลู่จุ้นขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับท่าทีที่ไม่ให้เกียรติของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่ชอบให้ใครมาเรียกเขาว่าเสี่ยวเอ้อ เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนข้ารับใช้โสโครกๆตามโรงเตี๊ยมทั่วไป
กู่เชิงและกู่ไป่นั้นเพิ่งกลับมาจากการฝึกวรยุทธ์ได้ไม่นาน ทำให้พวกเขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของหอการค้าหยูเย่ ด้วยความร้อนรนที่จะรักษาอาการป่วย จึงทำให้พวกเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น
“ยาคืนสมดุลไม่ใช่สินค้าทั่วๆไป กรุณารอสักครู่ข้าจะไปเรียกเถ้าแก่มาพบพวกท่านทั้งสอง” ถึงแม้ลู่จุ้นจะไม่ถูกจริตกับคนสกุลกู่ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะทำตามหน้าที่ของตน หลังพูดจบเขาก็รีบขึ้นไปรายงานแก่เย่เย่ในทันที
หลังจากนั้นได้ไม่นาน ลู่จุ้นก็ลงมาเชิญกู่เชิงไปเข้าพบกับเย่เย่ โดยที่ให้บริวารของเขารออยู่ที่ชั้นล่าง แต่ทว่า
“เหอะ เหลวไหลทั้งเพ! จ้าวตระกูลกู่อุตส่าห์ให้เกียรติมาที่นี่ด้วยตนเอง เถ้าแก่ของท่านต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายลงมาพบ!” กู่ไป่กอดอก พลางสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ
กู่เชิงเองก็เหลือบตามองต่ำด้วยสายตาเหยียดหยาม หากไม่ติดว่าเขาไม่อาจโคจรพลังปราณได้ เขาก็คงจะสั่งสอนลู่จุ้นไปสักสองสามกระบวนไปแล้ว
“ที่นี่คือหอการค้าหยูเย่ มิใช่ตระกูลของท่าน หากไม่เคารพกฎก็เชิญกลับไปเถอะ” ตั้งแต่ที่ลู่จุ้นได้ทำงานกับเย่เย่มาพักหนึ่ง เขาก็ซึมซับนิสัยหัวดื้อหัวรั้นจากเย่เย่มาอยู่ไม่น้อย เมื่อพูดจบเขาก็เมินแขกทั้งสองราวกับเป็นอากาศธาตุไป
“นี่เจ้า!” กู่เชิงที่เริ่มหมดความอดทน ก็ยกมือที่สั่นเทา ชี้หน้าลู่จุ้นด้วยความโกรธ
กู่ไป่เห็นดังนั้น ก็ไม่ปล่อยให้ถึงมือของท่านจ้าวตระกูล เขาเดินลมปราณลงที่เท้า กระชับระยะเข้าหาลู่จุ้นด้วยความว่องไว
เปรี้ยงงงงงงงงง!
ในเสี้ยววินาทีนั้น เย่เย่ที่ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทจากด้านล่าง ก็ปรากฏตัวขึ้น หมุนตัวถีบกู่ไป่จนปลิวออกจากประตูไป กระแทกกับพื้นถนนด้านนอก
“อั่กกกกกกกกก”
ยุทธพริบตาของเย่เย่ รวดเร็วจนแม้แต่จอมยุทธ์จิตพิสุทธิ์อย่างกู่เชิงยังไม่อาจมองออกได้ด้วยตาเปล่า
“นี่ท่านบรรลุขั้นก้าวสวรรค์แล้วงั้นรึ!?” กู่เชิงอ้าปากหวอ อุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง และเริ่มตระหนักถึงความห่างชั้นของพลัง
“ถ้าข้าคิดไม่ผิดท่านก็คือ เย่เย่ เถ้าแก่หอการค้าหยูเย่สินะ ข้ากู่เชิงประมุขสกุลกู่ บริวารของข้าเลินเล่อไปชั่วขณะต้องขออภัย หวังว่าท่านเย่จะไม่ถือสา” จ้าวตระกูลกู่ประสานมือ และก้มหน้าลงอย่างช้าๆเพื่อขอโทษขอโพย
“เงยหน้าขึ้นเถอะ ไม่จำเป็นต้องมากพิธีนักหรอก” เย่เย่สอดมือประคองแขนทั้งสองของกู่เชิง ก่อนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ท่านเย่ช่างมีเมตตา เลื่อมใส เลื่อมใส” กู่เชิงก้มแล้วก้มอีก จนแม้แต่ลู่จุ้นที่ดูอยู่ยังรู้สึกปวดหลังแทน
“ท่านกู่กล่าวเกินไปแล้ว เมื่อครู่บริวารของข้ารายงานว่าท่านมาเพื่อเจรจาซื้อขายยาคืนสมดุลสินะ เช่นนั้นเชิญมาที่ด้านบนก่อน เชิญ!” ในเมื่อปลาใหญ่มาฮุบเหยื่อถึงที่ เย่เย่ก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสทำกำไรนี้ให้หลุดรอดไปได้ง่ายๆ เขาผายมือก่อนเดินนำขึ้นไปยังห้องรับรองแขก
“พักนี้ท่านเย่ดูเปลี่ยนไป ท่านเป็นคนที่ใจเย็นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?” นับตั้งแต่ที่เซี่ยงเฟ่ยหลินมาเยือน ท่าที อุปนิสัยของเย่เย่ก็ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ลู่จุ้นที่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจก็อดพึมพำกับตัวเองออกมาไม่ได้
