ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 235 ร้านแลกเงินจินหยินถัง
บทที่ 235
ร้านแลกเงินจินหยินถัง
“เย่เย่ นี่เจ้าสมองเสื่อมไปแล้วรึไง!? ข้าเป็นคนที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้นะ-” เหยียนลี่หยางพยายามพูดเรียกสติของเย่เย่ แต่ทว่า
เปรี้ยงงงงงงง
เย่เย่หมุนตัวถีบเข้าไปที่กลางอกของเหยียนลี่หยางอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลังของเขาชนกับกำแพงห้องอย่างรุนแรง
“ช่วยชีวิตข้างั้นรึ? เจ้ารู้รึเปล่าว่าการระเบิดครั้งนั้นทำให้ข้าต้องสูญเสียไปเท่าไหร่กัน หา!?” ยิ่งฟังที่เหยียนลี่หยางพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกมากเท่าไหร่ เย่เย่ก็ยิ่งฉุนขาดมากขึ้นเท่านั้น นอกจากที่
เหยียนลี่หยางจะไม่เคยโผล่หัวมารับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เขายังกลับมาทวงบุญคุณด้วยท่าทียียวนอีกด้วย
“ถ้าข้าไม่แกล้งตาย เจ้าจะยอมรับพลังของอารามงั้นรึ? ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทวงบุญคุณเจ้า แต่มาเพื่อช่วยเจ้าต่อกรกับทัณฑ์สวรรค์ตะหาก” เหยียนลี่หยางใช้มือข้างหนึ่งจับข้อเท้าของเย่เย่ที่ยันอยู่กลางอก พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
ได้ฟังดังนั้นเย่เย่ก็คลายเท้าลงจากยอดอก ก่อนเดินไปเปิดประตูและผายมือเชิญแขกไม่ได้รับเชิญออกจากห้องไป
“ไปซะ ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอีกแล้ว ถ้าจะให้ดีไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก” เย่เย่ที่รู้สึกเหมือนโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่ยอมคล้อยตามคำหวานของเหยียนลี่หยางอีกเป็นครั้งที่สอง
แม้ด้วยชาติกำเนิดในโลกฝั่งนี้ของเย่เย่จะไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ได้ แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรขวางหูขวางตาทัณฑ์สวรรค์ จนกระทั่งมาพบกับ เหยียนลี่หยางดังนั้นเย่เย่จึงไม่ลังเลที่จะไล่เขากลับไป
“ไม่เอาน่า ยังไงซะพวกเราก็เป็นผู้สืบทอดเหมือนกัน สามัคคีกลมเกลียวกันไม่ดีกว่ารึไง? อีกอย่างข้ารู้ว่าที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรมาบ้าง ตามความเห็นของข้านะ เจ้าน่าจะกวาดล้างพวกแปดนิกายให้สิ้นซากตั้งแต่แรก ตงหมิงหยูอะไรนั่นด้วย มัวแต่รอเป็นฝ่ายตั้งรับแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?” เหยียนลี่หยางไม่รอเป็นฝ่ายตั้งรับ เขาวิจารณ์การกระทำของเย่เย่ในฐานะประมุขของอาราม
“กวาดล้างพวกแปดนิกายน่ะ ง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ แต่จะให้จัดการกับทัณฑ์สวรรค์ซึ่งๆหน้าเนี่ย เจ้าสมองกลับไปแล้วรึไง? ข้าจะพูดอีกรอบเดียว กลับไปซะ!” ในขณะที่เย่เย่ใช้กำลังผลักไสไล่ส่งเหยียนลี่หยางออกจากห้องไป ร่างของผู้สืบทอดรุ่นพี่ก็ทะลุผ่านตัวเย่เย่ไปด้วยความเร็วประหนึ่งภูตผี
“ก็ได้ๆ ข้ามันบ้า แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ช่วยเจ้า ไม่ว่าใครก็ห้ามข้าไม่ได้” เหยียนลี่หยางยืนกรานที่จะช่วย และเพิกเฉยต่อสีหน้ารำคาญใจของเย่เย่ เขารินน้ำชาใส่ถ้วยของเย่เย่ราวกับเป็นเจ้าบ้านเสียเอง
ในขณะที่เย่เย่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ การเคลื่อนไหวอย่างหมดจดเมื่อครู่ของ
เหยียนลี่หยางก็ทำให้เย่เย่ตระหนักได้ว่าวรยุทธ์ของผู้สืบทอดผู้พี่รุดหน้าไปอีกขั้นแล้ว และมันไม่ด้อยไปกว่าตอนที่เขาสวมเกราะทมิฬเลยเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเย่เย่ก็เลยต้องจำใจปล่อยให้เหยียนลี่หยางทำตามใจชอบ
“เฮ้อออ อยากทำอะไรก็ทำ อย่าไปกระตุกหนวดเสือเล่นก็พอ” เมื่อรู้ว่าเขาพ่ายแพ้ในสงครามประสาทเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน เย่เย่ก็ได้แต่กุมขมับอย่างไปไม่เป็น
“ในใต้หล้าไม่มีใครแฝงตัวได้แนบเนียนเท่าข้า เหยียนลี่หยางผู้นี้อีกแล้ว เชื่อมือข้าได้เลย!”
