ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 30 ยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่
บทที่ 30
ยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่
เหล่ยถิงนั้นไม่ได้เชื่อว่าเย่เย่จะสามารถซ่อมแซมดาบจิตรวารีของนางได้ นางคิดว่าเย่เย่นั้นก็แค่หาโอกาสที่จะสร้างความขัดแย้งเฉยๆ เพราะก่อนหน้านี้นางเองก็เคยได้ยินมาบ้างถึงเรื่องของเย่เย่และหม่าเฟยที่กลายมาเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจน ดังนั้นแล้วเย่เย่ไม่น่าจะมีจุดประสงค์ที่อยากจะซ่อมแซมดาบเล่มนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะเหล่ยถิงและหม่าเฟยนั้นวนเวียนอยู่ในหุบเขา หลี่เทียนนี้มาหลายวันแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้ยินข่าวคราวที่ว่าเย่เย่กลายเป็นเทพยุทธ์จากคนอื่นๆ เพราะงั้นเย่เย่ในความคิดของทั้งสองก็ยังคงเป็นเพียงจ้าววรยุทธ์ระดับสูงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรมาก
“ท่านหญิงเหล่ยถิง อย่าเพิ่งโกรธกันไปเลย หม่าเฟยคนนี้น่ะไม่มีค่าพอจะให้ท่านต้องลงไม้ลงมือหรอกนะ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงเรื่องบาดหมางกันในอดีตนักหรอก ปล่อยให้มันผ่านเลยไปก็ได้ ข้าจะพูดถึงแค่เมื่อครู่ก็แล้วกัน หมอนั่นเพิ่งจะเข้ามาหาเรื่องข้า ดังนั้นข้าก็แค่ทำการลงโทษ ก็เท่านั้น ผู้อ่อนแอย่อมต้องเคารพผู้แข็งแกร่งกว่า ข้าเชื่อว่ากฎนี้ต่อให้ข้าไม่พูด ท่านหญิงเหล่ยถิงเองก็น่าจะเข้าใจดีที่สุด!”
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะเพิ่งตบหน้าหม่าเฟยต่อหน้าเหล่ยถิงไป กระนั้นแล้วในน้ำเสียงที่พูดนั้นก็ไม่ได้มีซึ่งความขอโทษขอโพยแอบแฝงมาด้วยแต่อย่างใด แถมยังฟังดูยอมรับในเรื่องที่ทำลงไปด้วย
เหล่ยถิงค่อยๆขมวดคิ้วช้าๆ และรับรู้ได้ถึงเย่เย่ที่กำลังดูเหมือนจะแผลงฤทธิ์อยู่ ดังนั้นแล้วนางจึงอดไม่ได้ที่จะโต้ตอบกลับไปตามน้ำเสียงที่ฟังดูยั่วยุของเย่เย่ “ยึดตามสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ข้า นายหญิงแห่งสำนักจ้าววายุ ด้วยสถานะของข้านั้นไม่มีอะไรต้อยต่ำกว่าเจ้าเลยเย่เย่ ดังนั้นในเมื่อเจ้าลงโทษเพื่อนข้าต่อหน้าข้า เช่นนี้ข้าก็ควรจะลงโทษเจ้าด้วยหรือเปล่า?”
“ใช่! เย่เย่ การกระทำของเจ้ามันคือการหยามหน้าท่านหญิงแห่งจ้าววายุ! เหตุไฉนเจ้าจึงยังไม่คุกเข่าแล้วยอมรับผิดอีก?!”