เย่เย่ที่หูผีก็แอบได้ยินคนนินทาจากด้านหลัง เขาก็ชายตามองลู่จุ้นราวกับอยากจะบอกว่า ‘เลิกอู้แล้วไปทำงานซะ’
ลู่จุ้นคุ้นเคยกับสายตานั้นเป็นอย่างดี ก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา เขารีบเบือนหน้าหลบสายตาที่เยือกเย็นปานอสรพิษ และกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองโดยที่ไม่ปริปากบ่นใดๆออกมาอีก
เมื่อเย่เย่และกู่เชิงนั่งลงเสร็จสรรพ เย่เย่ก็ทำทีเป็นกลุ้มใจออกมาทางสีหน้า จนกู่เชิงสังเกตได้
“ไม่ทราบว่าท่านเย่กังวลสิ่งใดอยู่?” ด้วยความสงสัย กู่เชิงจึงเริ่มเอ่ยปากถามก่อน
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ลมปราณของท่านแตกซ่าน ไม่อาจเดินพลังได้อย่างใจนึกสินะ”
ปึง!
กู่เชิงประคองร่างที่สั่นเทา ลุกขึ้นพรวดและกุมมือของ เย่เย่เอาไว้แน่น ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ท่านเย่ ท่านเป็นหมอเทวดารึไงกัน? ใช่แล้ว เป็นจริงอย่างที่ท่านพูดทุกประการ ข้าตามหาวิธี รักษาอาการนี้โดยที่ไม่ส่งผลกระทืบต่อร่างกายในระยะยาวแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ กระทั่งได้ข่าวของยาคืนสมดุลของท่านข้าจึงรีบบึ่งมาในทันที ได้โปรดท่านเย่ ท่านคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของข้า”
อย่างไรก็ตาม เย่เย่ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่กลับพูดขึ้นสีหน้าหนักใจ “เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่น่าเสียดายจริงๆ” พอพูดจบประโยค เย่เย่ก็ลุกขึ้นเดินหันหลัง เหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง พลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด
“ทะ ท่านเย่ อย่าบอกนะว่า แม้แต่ยาของท่านก็ไม่อาจรักษาอาการของข้าได้!? แค่ก แค่ก” เมื่อเห็นท่าทีของเย่เย่ อาการของกู่เชิงก็เริ่มกำเริบขึ้นมา จนหน้าถอดสี
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้กู่เชิงจะค้นพบวิธีรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้ แต่ต้องแลกมาด้วยวรยุทธ์ทั้งหมดที่เขาบ่มเพาะมาทั้งชีวิต กู่เชิงนั้นเป็นคนประเภทฆ่าได้หยามไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยอมตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่อย่างอับอายฟ้าดิน
“ท่านกู่อย่าได้ใจร้อนไป หนทางน่ะพอมีอยู่ แต่ข้าต้องบอกกับท่านตามตรงว่าหอการค้าหยูเย่ของข้ายึดถือชื่อเสียงเป็นสำคัญ หากข้าขายยาให้ท่านไปแล้วท่านไม่หาย มีหวังเสื่อมเสียชื่อเสียงกันพอดี ดังนั้นข้าจึงไม่อาจรับปากท่านได้”
เมื่อได้ยินเย่เย่พูดดังนั้น กู่เชิงก็เริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านเย่ เชิญว่ามาตามตรง ไม่ต้องอ้อมค้อม หากยาของท่านสามารถรักษาข้าได้ เรียกราคาเท่าไหร่ข้าก็ยอมจ่ายทั้งนั้น”
“เฮ้อ ข้าบอกไปแล้วเรื่องเงินสำหรับข้ามันก็แค่เรื่องเล็ก ตราบใดที่หอการค้ายังมีความเชื่อมั่นอยู่ ลูกค้าข้าจะหาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้” เย่เย่ถอนหายใจอีกครั้ง
กู่เชิงกัดริมฝีปากจนเลือดซิบออกมา ก่อนพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านจะเรียกเท่าไหร่ก็เชิญว่ามาได้เลย หากข้าทำให้หอการค้าของท่านเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้ายินดีจ่ายค่าชดเชยตามที่ท่านต้องการ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ!”
แม้จะไม่เต็มใจ แต่กู่เชิงก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาพร้อมที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อขอความช่วยเหลือจากเย่เย่ ผู้ที่เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของเขา…