ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 254 ประสบการณ์
บทที่ 254 ประสบการณ์
ถ้าหากเฉินเซียนสามารถบรรลุถึงขั้นจอมเทพได้ภายใต้แรงกดดันการต่อสู้ที่ชี้เป็นชี้ตายแล้ว เมื่อนั้นพลังของลำนำดอกบัวสีเลือดก็จะเปล่งประกายออกมาจริงๆ และเฉินเซียนก็มั่นใจว่าตัวเขานั้นจะสังหารจั่วซิ่วได้ทันที แต่ถ้าหากว่าเขาไม่สามารถบรรลุได้ เฉินเซียนจะไปขอกลับไปที่หลิงเฉิงอีก ตัวเขานั้นไม่กล้าที่จะไปบอกสวี่ซื่อเจี๋ยและเจิ้งซวี่เกี่ยวกับแผนการและการแอบหนีออกมาคนเดียวนี้
แต่ในเวลานี้เขาถูกพบโดยเกาหลิงเสียแล้ว เฉินเซียนก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอีกต่อไป เขาได้ผงกหัวให้กับเกาหลิงเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาคิด “ข้าคิดที่จะบรรลุสู่ขั้นจอมเทพโดยอาศัยการต่อสู้กับจั่วซิ่ว! ถ้าหากเจ้าคิดที่จะขวางข้าก็อย่าโทษข้าที่เสียมารยาทก็แล้วกัน”
เกาหลิงนั้นอยู่ในอารมณ์ที่บอกไม่ถูก เขามองไปที่เฉินเซียนด้วยสีหน้าจริงจังและไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นเทพอสูรได้โดยอาศัยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองได้ก็ตามที แต่การฝึกวิชาของเขาในเวลานี้ก็ไม่เสถียร จึงยังห่างไกลจากจุดสูงสุดของเทพอสูรอย่างเฉินเซียนนัก ทำให้ตัวเขาไม่คาดคิดว่าในขณะที่การฝึกวิชาในขั้นเทพอสูรของเขานั้นยังไม่เสถียรดี แต่ทว่าเฉินเซียนกลับได้เริ่มเตรียมตัวเพื่อที่จะบรรลุไปขั้นจอมเทพแล้ว
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เกาหลิงเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจและเริ่มยอมรับข้อนี้ได้ เขาจึงได้เริ่มฟื้นคืนความใจเย็นกลับมาได้
อย่างไรก็ตามเกาหลิงก็ไม่ได้ห้ามเฉินเซียนออกไปตามที่เขากล่าว กลับกันเขาได้เดินไปหาเฉินเซียนแล้วกล่าว “เจ้าคิดว่ามีเจ้าเพียงคนเดียวเหรอที่เป็นห่วงอนาคตของหอการค้าใบหยกน่ะ? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ก่อนที่เจ้าจะได้สู้กับเจ้าจั่วซิ่วนั่น ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าเสียพลังปราณไปเปล่าๆกับพวกปลาซิวปลาสร้อยแน่!”
“เกาหลิง เจ้า!”
เฉินเซียนก็ได้มองไปที่เกาหลิงอย่างตกใจ เขานั้นคิดที่จะเกลี้ยกล่อมเกาหลิงไม่ให้ไปเสี่ยงร่วมกับเขา แต่เมื่อเห็นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ในดวงตาของเกาหลิงแล้ว เขาก็ได้กลืนคำพูดนั้นกลับไปทันที
“ก็ได้ จะไปด้วยกันก็ได้! ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มาเป็นตัวถ่วงข้าก็แล้วกัน!”
หลังจากนั้นเฉินเซียนก็ได้ยิ้ม และเดินนำพาออกไปจากหอการค้าใบหยกโดยไม่สนใจเกาหลิง
หลังจากที่ได้ยินที่เฉินเซียนพูดแล้ว เกาหลิงก็ได้มีสีหน้ามืดดำขึ้นมาแต่เขาก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรออกไปและเดินตามเฉินเซียนออกจากหอการค้าใบหยกไปอย่างเงียบๆ
ทั้งสองคนนั้นได้คิดที่จะหายตัวไปอย่างเงียบๆโดยที่ไม่มีใครพบ แต่ทว่าในขณะที่กำลังจะออกจากหอการค้าใบหยกอยู่นั้นเองก็ได้ถูกขวาง
“พวกเจ้าสองคนกล้ามากเลยนะที่คิดจะออกไปเล่นข้างนอกโดยไม่มีพวกเราน่ะ!”
หลินอิ่งที่เหมือนจะรออยู่ข้างนอกการค้าใบหยกอยู่พักใหญ่ๆแล้ว เมื่อเห็นเฉินเซียนกับเกาหลิงปรากฏตัวออกมา นางก็ได้รีบมาขวางพวกเขาตรงหน้าทันที
“พี่เฉิน, พี่เกา พวกเรามารอพวกท่านอยู่สักพักใหญ่แล้ว!”
ลี่เฉียนเฟิงกับตู๋กู่เฉียนก็ได้โผล่ออกมาอย่างช้าๆจากด้านหลังของหลินอิ่ง ลี่เฉียนเฟิงก็ได้ก้มหัวให้เฉินเซียนกับเกาหลิงด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า
ตู๋กู่เฉียนเองก็ได้ทำเสียง“ฮึ”ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่นางก็ได้ยืนอยู่ด้านหลังของลี่เฉียนเฟิงกับหลินอิ่งอย่างหนักแน่น วางแผนที่จะเดินหน้าและถอยไปพร้อมกับพวกเขาอย่างชัดเจน
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์หัวกะทิของหอการค้าใบหยกลำดับต่อจากเฉินเซียนและเกาหลิงแล้ว ทั้งสามคนเองก็ได้บรรลุถึงขั้นเทพอสูรเมื่อไม่นานมานี้ ลี่เฉียนเฟิงนั้นรู้นิสัยของทั้งสองคนนี้เป็นอย่างดีและพอจะเดาได้ว่าพวกเขาทั้งคู่ย่อมไม่ยอมที่จะอยู่เงียบๆในหอการค้าแน่ เขาจึงได้เกลี้ยกล่อมให้หลินอิ่งกับตู๋กู่เฉียนให้มาช่วยพร้อมกับเขา
“ข้าเบื่อที่จะอยู่เฉยๆในเมืองหลิงเฉิงอยู่นานแล้ว ไม่ว่าจะไปช่วยอาจารย์แม่ของเจ้าหรือว่าจะไปทำอะไรอย่างอื่น ก็อย่างทิ้งพวกเราเอาไว้เซ่!”
หลินอิ่งก็ได้เดินไปหาเฉินเซียนโดยไม่ไว้หน้าเขาที่มีพลังยุทธ์ระดับเทพอสูรขั้นสุดเลย นางได้จ้องไปที่เฉินเซียนแล้วเอามือวางไว้ที่เอวและพูดอย่างห้าวหาญ
มีรอยยิ้มแห้งๆปรากฏบนใบหน้าของเฉินเซียนแล้วเขาก็ไปจ้องที่เกาหลิงอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับว่าขอให้เขาช่วย
แต่ทว่าเกาหลิงก็ได้หันหน้าหลบอย่างไม่สนใจทันที ราวกับว่าเขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เฉินเซียนจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่ต้องไปที่ลี่เฉียนเฟิงกับตู๋กู่เฉียนที่อยู่ใกล้ๆแล้ว เขาก็ได้ยอมอย่างไม่เต็มใจนัก “จะไปด้วยกันก็ได้ แต่ข้าจะบอกอะไรไว้ก่อนนะว่า หากว่าพวกเจ้าประสบอันตรายขึ้นมา จะมาโทษข้าว่าไม่เตือนพวกเจ้าก่อนไม่ได้นะ!”
หลินอิ่งก็ได้เผยรอยยิ้มราวกับดอกไม้ออกมา นางตบไหล่ของเฉินเซียนราวกับเด็กผู้ชายแล้วพูดกับเฉินเซียนด้วยรอยยิ้มแป้น “ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียพวกเราเองก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเทพอสูรเสียอย่าง พวกเราไม่เป็นตัวถ่วงพวกเจ้าหรอก!”
ลี่เฉียนเฟิงก็ได้ยิ้มออกมาอย่างยินดี ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าการที่คิดจะบุกไปด้วยจำนวนคนเท่านี้นั้นมันออกจะหุนหันพลันแล่นไปเสียหน่อยแต่เขาก็ตื่นเต้นมาก และนอกจากนี้พวกเขาเองก็ต้องการการต่อสู้จริงด้วยเพื่อที่จะทำให้พลังยุทธ์ของพวกเขาในเวลานี้เสถียรด้วย พวกเขาจึงได้ไม่คิดที่จะไตร่ตรองให้มากกว่านี้แล้ว
แล้วทั้งห้าคนก็ได้ออกเดินทางด้วยกัน โดยที่ชั้นบนสุดของหอการค้าใบหยกนั้น สวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่นั้นก็ได้มองดูการกระทำของพวกเขาอย่างชัดเจน
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้แล้วสวี่ซื่อเจี๋ยก็ได้ยิ้มออกมา แล้วหันหน้าไปหาและตบไหล่ของเจิ้งซวี่เบาๆและตอบ “เจ้ายังประเมินพวกเขาต่ำไปนะ! นอกจากนี้คนหนุ่มสาวยังต้องการประสบการณ์! ถ้าหากพวกเขาเป็นเหมือนดอกไม้อยู่ในเรือนกระจกไปตลอด ไม่ว่าพวกเขาจะมีพลังยุทธ์มากขนาดไหนก็ตาม ก็จะสู้ได้อย่างเก้ๆกังๆใช้การไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่พวกเราหอการค้าใบหยกต้องการนั้นคือยอดฝีมือที่แท้จริง”
เจิ้งซวี่ก็ได้ถอนหายใจออกมา แล้วความกังวลของเขาก็ได้ค่อยๆจางลงไปเหลือเอาไว้แต่เพียงความอิจฉาปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
ทั้งสองคนนั้นในฐานะที่เป็นเสาหลักของหอการค้าใบหยกแล้ว พวกเขาจำต้องมาเป็นประมุขหอชั่วคราวแทนเย่เย่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกไปร่วมฝึกเหมือนพวกเฉินเซียนได้ สวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่จึงทำได้แค่ฝากความหวังไว้ที่พวกเฉินเซียนทั้ง 5 คนว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจหลังจากที่พวกเขาออกไปหาประสบการณ์ในครั้งนี้
10 วันก็ได้ผ่านไปในชั่วพริบตา เย่เย่ก็ได้มาที่หน้าอารามชิงหมิงตามที่ตกลงไว้และเดินขึ้นบันไดมาตามทางที่ทอดยาวมายังห้องโถงใหญ่ของอารามชิงหมิงและปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
และเพราะคำสั่งที่เหยียนซ่งได้สั่งเอาไว้ก่อนหน้านานแล้ว เหล่าลูกศิษย์ของอารามชิงหมิงก็ไม่ได้ออกมาขวางเย่เย่แต่อย่างใด และเพื่อที่จะเพิ่มชื่อเสียงจากศึกนี้ให้มากขึ้น เหยียนซ่งก็ได้ปล่อยให้เหล่าคนที่มาที่อารามชิงหมิงจากทั่วทั้งสารทิศนั้นเข้ามาชมศึกในครั้งนี้ได้ตามสบาย
บรรยากาศนั้นก็ได้ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ และตัวเอกในครั้งนี้อย่างเย่เย่ก็ยังคงไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา
เพราะผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เย่เย่ต้องการจะเห็นนัก มันทำให้เขาจำต้องใช้พลังที่มีทำให้อารามชิงหมิงต้องยอมสยบอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจะมีแค่เหยียนซ่งเพียงคนเดียวที่มีพลังระดับราชันย์เทพในอารามชิงหมิง แต่ทั้ง 6 สำนักใหญ่นั้นต่างก็มีพลังอยู่ในระดับเดียวกัน ต่อให้เย่เย่นั้นสามารถเอาชนะเหยียนซ่งได้ แต่ก็จะเท่ากับว่าตัวเขาได้ไปล่วงเกินอีก 5 สำนักที่เหลือเข้าให้ด้วย ซึ่งไม่ว่าจะตัวเขาหรือหอการค้าใบหยกก็ดี หากต้องเผชิญหน้ากับ 6 สำนักใหญ่แล้วผลที่ออกมาคงไม่ดีนัก
