ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 27 ชนะ
บทที่ 27
ชนะ
“ข้าก็ไม่ได้อยากจะท้าทายขนาดนั้น แค่อยากจะประลองฝีมือ นายท่านเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าข้านั้นหลงใหลในวรยุทธ์ขนาดไหน ตั้งแต่ได้ยินเรื่องเย่เย่สามารถก้าวขึ้นเป็นจ้าววรยุทธ์ได้แล้วข้าก็ตื่นเต้นไปหมดทั้งตัว เช่นนั้นแล้ว ได้โปรดช่วยสนองความตื่นเต้นนี้ให้ข้าด้วยเถิด”
เย่หูโค้งให้เย่เทียนด้วยความเคารพ เขานั้นยังคงสงบดั่งน้ำที่ไม่ไหวติงเนื่องจากตัวเขามีกฎตระกูลคอยหนุนหลังอยู่
เมื่อเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่าย เย่เทียนก็ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆและทำได้เพียงพูดความจริงไปเท่านั้น “มันก็ไม่ใช่ว่าอาอยากจะขัดความต้องการของหลานหรอกนะ แต่เย่เย่น่ะไม่อยู่บ้านหรอกตอนนี้ ไม่ว่าอาอยากจะสนองความต้องการให้หลานมากเท่าไหร่ แต่อาก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ”
คำพูดของเย่เทียนนั้นทำให้ทั่วทั้งสนามประลองเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมกันอีกครั้ง บางคนคิดว่าเย่เทียนนั้นหลอกเอาชื่อเย่เย่มาใช้จัดงานนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็คิดว่า เย่เทียนนั้นโกหก เย่เย่ต้องยังอยู่ในบ้านนี้แน่ๆ
แต่ไม่ว่าเรื่องจริงนั้นจะตกเป็นของฝั่งไหน ชื่อเสียงของตระกูลเย่ตอนนี้ก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรงอีกครั้งแล้ว การที่ต้องมาเผชิญแต่เรื่องที่ชวนให้กดดันทั้งวันเช่นนี้มันก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของเย่เทียนมีเหงื่อไหลออกมามากกว่าเดิมเสียอีก
“ต้องขอโทษจริงๆที่ข้ามาสาย ท่านพ่อ แต่ท่านก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ปล่อยไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ในช่วงวิกฤตกาลนี้เอง เสียงของเย่เย่ก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเย่เทียน และเมื่อเขาหันไปมอง เขาก็พบว่าเย่เย่กับเสี่ยวหยูนั้นกำลังเดินเข้ามาที่ลานประลองและยืนอยู่ต่อหน้าเย่หูแล้ว
“ในเมื่อท่านพี่เย่หูอยากจะประลองกับข้า ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร? ไหนๆข้าเองก็เพิ่งจะก้าวเข้าสู่การเป็นจ้าววรยุทธ์ได้ไม่นาน ข้าเองก็อยากจะได้รับคำแนะนำจากท่านพี่เย่หูเหมือนกันนา~”
เย่เย่ให้เสี่ยวหยูไปอยู่กับเย่เทียนในขณะที่ตนเองกำลังเดินเข้าไปกลางเวทีประลองเพื่อยืนประจันหน้ากับเย่หู
ความอลหม่านที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ยามที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบทเวทีประลอง พวกเขาก็เริ่มสงบนิ่งลงและทุกสายตาก็กลับมามองยังเย่เย่และเย่หูแทน
แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเย่เย่นั้นกลับมาจากข้างนอกพอดี หรือออกจากที่ซ่อนภายในบ้าน แต่ในเมื่อตอนนี้เย่เย่ปรากฏตัวออกมาแล้ว พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปมีปัญหาอะไรกับเย่เทียนอีก
เย่หูมองเย่เย่ที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าและไม่ได้ใส่ใจนักว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ซึ่งมันไม่ใช่แค่เย่หูหรอกที่ไม่ใส่ใจคำพูดนั่น แม้แต่คนพูดอย่างเย่เย่เองก็ยังไม่ใส่ใจเลย ภาพที่คนดูข้างล่างเห็นนั้นมันเป็นดั่งที่เย่เย่ได้พูดไว้ นั่นคือเขาเพิ่งจะได้เป็นจ้าววรุยทธ์ได้ไม่นาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สงสัยอะไรในคำพูดของเย่เย่
“ครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจอกันที่หอคอยการค้าชิงเฟิงนั้น ข้าเดาไว้แล้วว่าท่านจะต้องมาร่วมงานพบปะจ้าววรยุทธ์ของตระกูลเราด้วยแน่ๆ ดังนั้นข้าเลยรีบกลับมาทันทีเลย เช่นนั้นแล้วอย่าทำให้ข้าผิดหวังซะล่ะ!”
เย่เย่ยังไม่ได้พูดเรื่องที่เขาเข้าสู่ขั้นเทพยุทธ์ออกไป นั่นเพราะถ้าหากอีกฝ่ายรู้และเตรียมตัวที่จะรับมือกับเทพยุทธ์จริงๆ เขาอาจจะตกที่นั่งลำบากแทนก็ได้
ในทางกลับกัน เย่เย่เองก็กำลังสงสัยอยู่ว่าเย่หูเองก็อาจจะอยู่ในระดับเทพยุทธ์แล้วเหมือนกัน และถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ เย่หูอาจจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้าเองก็คงจะอยู่นิ่งไม่ได้ เช่นนั้นขอให้ข้าได้ประจักษ์ถึงความสามารถของเจ้า ในฐานะจ้าววรยุทธ์คนใหม่ประจำตระกูลเย่ทีเถอะ!”
การที่เย่หูกลับมายังตระกูลในครั้งนี้ ก็เพราะจะสั่งสอน เย่เทียนกับลูกชายของเขาให้รู้บ้างว่าอย่าเหิมเกริมเกินไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้เย่เฉินหนานและเย่เซียงรู้สึกดีขึ้น มิเช่นนั้นแล้วยังไงซะเขาก็ไม่ได้อยากจะข้องเกี่ยวกับตระกูลเย่เสียเท่าไหร่ ตอนนี้เองก็เช่นกัน การกระทำทุกอย่างของเขาต้องมีเหตุผลมารองรับ ไหนๆเย่เย่ก็โผล่มาแล้ว จะถือโอกาสนี้สั่งสอนไปเลยก็แล้วกัน
ทางฝั่งเย่เย่ก็ยังคงไม่ได้สุภาพอ่อนโยนเช่นเคย เขาออกหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของเย่หู หมัดที่ปล่อยออกไปนั้นมันกู่ร้องจากการที่เสริมกำลังด้วยชุดต่อสู้ที่ซึ่งทำให้เย่หูต้องรีบรับมือกับหมัดเขาโดยไว!
*ผั้วะ!”
หมัดของทั้งสองปะทะเข้าหากันจนเกิดเสียงอื้ออึงดังระงมไปทั่วจากกลางสนามประลอง
เย่เย่และเย่หูถอยออกห่างจากกันในทันทีโดยมีฝั่งเย่หูที่แสดงสีหน้าตกตะลึงในขณะที่เย่เย่ไม่ได้ประหลาดใจอะไร
“เข้ามาอีกครั้ง!”
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เย่นั้นมันล้นเปี่ยมออกมา หลังจากที่เขาควบคุมเสถียรของร่างกายอีกนิดหน่อยเขาก็กลับเข้าไปโจมตีเย่หูอีกครั้ง ครั้งนี้หมัดที่ถูกเพิ่มพลังด้วยชุดต่อสู้นั้นพุ่งเข้าหาอกของเย่หูโดยตรงพร้อมกับพลังที่มากกว่าเดิม!
เย่หูตัดสินใจที่จะไม่หลบและรับหมัดของเย่เย่ไว้ด้วยมือเดียว
*ผั้ว!*
ทันทีทันใดเย่หูถึงกับต้องถอยออกไปถึง 3 ก้าวเพื่อประคองตัวเองในขณะที่เย่เย่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาไม่คาดคิดเลยว่าพลังที่มาจากหมัดนั้นของเย่เย่มันจะสูงกว่าที่เขาสามารถรับมือได้ในตอนนี้เสียอีก
“นี่มัน—เป็นไปไม่ได้น่า?!”
“เย่เย่แข็งแกร่งกว่าเย่หูงั้นเหรอ?!”
“นี่ข้าตาฝาดอยู่หรือไงน่ะ?”
จากการต่อสู้ที่หนักหน่วงเมื่อครู่นี้ ชัดเจนเลยว่าเย่เย่นั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ซึ่งแม้แต่เย่เทียนเองก็ไม่อยากจะเชื่อในสายตาตนเอง
“ข้าพูดไปหรือยังนะเจ้าคะว่านายน้อยจะชนะ? เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ นายท่าน”
เสี่ยวหยูที่เฝ้ามองเย่เย่อยู่ที่ข้างสนามประลองนั้นเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจในแววตาของนางเองขณะที่หันไปพูดกับเย่เทียนด้วยความปลื้มปีติสุดๆ
“ความแข็งแกร่งของลูกเย่นั้นเกินกว่าที่ข้าคาดไว้จริงๆ ดูเหมือนว่าข้าเองก็คงยังรู้จักลูกของข้าไม่ดีพอสินะ!”
หัวใจของเย่เทียนตอนนี้เปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมายที่ได้เห็นจากข้างสนามประลองเช่นนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขาอาจจะตามลูกของตนเองทันแล้วแท้ๆ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าตอนนี้เย่เย่ทิ้งเขาไว้ด้านหลังอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เย่เทียนนั้นก็ไม่ได้โศกเศร้าอะไรอยู่แล้วเพราะสิ่งนี้มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ด้วยชื่อเสียงของเย่เย่ที่กำลังโด่งดังไปทั่วเฟิงเจิ้นตอนนี้ ในฐานะผู้เป็นพ่อ เขาย่อมต้องรู้สึกภาคภูมิใจเป็นเรื่องธรรมดา
“เป็นวิชาต่อสู้ที่ดี ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำไป!”
เย่หูนั้นเข้าใจว่าเหตุผลที่ทำให้เย่เย่ฝีมือดีขึ้นนั้นมาจากวิชาต่อสู้ที่เย่เย่ใช้อยู่โดยไม่ได้คาดคิดถึงระดับพลังของเย่เย่ในตอนนี้แต่อย่างใด
นอกจากนั้น เย่หูยังเป็นคนประเภทที่ชอบเผชิญหน้ากับอะไรที่มันยุ่งยากเสียด้วย ความพ่ายแพ้ในการปะทะแรงเมื่อครู่นี้จึงไม่ได้ทำให้เขาย่อท้อแต่อย่างใด หนำซ้ำยังทำให้เขารู้สึกสนใจเย่เย่มากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้เย่หูได้แสดงพลังในส่วนของจ้าววรยุทธ์ระดับสุดยอดไปเท่านั้นเพื่อที่จะทดสอบเย่เย่ แต่ตอนนี้เขาได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ซ่อนพลังทั้งหมดอีกต่อไป
*ซู่ม!*
ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว ร่างของเย่หูไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเย่เย่ราวกับแสงที่เดินทางมายังโลก
หมัดของเย่หูนั้นรวดเร็วและรุนแรงประดุจสายฟ้าฟาดที่ซึ่งนำพามวลอากาศรุนแรงให้พุ่งตามาด้วยหลังออกหมัดไปแล้วจนดินทรายของสนามประลองแห่งนี้ลอยคลุ้งฟ้าไปหมด
“ไม่ใช่แล้ว! นี่ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของจ้าววรยุทธ์ นี่เย่หูสามารถบรรลุขั้นเทพยุทธ์ได้แล้วเหรอ?!”
เย่เทียนรับรู้ได้ถึงอันตราย เขาจึงรีบกล่าวเตือนให้เย่เย่รีบหลบหมัดนี้ทันที
คนอื่นๆที่อยู่ข้างสนามเองต่างก็รับรู้ได้ว่าเย่หูนั้นเข้าสู่ขั้นเทพยุทธ์ไปแล้ว ตลอดมาเขาก็แค่เล่นกับเย่เย่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เย่หูกำลังเอาจริง
“ช่างเป็นศักยภาพที่สูงส่งจริงๆ แม้แต่ในหมู่อารามจ้าววรยุทธ์เองเขาก็นับว่าดีที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเราคงจะประเมินเขาต่ำไป”
เหล่าตัวแทนจากอารามจ้าววรยุทธ์ที่มาชมการต่อสู้ครั้งนี้ต่างก็มองเย่หูกันด้วยแนวคิดใหม่ พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าความสามารถของเย่หูนั้นจะมาถึงขั้นนี้แล้ว
“แบบนี้ก็ดีแล้วนี่? ยังไงซะเย่หูก็เป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์อยู่แล้ว ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ อารามจ้าววรยุทธ์ก็จะยิ่งรุ่งโรจน์มากขึ้นเท่านั้น!”
ตัวแทนคนอื่นๆต่างก็แสดงความยินดีและชื่นชมเย่หูออกมา พวกเขาตั้งใจจะกลับไปรายงานเรื่องนี้แก่ผู้สูงศักดิ์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ถึงสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้
ขณะเดียวกันทางฝั่งของเด็กๆตระกูลเย่ที่คอยเอาใจช่วยเย่หูนั้นก็ยิ่งคลั่งไคล้มากขึ้นไปอีก เด็กเหล่านี้ส่งเสียงเชียร์กันจนเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเย่เย่เองก็ยังเป็นสมาชิกของตระกูลเย่เช่นกัน
“ท่านพี่เย่หูนี่ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!”