เหยียนลี่หยางยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิ ท่าทีติดตลกของเขาดูแล้วไม่มีความยำเกรงต่อทัณฑ์สวรรค์เลยแม้แต่น้อย
เย่เย่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ และพูดขึ้น
“แต่! มีข้อแม้ข้อหนึ่ง เจ้าต้องไปสืบเรื่องลู่จุ้นให้ข้า พักนี้เขาออกไปข้างนอกบ่อยจนผิดวิสัย ทำตัวลับๆล่อๆเหมือนปิดบังอะไรข้าอยู่”
“ข้าทราบแล้ว” เหยียนลี่หยางตอบเย่เย่ ก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปกับสายลมทางหน้าต่าง
เย่เย่ชะเง้อมองทางที่เหยียนลี่หยางจากไป ก่อนจะปรับอารมณ์ให้คงที่เพื่อให้พร้อมกับฝึกฝนวิชายุทธ์ต่อ
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ได้แม่นางเสวี่ยหยูมาแบ่งเบาภาระ ลู่จุ้นก็มีเวลาว่างหลังปิดร้านออกมาเยี่ยมเยียนบ้านสกุลหลิว
ในคืนนั้น ลู่จุ้นและหลิวเกิงเฉิงจ้าวตระกูลหลิวได้มาที่ร้านแลกเงินจินหยินถัง เพื่อข้อกู้เงินจำนวนหนึ่ง แต่พนักงานร้านแลกเงินกลับเมินพวกเขาทั้งสอง
“พวกท่านกลับไปเถอะ! ร้านแลกเงินจินหยินถังของพวกเราไม่มีนโยบายให้สกุลไร้ชื่อกู้เงิน” เฉิงเชียน พนักงานแลกเงินกล่าวด้วยสายตาดูหมิ่น และปฏิเสธการให้กู้ยืม
เนื่องจากร้านแลกเงินจินหยินถังเป็นร้านแลกเงินที่มีชื่อเสียงหวางตู้ พวกเขาจึงรับทำธุรกรรมกับตระกูลที่มีชื่อหรือคนใหญ่คนโตเท่านั้น จึงไม่แปลกที่เฉิงเชียนจะมีท่าทีเช่นนั้น
แม้ว่าหลิวเกิงเฉิงจะรู้สึกอับอาย แต่เขาก็พูดขอร้อง เฉิงเชียนอีกครั้ง “ท่านเฉิง สกุลหลิวของข้าขัดสนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากได้เงินก้อนนี้มาข้าสาบานว่าจะหากลับมาคืนท่านทบต้นทบดอกอย่างแน่นอน ได้โปรดพิจารณาใหม่ด้วยเถอะ!”
จากการช่วยเหลือของลู่จุ้น สกุลหลิวค่อยๆฟื้นฟูจากความยากลำบากขึ้นมาทีละนิด ตอนนี้พวกเขาต้องการเพียงเงินก้อนหนึ่งเพื่อนำมาต่อยอดให้มั่นคงและยั่งยืน
“ลูกไม้ของเจ้าน่ะ ข้าได้ยินทุกวันจนจำได้ขึ้นใจ สุดท้ายก็ไม่เคยเห็นหน้าไหนมาใช้หนี้สักตัว อย่ามาหลอกข้าซะให้ยากเลยตาแก่!” เฉินเชียนพูดกับหลิวเกิงเฉิงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะส่งสัญญาณให้ยามทั้งสองพาตัวหลิวเกิงเฉิงและลู่จุ้นออกไป
ทันใดนั้นเอง ชายชรารูปร่างซูบเซียวก็เดินลงมาจากชั้นสอง ก่อนจะสังเกตเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
“เฉินเชียน! เอะอะโวยวายอะไรกันน่ะ หือ?”
“ว่ะ เหวอ เถ้าแก่! ก็สองคนนี้น่ะสิจะมาหลอกกู้เงินจากร้าน ข้าเลยไล่ตะเพิดกลับไปขอรับ” เฉินเชียนชี้นิ้วไปที่หลิวเกิงเฉิงและลู่จุ้น พร้อมอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แฝงไปด้วยความยำเกรงที่มีต่อชายสูงวัย
เมื่อลู่จุ้นเหลือบเห็นใบหน้าของชายชรา นัยน์ตาของเขาก็ดูมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่แท้เป็นท่านน่ะเอง ไม่ได้เจอกันนานนะขอรับ ข้าลู่จุ้นจากหอการค้าหยูเย่” เมื่อเห็นโอกาสลู่จุ้นก็ไม่ลังเลที่จะคว้ามันเอาไว้
ทว่าชายชราก็จดๆจ้องๆเขาอยู่นานราวกับจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆเขาก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ก่อนที่จะนึกขึ้นได้และพูดกับลู่จุ้นด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“เจ้า! ผู้จัดการลู่! ต้องขอโทษด้วย สมองคนแก่อย่างข้าเห็นทีจะเลอะเลือนเสียแล้ว”…