แต่เย่เย่เองก็ไม่ได้เสียใจ ขอเพียงแค่เขาสามารถช่วยซูเหลียนหยูได้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับ 6 สำนักใหญ่ก็ยินดี ส่วนตระกูลไป๋ที่ถูกจับร่วมกับซูเหลียนหยูนั้น เย่เย่เองก็ได้วางแผนไว้เผื่อแล้ว แต่ถ้าหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนเย่เย่ก็คงจำต้องทิ้งตระกูลไป๋เอาไว้ในอารามชิงหมิงก่อนชั่วคราวแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองทัพอี้เหริน ส่วนตัวเขาจะหนีไปกับซูเหลียนหยูก่อน
เพราะต่อให้ตัวเขาต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงของทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็ตามที แต่ก็ไม่ได้ทำให้เย่เย่ต้องกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากเย่เย่ขืนมุ่งมั่นที่จะช่วยตระกูลไป๋แล้ว ตัวเขาอาจจะถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพอี้เหรินและอารามวิถีสวรรค์ได้ แล้วศัตรูของเขาจะไม่ใช่แค่เพียง 6 สำนักใหญ่แล้ว แต่จะเป็นราชสำนักชางหลางและแม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ก็จะส่งยอดฝีมือมาตามล่าเขาแน่ๆ ทำให้เย่เย่นั้นต้องค่อยๆลงมือทีละขั้นตอน
ในเวลานี้ ตัวเขานั้นไม่รู้ว่าซูเหลียนหยูกับไป๋ซีนั้นได้ถูกย้ายไปที่สำนักยุทธ์หงส์เพลิงโดยอารามชิงหมิงแล้ว และอารามชิงหมิงเองก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เย่เย่รู้ด้วย
เพราะเจ้าสำนักเหยียนซ่งนั้นต้องการเพียงแค่สังหารเย่เย่ในศึกนี้เพื่อรักษาชื่อเสียงของอารามชิงหมิงเอาไว้ จากที่มีชื่อเสียงมากอยู่แล้วก่อนสู้กับเย่เย่ ก็จะมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากที่เอาชนะได้ เขาต้องการทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินได้รับรู้ว่าต่อให้ 8 สำนักใหญ่กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ความน่าเกรงขามของอารามชิงหมิงกับ 6 สำนักใหญ่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมาเหยียบย่ำกันได้ง่ายๆ
ในเวลาเที่ยงเย่เย่ที่ในที่สุดก็มาถึงลานกว้างที่อยู่ตรงหน้าห้องโถงใหญ่ของอารามชิงหมิง ในเวลานี้เหยียนซ่งนั้นได้รออยู่อย่างเงียบๆอยู่ในลานกว้าง และเหล่าลูกศิษย์เกือบทั้งหมดของอารามชิงหมิงก็ได้มาล้อมรอบลานกว้างแห่งนั้นเอาไว้
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!”
“ข้าเดินทางมาไกลก็เพื่อมาชมศึกนี้!”
“อารามชิงหมิงเป็นเจ้าบ้านเช่นนี้ สงสัยเย่เย่นั้นคงจะต้านอยู่ได้ไม่นาน!”
“นั่นมันไม่จริงเลย ครั้งหนึ่งเย่เย่เคยสู้กับตงหมิงอวี้แห่งทัณฑ์สวรรค์มาแล้วนะ!”
แล้วผู้คนที่ตามเย่เย่มาที่ลานกว้างนั้นต่างก็พากันถกเถียงเป็นอย่างมากในเรื่องนี้ ซึ่งขัดกับเหล่าลูกศิษย์ของอารามชิงหมิงที่นิ่งเงียบอยู่ในระเบียบวินัยอย่างสิ้นเชิง แต่เหยียนซ่งเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใด กลับกันมันทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมามากกว่า
ในเวลานี้เหล่าผู้ชมต่างก็ประเมินค่าเย่เย่ไว้สูงมาก และเมื่อใดที่เย่เย่นั้นพ่ายแพ้ เหยียนซ่งก็จะใช้พลังของเขาแสดงให้ผู้คนที่ถือหางเย่เย่นั้นได้รู้จักกับความจริง แล้วเมื่อนั้นชื่อเสียงของอารามชิงหมิงก็จะได้ระบือไปทั่วทั้งแผ่นดินชางหลาง
“ส่งซูเหลียนหยูมา แล้วข้าจะจากไปทันที!”