“ท่านพี่เย่หู จัดการหมอนั่นด้วยพลังของเทพยุทธ์เลย!”
“ท่านคือความภาคภูมิใจของตระกูลเย่ ท่านพี่!”
อย่างไรก็ตาม เสียงเชียร์ของผู้คนข้างสนามนั้นไม่ได้ส่งผลกับนักสู้บนสนามประลองที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่แต่อย่างใด ในตอนที่เย่หูปลดปล่อยพลังที่เกินกว่าระดับของจ้าววรยุทธ์ออกมา เย่เย่เองก็ไม่ได้ทำตัวให้อยู่ด้อยกว่าแต่อย่างใด
“ท่านพี่คิดว่าท่านเป็นฝ่ายที่ออมมือเพียงแค่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ?”
เย่เย่หลบหมัดที่ไม่ควรจะมีใครหลบได้ที่กำลังพุ่งเข้าหาเขาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยพลังอันมหาศาลออกมาพร้อมกับง้างขาขึ้นฟาดลงไปที่เย่หูด้วยพลังที่ปลดปล่อยออกมานั้น
*ปึ้ก!*
เย่หูรีบยกมือขึ้นไขว้เพื่อต้านการอัดกระแทกของขาเย่เย่ ทว่าเหมือนเขาจะคำนวณแรงของเย่เย่ผิดไป มันเลยทำให้แขนทั้งสองข้างของเขานั้นต้องรับภาระแรงกดทับที่มากกว่าปกติจนชาไปทั้งสองแขน
“ท่านควรจะระวังที่หมัดนะ!”
ทันทีที่เย่หูเสียจังหวะ เย่เย่ก็ใช้โอกาสนี้พลิกตัวและพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้งพร้อมกับปล่อยหมัดตรงไปยังใบหน้าของเย่หูอย่างรวดเร็ว
ด้วยอารมณ์ที่ร้อนรุ่มของเย่หู เขารีบหันหน้าไปและรับหมัดนั้นด้วยหน้าผากของเขาแทนมือที่เจ็บอย่างไม่ลังเล
*ตึง!*
เม็ดหินดินทรายล้วนกระจายขึ้นบนอากาศจนปกคลุมบริเวณลานประลองไว้ราวกับหมอกฤดูหนาว ทั้งสองคนนั้นทุ่มสุดตัวกับการโจมตีครั้งนี้ซึ่งทำให้แรงปะทะก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงไปทั่วทั้งสนามประลองอยู่ครู่ใหญ่
พักหนึ่งต่อมา เมื่อฝุ่นและควันเริ่มซาลง ภาพที่อยู่ตรงกลางสนามนั้นก็ปรากฏให้เห็นแก่ทุกสายตา นั่นคือภาพที่เย่เย่ยืนค้างในท่าปล่อยหมัดด้วยพลังอันมหาศาลใส่เย่หูโดยที่ทั้งคู่ไม่ได้ขยับอะไรต่อจากนั้น
ทว่า ทันใดนั้นเองที่มุมปากของเย่หูก็มีเลือดค่อยๆไหลออกมา เขาต้องถอยหลังออกไปหลายก้าวเพื่อจะประคองตัวให้ยืนอยู่ได้ แขนทั้งสองข้างที่รับแรงปะทะจากขาของเย่เย่ก่อนหน้านั้น แม้เจ้าตัวจะรู้สึกชาไปทั้งแขนแต่สภาพภาพนอกมองจากไกลๆก็เห็นว่าบาดเจ็บสาหัส!
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในตอนนี้ทั่วทั้งสนามประลองก็เริ่มเกิดเสียงฮือฮาอีกครั้ง
“เย่เย่เข้าสู่ระดับเทพยุทธ์แล้วเหรอ?”
ตัวแทนจากอารามจ้าววรยุทธ์ต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงงและไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่คิดนี้ แต่มันไม่มีเหตุผลอื่นมารองรับสถานการณ์ดังกล่าวได้แล้วหากไม่ใช่ความคิดดังกล่าว
“ดูเหมือนว่าจะเป็นยุคของคนหนุ่มสาวแล้วสินะ พวกเราน่ะแก่เกินไปแล้ว”
เพราะความไม่มั่นใจนี้ เหล่าตัวแทนทั้งหลายจึงได้แต่เดาไปเรื่อยและพากันเงียบในที่สุด พวกเขาอยู่อย่างนี้พักใหญ่ๆก่อนจะเริ่มพูดออกมา ซึ่งในคำพูดนั้นก็ยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเองก็ตกตะลึงกับศักยภาพของเย่เย่ไม่น้อยเลย
“ล-ลูกเย่?”