หม่าเฟยนั้นกลับไปอยู่แนวหลังของเหล่ยถิงอีกครั้งแล้ว เขามองเย่เย่ที่นิ่งไม่พูดไม่จาไปหลังจากโดนเหล่ยถิงตอกกลับ แล้วจึงรีบตอกย้ำเย่เย่ทันที
เขาคิดว่าด้วยเรื่องนี้ มันจะช่วยทำให้ภาพจำที่เขาเคยโดนเย่เย่เมื่อครั้งมากับศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์ในครั้งนั้นสามารถลบเลือนลงไปได้
ทว่าเย่เย่ในตอนนี้นั้นกลับยังคงใจเย็น ปลายสายตาของเย่เย่คือเหล่ยถิงที่ดูจะไม่เชื่อใจในตัวเขา ริมฝีปากของเขามันก็ค่อยๆคว่ำลงและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะโอหังใส่ เหล่ยถิง “หากข้ายังเป็นจ้าววรยุทธ์อยู่ ข้าคงต้องยอมรับในสิ่งที่ท่านหญิงเหล่ยถิงพูด เนื่องจากข้านั้นต่ำต้อยกว่าท่าน แต่! ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในเมื่อท่านมีหน้าตาที่สละสลวยเช่นนี้ท่านก็ควรจะมีสายตาที่เฉียบคมด้วย! แค่มองท่านก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือไรว่าจ้าววรยุทธ์นั่นน่ะมันก็แค่เรื่องในอดีต!”
ทันทีที่เสียงของเย่เย่เงียบลง เย่เย่ก็ระเบิดพลังที่เหนือขีดจำกัดของระดับจ้าววรยุทธ์ออกมาอย่างรุนแรงจนขนาดที่เหล่ยถิงและคนอื่นๆต่างต้องพากันถอยกลับไปหลายก้าว เย่เย่ที่ยืนอยู่หน้าพวกเขาในตอนนี้ ช่างดูน่ากลัวไม่ต่างจากปีศาจร้ายในคราบมนุษย์เลย!
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรน่ะ?! ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็เพิ่งจะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาได้ไม่นานนี้งั้นเหรอ? ทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ในระดับเทพยุทธ์ได้รวดเร็วขนาดนี้?!”
เหล่ยถิงมองเย่เย่ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ อย่างไรก็ตามแม้จะหลอกตัวเองสักเพียงไหน แต่นางก็ไม่สามารถมองข้ามพลังอันมหาศาลที่ซึ่งเป็นพลังที่แท้จริงของเย่เย่ที่เขาซ่อนเอาไว้ พลังแห่งเทพยุทธ์ที่ไม่สามารถมีอะไรมาหักล้างได้
หม่าเฟยรีบยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาไว้ในทันที เขาตั้งใจจะได้เห็นเย่เย่อับอายแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดันไปได้เห็นเย่เย่ที่น่ากลัวกว่าเดิมจนขาทั้งสองข้างมันอ่อนแรงและเกือบจะล้มลงไปกับพื้นอยู่หลายครั้ง
หากเย่เย่ยังคงอยู่ในระดับจ้าววรยุทธ์ หม่าเฟยคงพยายามหาทางเทียบเท่าด้วยช่องว่างที่ทิ้งห่างกันไม่มากได้ ทว่าตอนนี้เย่เย่กลับกลายเป็นเทพยุทธ์ไปแล้ว นั่นหมายถึงไม่มีหนทางใดที่หม่าเฟยจะไล่ตามเย่เย่ทันได้เลย
เมื่อได้เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการนั้นบรรลุผลสำเร็จแล้ว เย่เย่จึงค่อยๆผ่อนลมหายใจและเก็บซ่อนพลังนั้นไว้ดังเดิมก่อนจะเดินเข้าไปหาเหล่ยถิงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “มันไม่สำคัญว่าข้าสามารถมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร สิ่งสำคัญมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ข้านั้นไม่สามารถโกหกกับสาวงามเช่นท่านได้ ในเมื่อข้าบอกแล้วว่าข้าสามารถซ่อมแซมอาวุธของท่านให้กลับมามีสภาพดังเดิมได้ นั่นก็หมายถึงข้าทำได้ ตราบใดก็ตามที่ท่านอยากจะซ่อมแซมมัน ข้าก็จะซ่อมให้ดูเอง!”
เหล่ยถิงที่ได้ยินเย่เย่พูดเรื่องซ่อมแซมอาวุธของนางอีกครั้ง ในครานี้นางก็เชื่อหมดใจว่าเย่เย่ไม่ได้โกหกนางแน่ๆ นั่นเพราะดาบจิตรวารีนั้นถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับเหล่ยถิงมากๆ ยามที่เย่เย่พูดออกมาขนาดนี้ มันจึงทำให้แววตาของนางเริ่มจะเห็นแสงของความหวังเล็ดลอดออกมาอีกครั้ง
“ถ้าเป็นดังที่ท่านว่าข้าก็คงต้องขอรบกวนท่านด้วย ได้โปรดท่านเย่ ได้โปรดช่วยซ่อมแซมอาวุธชิ้นนี้ให้ข้า ท่านอยากจะเรียกร้องเท่าไหร่ข้าไม่ถือสาเลย ท่านอย่าได้กังวล ด้วยสภาพเศรษฐกิจของสำนักจ้าววายุแล้ว ข้าไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น”
เหล่ยถิงยื่นซากของดาบจิตรวารีให้แก่เย่เย่พร้อมทั้งให้คำมั่นว่านางจะจ่ายค่าซ่อมแซมให้เขาอย่างสาสมเลยทีเดียว
เย่เย่รับดาบจิตรวารีนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเพื่อให้ เหล่ยถิงมั่นใจ “รับทราบ! นายหญิงเหล่ยถิงนี่ช่างจิตใจงดงามจริงๆ อีก 2 วันต่อจากนี้ท่านสามารถส่งคนมารับดาบเล่มนี้ที่บ้านตระกูลเย่ได้เลย ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
ทั้งสองสบตากันหลังต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการก่อนที่จะเดินไปด้วยกันโดยที่ไม่ได้หันกลับมาสนใจหม่าเฟยและคนอื่นๆอีก เพียงไม่นานพวกเขาทั้งสองก็เดินออกจากหุบเขา หลี่เทียนและกลับถึงเฟิงเจิ้นในที่สุด
หม่าเฟยนั้นยกมือขึ้นปิดแก้มที่บวมตุ่ยขณะที่มองทั้งสองคนผู้เดินนำหน้ามาด้วยความกลัวและเสียใจ เขารู้สึกราวกับว่าสูญเสียทั้งภรรยาและกองทัพไปจนหมดในคราวเดียวกัน ความพยายามตลอดหลายวันมานี้ที่หุบเขาหลี่เทียนไม่ได้ให้อะไรแก่เขาเลย
กลับกันเขายังต้องมาโดนเย่เย่สั่งสอนรวมถึงทำให้ท่านหญิงแห่งสำนักจ้าววายุอย่างเหล่ยถิงไม่พอใจในตัวเขาอีกด้วย
การลงแรงในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ช่องว่างระหว่างเขาและ เย่เย่ประสานกันขึ้นมาเลยสักนิด หนำซ้ำมันยังห่างกันออกไปจนเหมือนหลุมขนาดใหญ่แล้วอีกด้วย และด้วยหลุมที่ใหญ่ขนาดนี้ หม่าเฟยก็จนปัญญาที่จะหาอะไรมาไล่ตามได้แล้ว
เมื่อกลับไปยังบ้านตระกูลเย่ได้แล้วเย่เย่ก็ไม่รอช้าที่จะเปิดระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลเมฆามรกตกับหญ้ากล้วยไม้และซ่อมแซมดาบจิตรวารีของเหล่ยถิง ทั้ง 3 การกระทำนี้ใช้เหรียญจักรวาลมากถึง 302 เหรียญ ซึ่งมันทำให้เย่เย่เหลือเหรียญจักรวาลเพียง 100 เหรียญเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะบอกว่าให้เหล่ยถิงส่งคนมารับดาบคืนหลังจากนั้น 2 วันก็ตาม แต่อันที่จริงมันก็ไม่ได้ใช้เวลามากขนาดนั้น แต่เหตุผลที่ต้องบอกเช่นนั้นก็เพราะเขาอยากจะทำให้ เหล่ยถิงเข้าใจว่าดาบเล่มนี้ไม่ได้ซ่อมแซมง่ายๆ เพื่อที่จะสามารถเรียกราคาที่สูงขึ้นได้
และเมื่อเวลานัดรับมาถึง ผลลัพธ์ของความคิดอันชาญฉลาดนี้ก็ไม่ได้ทำให้เย่เย่ผิดหวังแต่อย่างใด เขาเรียกราคาไป 40,000 เหรียญทองก็จริง แต่กระนั้นก็ยังได้เพิ่มมาอีก 80,000 เหรียญทองจากเหล่ยถิงอีกด้วย
ที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อตอนเย่เย่นำมันเข้าระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลนั้น นอกจากเขาจะทำให้สภาพมันกลับมาเป็นปกติแล้ว เขายังเพิ่มประสิทธิภาพให้มันอีกด้วย ดังนั้นแล้วเหล่ยถิงที่เป็นเจ้าของดาบจึงสามารถรับรู้ได้ถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของดาบคู่ใจนี้เพียงแค่ได้สัมผัส ความอิ่มเอมใจของนางนั่นทำให้ราคาที่เย่เย่เสนอไปกลายเป็นเรื่องที่ทำให้นางหงุดหงิดใจแทน เพราะเหตุนี้นางจะให้คนของนางนั้นจ่ายเงินเพิ่มให้เย่เย่อีก 80,000 เหรียญทองเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
เย่เย่รีบเติมเงิน 120,000 เหรียญทองนี้เข้าไปในระบบทันที และด้วยเหรียญจักรวาล 1,200 เหรียญนี้ ยามที่มันรวมกับของเก่าอีก 100 เหรียญ มันก็ทำให้ในตอนนี้เย่เย่มีเหรียญจักรวาลสะสมอยู่ถึง 1,300 เหรียญแล้ว
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่จะต้องแลกเอาตัวช่วยฝึกฝนในขั้นเทพยุทธ์มาใช้สักที!”
ด้วยความตื่นเต้นนี้ เย่เย่เข้าไปในหมวดยาในระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลและในทันทีทันใดเขาก็พบกับยาที่ดูจะเหมาะกับเขาในตอนนี้มากที่สุด
‘ยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ หลังจากที่กินยาทั้งหมดนี่ไปแล้ว มันจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการฝึกฝนของผู้ที่อยู่ในระดับเทพยุทธ์ ราคา 1250 เหรียญจักรวาลต่อขวด’
เห็นดังนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะเลือกแลกเปลี่ยนมันออกมาทันที ตรงหน้าเย่เย่ในตอนนี้มีขวดยาเล็กๆ 1 ขวดปรากฏขึ้นมา และทันทีที่เปิดฝาขวด กลิ่นหอมกลมกล่อมก็ลอยฟุ้งออกมาทันที
“เป็นแค่ยาจำเป็นต้องทำให้น่ากินขนาดนี้เลยเหรอ? เอาเถอะ ข้าหวังว่ามันจะคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่ข้าจ่ายไปนะ!”
ถึงแม้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของเขานั้นจะเหลือเหรียญจักรวาลอยู่เพียง 50 เหรียญเท่านั้น แต่เย่เย่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เขาเทยาในขวดออกมาและกลืนมันลงไป จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มกำหนดลมหายใจทันที
เมื่อยาเหล่านี้ถูกรำเลียงเข้าสู่ระบบในร่างกาย ความแข็งแกร่งอันมหาศาลก็กระจายไปทั่วทั้งแขนและขาผ่านเส้นเลือดที่แตกแขนงไปในที่ต่างๆ จากนั้นก็ซึมซับเข้าไปจนอยู่ทั่วทุกที่ราวกับเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย
เย่เย่ตรึงลมหายใจให้สงบนิ่งเอาไว้พร้อมกับเริ่มใช้กระบวนท่างูสวรรค์ควบคู่ไปด้วย ระหว่างที่ร่างกายกำลังดูดซับพลังของโลกและสวรรค์อยู่นั้น เย่เย่ก็กลั่นเอากระแสพลังที่หลั่งไหลออกมาจากเม็ดยาที่กินเข้าไปเมื่อครู่ให้ช่วยจัดแจงและนำพาพลังของโลกและสวรรค์เข้าสู่ร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
เพราะพลังที่เหนือชั้นของยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ เย่เย่ต้องหลับตาอยู่ในสภาพนี้ถึบ 3 วันจนกว่าพลังทั้งหมดนี้จะถูกกลั่นกรองจนหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อหมดฤทธิ์ของยาแล้วเย่เย่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะทำอะไรต่อ นั่นเพราะด้วยความเร็วระดับนี้ของเขามันก็ถือว่าตัวเขาพัฒนาความสามารถของตนเองได้เร็วกว่าคนอื่นหลายเท่าแล้ว
หรือต่อให้การกลั่นพลังของยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่จะใช้เวลานานกว่านี้ เย่เย่ก็ยังคงพึงพอใจอยู่ดี สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่พอใจในตอนนี้ก็คือการที่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้กระบวนท่ากลืนสวรรค์ที่เพิ่มประสิทธิภาพมาต่างหาก เพราะในเมื่อตอนนี้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขามันพัฒนามากขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ดังนั้นความเร็วในการฝึกวรยุทธ์ของเขาก็คงจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นอย่างมากด้วย
ระหว่างที่เย่เย่กำลังพักจากการสกัดพลังของยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ หลินหยูฉีก็มาเยี่ยมเขาถึงบ้านตระกูลเย่แห่งนี้ หลังจากที่นางต้องรออยู่ในห้องรับแขกเป็นเวลานาน ในที่สุดเย่เย่ก็ปรากฏตัวขึ้นโดยมีเสี่ยวหยูเดินนำมา
“ข้าได้ยินว่าเจ้าสามารถโค่นพี่ใหญ่เย่หูได้ในงานพบปะจ้าววรยุทธ์ประจำตระกูล แถมข้ายังได้ยินมาอีกว่าเจ้าเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์แล้ว เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
ในคราแรกที่หลินหยูฉีได้ยินเรื่องนี้นั้น นางปฏิเสธที่จะเชื่อในทันทีด้วยสัญชาตญาณแห่งความเกลียดชัง และด้วยความเกลียดชังนี้ มันทำให้นางถ่อไปหาเย่หูที่ฝึกตนอยู่ในอารามจ้าววรยุทธ์เพื่อตามหาความจริง
หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากเย่หูแล้ว หลินหยูฉีก็คอยแต่หวาดระแวงว่าเย่เย่กำลังจะเข้าสู่จุดสุดยอดของวรยุทธ์ได้ก่อนตน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ต่างอะไรกับหนอนไร้ค่าในสายตาของนางแท้ๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เย่เย่กำลังก้าวนำหลินหยูฉีอยู่ 1 ก้าวไปเสียแล้ว เพราะตัวนางน่ะ…ยังไม่ได้ขึ้นเป็นเทพยุทธ์เลย ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลินหยูฉีไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้เด็ดขาด
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่รู้ข่าวนี้ นางเฝ้าแต่คิดหาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี้ของเย่เย่ ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่นางค่อนข้างเทให้หมดใจนั้นก็คือ เย่เย่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากหอการค้าชิงเฟิง ซึ่งพอคิดถึงเรื่องนี้ ภาพในวันที่นางเห็นเย่เย่กับเฟิงเซียนซีอยู่ด้วยกันที่หอการค้าชิงเฟิงก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันได้ ดังนั้นหลินหยูฉีจึงนำเหตุผลนี้มาเป็นที่ตั้ง
เบื้องหน้านั้น หอการค้าชิงเฟิงดูเหมือนจะให้ความเป็นธรรมและเท่าเทียมแก่ทั้ง 3 ตระกูลใหญ่ภายในเฟิงเจิ้นแห่งนี้ แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังจริงๆ บางทีเฟิงเซียนซีคนนั้นอาจจะใช้ลูกเล่นอะไรบางอย่างกับเย่เย่ก็ได้ กรรมวิธีบางอย่างที่ทำให้คนที่ไม่เอาไหนอย่างเย่เย่สามารถกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้
ถึงแม้ว่าหลินหยูฉีจะยังไม่รู้ว่าเฟิงเซียนซีเห็นอะไรดีในตัวเย่เย่จนต้องสนับสนุนด้วยกำลังทั้งหมดที่หอการค้าชิงเฟิงครอบครองอยู่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นอกจากเรื่องนี้แล้วหลินหยูฉีก็ยังไม่เห็นเหตุผลอื่นที่เหมาะสม ที่ซึ่งจะมาอธิบายได้ว่าทำไมเย่เย่ถึงเติบใหญ่ขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
ครั้งนี้หลินหยูฉีมาที่บ้านตระกูลเย่ก็เพื่อที่จะตรวจสอบให้มั่นใจว่าเย่เย่นั้นแข็งแกร่งตามที่เขาร่ำลือจริงๆทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เตรียมตัวรับมือหากต้องมาเผชิญหน้ากับเย่เย่อีกในอนาคต
“ข้าจะทำได้อย่างไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าน่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดไว้เองเหรอว่าหลังจากที่ทำให้ข้าได้เข้าทดสอบในอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว เจ้าจะถือว่าตัดขาดกับตระกูลเย่โดยเด็ดขาด? แล้วแบบนี้ข้ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องบอกเรื่องนี้กับเจ้านะ?”
เย่เย่ยิ้มอย่างชั่วร้ายให้หลินหยูฉี โดยไม่ไว้หน้านางผู้ที่ซึ่งเป็นศิษย์ผู้มีความสามารถของอารามจ้าววรยุทธ์แม้แต่นิดเดียว
เสี่ยวหยูที่เห็นสถานการณ์ในตอนนี้ดูจะไม่ค่อยดี ความกลัวภายในใจมันก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นมา นางกลัวว่าทั้งสองคนนี้จะปะทะกันภายในบ้านตระกูลเย่นี้
ถึงแม้เสี่ยวหยูจะไม่ได้ชื่นชอบหลินหยูฉีเหมือนที่เย่เย่ไม่ชอบก็จริง แต่ยังไงเสียหลินหยูฉีก็เป็นศิษย์ระดับสูงของอารามจ้าววรยุทธ์อยู่ดี ดังนั้นแล้วถ้าหากเย่เย่อยู่คนละฝั่งกับหลินหยูฉีแล้ว มันต้องไม่ดีแน่ๆ
หลินหยูฉีไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะทำสีหน้าแบบนี้ใส่นาง ถึงจะคิดว่าเย่เย่นั้นอาจจะขี้เกียจดึงสีหน้าเวลาคุยกับนางก็จริง แต่ยังไงมันก็ยังทำให้นางรู้สึกว่าท่าทีของเย่เย่นั้นต่างออกไปจากเมื่อก่อนมากเลยทีเดียว
เมื่อครั้งหนึ่งเย่เย่เคยหลงใหลในความสวยงามของหลินหยูฉีนั้นเป็นเรื่องจริง และนางยังจำได้แม่นด้วยว่าเย่เย่จะไม่กล้าทำตัวหยาบคายใส่หากนางปฏิบัติตัวให้ดูเงียบขรึมเช่นนี้ ต่อให้เย่เย่จะกลายเป็นจ้าววรยุทธ์แล้ว หลินหยูฉีก็ยังคิดว่านางนั้นสูงกว่าเย่เย่อยู่ดี
ดังนั้นแล้วหลินหยูฉีจึงพยายามทำสีหน้าเคร่งขรึมสุดๆใส่เย่เย่ คราวนี้ยามที่นางมองไปยังเขาอีกครั้ง นางก็เอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการออกไปตรงๆ แต่เพราะการตอกกลับของเย่เย่เช่นนั้นมันกลับทำให้นางต้องรู้สึกเสียหน้าแบบสุดๆ เช่นนั้นแล้วหลินหยูฉีจึงตระหนักได้ว่า ไม่สามารถใช้วิธีเดิมในการล้วงความลับได้อีกแล้ว
“ข้าต้องยอมรับก่อนว่าข้าอาจจะดูแข็งกระด้างขึ้นบ้างจากแต่ก่อน แต่ในเมื่อข้านั้นได้ช่วยปกป้องตระกูลนี้มายาวนานถึง 3 ปี เช่นนี้ถือว่าข้าไม่เพียงแต่ช่วยชดใช้หนี้บุญคุณให้แก่เจ้าตระกูลเย่ แต่ข้ายังมอบน้ำใจให้แก่ตระกูลเย่มาโดยตลอด การที่ข้าแค่ถามคำถามเจ้า เจ้าถึงกลับทำตัวไม่ไยดีกับข้าเช่นนี้เลยหรือ?”