เย่เย่นั้นไม่ได้สนใจเสียงของผู้คนที่อยู่รอบๆลานกว้าง เขาเดินเข้ามาหาเหยียนซ่งแต่ก็ยังไม่ได้ลงมือในทันทีแต่อย่างใด กลับกันเขาได้แสดงความตั้งใจของเขาให้เหยียนซ่งรับรู้อีกครั้งแทน
แต่ทว่ากลับมีสีหน้าดูถูกปรากฏบนใบหน้าของเหยียนซ่ง และเขาก็ได้ตอบเย่เย่กลับไป “แล้วเจ้าล่ะคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? มีค่าคู่ควรที่จะมาต่อรองกับอารามชิงหมิงของข้า เจ้ามาที่นี่ในวันนี้ก็อย่าได้หวังจะกลับไปอีกเลย ข้าจะใช้หัวของเจ้าเพื่อสร้างบารมีให้กับอารามชิงหมิงของข้า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ทันทีที่เหยียนซ่งพูดจบ ทั่วทั้งลานกว้างที่ล้อมรอบด้วยลูกศิษย์ของอารามชิงหมิงก็ได้ส่งเสียงพร้อมกันทันที ทำให้บรรยากาศทั้งลานกว้างก็ได้มาถึงขีดสุดทันที
ดวงตาของเย่เย่ก็ได้เย็นยะเยือกมากขึ้นเรื่อยๆ และล้มเลิกความคิดที่จะต่อรองทิ้งไป เขาจึงได้หยุดพูดแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาเหยียนซ่งทีละก้าวๆ แล้วแรงกดดันของเขาก็ได้ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด
“ไปลงนรกซะ!”
เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว เหยียนซ่งก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า บุกเข้าไปหาเย่เย่ทันทีหลังจากที่ตะโกนออกไป
ในขณะที่เขาก้าวเท้าออกมา ตัวของเขาก็ได้หายไปทันที และทันทีที่เขาปรากฏตัวอีกครั้งก็ได้มาอยู่ตรงหน้าของเย่เย่แล้วและซัดหมัดเข้ามาที่หัวของเย่เย่
“เร็วมาก!”
“นี่หรือความเร็วของผู้ที่อยู่ในระดับราชันย์เทพ?”
“ช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้!”
สำหรับผู้ที่มาที่อารามชิงหมิงจากแดนไกลเพื่อมาชมศึกนี้นั้นส่วนใหญ่ก็มีพลังที่ไม่ต่ำกว่าระดับเทพอสูร แต่ต่อให้มีพลังในระดับเทพอสูรในตอนที่พวกเขาเห็นเหยียนซ่งบุกเข้ามานั้น ตาของพวกเขาก็ยังมองตามความเร็วของอีกฝ่ายไม่ทันอยู่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต่างระหว่างพวกเขากับผู้ที่แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์
แต่ทว่าเย่เย่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ต่อให้เหยียนซ่งบุกเข้ามาเพื่อสังหารเขา เย่เย่ก็ยังคงสงบนิ่งได้อยู่ดี
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาปะมือกับตงหมิงอวี้นั้น เย่เย่ก็ได้เข้าใจขึ้นมาถึงการต่อสู้กับยอดฝีมือ และหลังจากการฝึกวิชาในช่วงที่ผ่านมานี้ พลังยุทธ์ของเขาก็ได้พัฒนาขึ้นมาจากแต่ก่อนมาก ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของเหยียนซ่งนั้นไม่อาจหนีพ้นสายตาของเขาไปได้
ในขณะที่เหยียนซ่งโจมตีเข้ามา เย่เย่ก็ได้สะบัดมือของเขาไปปะทะกับการโจมตีนั้น
ตูม!
หลังจากการปะทะกัน พื้นของลานกว้างก็ได้แตกออกทันที ราวกับว่าเสียหายจากแผ่นดินไหว
เหล่าผู้ชมที่อยู่รอบๆลานกว้างก็ได้พากันถอยออกมาและมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขานั้นประเมินพลังทำลายของยอดฝีมือในศึกครั้งนี้ต่ำไป และในเวลานี้พวกเขาต้องถอยออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงลูกหลงจากการต่อสู้นี้