เย่เทียนมองไปยังเย่เย่ ผู้ที่ล้มเย่หูได้ที่บนสนามประลองตรงหน้า ความรู้สึกตอนนี้เหมือนเขากำลังฝันอยู่เลย
มีเพียงเสี่ยวหยูคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้เรื่องจ้าววรยุทธ์หรือเทพยุทธ์อะไรพวกนี้ นางคิดเพียงแค่ว่าการที่เย่เย่ชนะนั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ดังนั้นใบหน้าสวยจึงดูเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจแบบสุดๆ
“แค่ก— เจ้าเองก็บรรลุแล้วงั้นเหรอ? เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าบอกว่าเพิ่งจะบรรลุไม่นานมานี้…นั่นหมายความว่าอะไร?”
ในตอนนี้เย่หูเข้าใจถึงพลังของเย่เย่แล้ว กระนั้นแววตาของเขาก็ยิ่งสงสัยและหวาดกลัวเย่เย่มากขึ้นไปอีก
ในฐานะที่ตัวเขานั้นเป็นประดุจความหวังของตระกูล เย่ เย่หูจึงถูกคาดหวังจากทุกๆคนในตระกูลมาตั้งแต่ครั้นยังเด็กแล้ว ต่อให้ในภายหลังจากมีหลินหยูฉีขึ้นมาทดแทน แต่สำหรับเด็กๆตระกูลเย่ พวกเขาก็ยังเชื่อมั่นและไว้ใจเย่หูมากกว่าเพราะในสายตาพวกเขา หลินหยูฉีก็เหมือนคนนอก ยังไงเสียผู้ที่เป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์คนแรกและที่แท้จริงก็ยังคงเป็นเย่หูดังเดิม
แต่ตอนนี้ แม้แต่เย่หูผู้ที่มักจะเป็นที่น่าภาคภูมิใจเสมอมานั้นยังต้องยอมรับว่าตัวเขาพ่ายแพ้ให้แก่เย่เย่ที่เขาจงเกลียดจงชังมาตลอดในแง่ของความแข็งแกร่งและศักยภาพ
“นั่นก็ใช่ ข้าแค่เพิ่งจะก้าวหน้าขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากหรอก แต่ว่าเป้าหมายของข้าน่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อให้ทุกเมืองยอมรับข้าหรอกนะ ข้าน่ะอยากจะทำให้ทั้งโลกนี้ยอมรับข้าให้ได้เลย!”
เย่เย่ไม่ได้ตอบคำถามเย่หูไปตรงๆ กระนั้นแล้วคำตอบของเย่เย่ก็แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และอยู่เหนือทุกอย่าง
อย่างไรก็ตาม เย่หูนั้นชื่นชมในความมุมานะของอีกฝ่าย ซึ่งคำพูดของเย่เย่นั้นถูก เมื่อเทียบกับความกระหายในความเก่งกาจเช่นเขา และดูเหมือนว่าเย่เย่นั้นจะอหังการได้มากกว่าเขาเสียอีก
เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนจากสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆกลายเป็นมังกรได้ เช่นนี้แล้วคงไม่มีใครในตระกูลเย่ที่จะสามารถหยุดยั้งความแข็งแกร่งของเจ้าได้! ตัวข้านั้นก็หวังเพียงให้เจ้าอย่าได้ฆ่าพ่อและน้องชายของข้าผู้ที่ซึ่งเป็นคนตระกูลเดียวกับเจ้าเลย”
“ตราบใดที่พวกเขาทั้งสองไม่หาเรื่องตาย ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเขาต้องประสบปัญหา”
เมื่อเห็นแล้วว่าเย่หูยอมใจอ่อนลงแล้ว เย่เย่ก็ไม่จำเป็นต้องข่มอีกฝ่ายไว้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงให้สัญญากับเย่หูไปดังนั้น
เย่หูกล่าวขอบคุณกับเย่เย่จากนั้นก็ลงจากสนามประลองไปโดยไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เขาตั้งใจจะออกจากบ้านตระกูลเย่แล้วกลับไปยังอารามจ้าววรยุทธ์เพื่อที่จะฝึกฝนวิชาของเขาต่อไป