ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 34 เสี่ยวหยู
บทที่ 34
เสี่ยวหยู
นอกจากเย่เย่แล้ว เย่เทียน เจ้าตระกูลเย่เองก็ยุ่งแบบสุดๆอยู่เหมือนกันช่วงนี้ นั่นเพราะเขาต้องคอยจัดการทรัพย์สมบัติต่างๆที่ถ่ายโอนมาจากตระกูลหม่าและตระกูลเฉิน มันจึงทำให้เย่เทียนไม่ได้ว่างที่จะมาเฝ้าตระกูลอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจะมีเพียงเสี่ยวหยู ผู้ที่ถือว่าเป็นจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง คอยนั่งรับแขกอยู่ภายในบ้านเท่านั้น
แต่ในตอนนี้มีเพียงเย่เย่เท่านั้นที่รู้ว่าเสี่ยวหยูปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้แล้ว นั่นหมายถึงสมาชิกตระกูลเย่คนอื่นๆรวมไปถึงคนนอกนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าเสี่ยวหยูแข็งแกร่งระดับไหน เพราะฉะนั้นแล้วมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องให้เสี่ยวหยูมาคอยดูแลบ้านเมื่อจ้าววรยุทธ์หลักๆไม่อยู่กัน เผื่อว่าจะมีคนที่ไม่ประสงค์ดีคิดบุกเข้ามาภายในบ้านตระกูลเย่
“เย่เย่ ออกมาซะ! ข้าได้ยินมาว่าเจ้าโด่งดังมากสินะ? ออกมาและสู้กับข้าซะสิ! มาแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้านั้นเก่งสมคำร่ำลือหรือเปล่า!”
ตรงหน้าประตูบ้านตระกูลเย่ ณ ตอนนี้ ปรากฏเป็นร่างของชายหนุ่มที่ดูแข็งแกร่งสวมชุดสีเทากำลังตะโกนเย้วๆเพื่อเรียกหาเย่เย่ด้วยใบหน้าสุดแสนจะภูมิใจในตนเองอยู่ เหล่ายามเฝ้าประตูบ้านตระกูลเย่นั้นพยายามจะห้ามเขาแล้ว แต่กระนั้นพวกเขากับถูกโค่นจนล้มลงไปกับพื้นเสียก่อน
เขาคนนี้คือ จางฟาง ชายหนุ่มที่อายุเพิ่งจะเข้า 29 มาหมาดๆ ตั้งแต่เย่เทียนปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้และกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเฟิงเจิ้นนั้น ตระกูลเย่ก็เป็นเป้าหมายของเขามาตลอด เนื่องมาจากถ้าหากเขาสามารถล้มคนจากตระกูลนี้ได้ ชื่อเสียงของเขาก็จะโด่งดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะท้าสู้เย่เย่ก่อนเพื่อที่จะให้ชื่อของเขาได้เป็นที่รู้จัก จากนั้นเขาจึงกลับมาอีกครั้งเมื่อมั่นใจแล้วว่าจ้าววรยุทธ์ของตระกูลเย่นั้นไม่อยู่บ้านกันสักคนเดียว หลังจากที่รวบรวมความกล้าแล้ว จางฟางก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านเย่เช่นนี้พร้อมกับตะโกนประโยคก่อนหน้านั้นไป
“เจ้าคนอวดดี! เป็นจ้าววรยุทธ์ทั่วๆไปแต่กลับกล้าที่จะมาท้าสู้กับตระกูลเย่อย่างพวกเรา เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วหรือไร!”
เย่เฉิงที่ได้รับข่าวคราวเรื่องนี้มาจากสมาชิกในตระกูลก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและเดินออกมาจากประตู เมื่อเขาเห็น จางฟาง เขาก็ไม่รอช้าที่จะก่นด่าและติเตียนอีกฝ่ายทันที
“ข้าก็แค่อยากจะมาสู้อย่างเป็นธรรม! แต่ถ้าเจ้าออกมาเพื่อที่จะมาดูถูกข้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าชื่อเสียงตระกูลเย่จะล่มสลายหรืออย่างไร? ให้เย่เย่ออกมาซะ เขาคนนั้นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การเป็นคู่ต่อสู้กับข้า เจ้าน่ะไม่คู่ควร!”
เพราะรู้ว่าเย่เย่ไม่ได้อยู่ในบ้านตระกูลเย่ ณ ตอนนี้ จางฟางจึงแสร้งทำเป็นห้าวหาญและยกตนเหนือเย่เฉิง เขาน่ะหน้าหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมืองเสียอีก
ครั้นเมื่อได้ยินดังนั้น สมาชิกคนอื่นๆของตระกูลเย่ต่างก็พาโกรธเกรี้ยวกับคำพูดของจางฟางกันถ้วนหน้า พวกเขาพากันรุมประณามและด่าทอจางฟางว่าเป็นผู้ไร้ยางอาย เห็นๆกันอยู่ว่าเขานั้นก็แค่ผู้ฝึกวรยุทธ์เท่านั้น ไม่มีค่าอะไรที่จะเทียบได้กับเย่เย่เลย แต่ยังกล้าดีมาอวดเบ่งกับเหล่าสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลเย่เช่นนี้อีก เห็นชัดๆเลยว่านี่มันดูถูกกันอยู่
อย่างไรก็ตาม สมาชิกตระกูลเย่ต่างก็รู้ดีว่าแม้จางฟางจะเป็นเพียงผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ กระนั้นเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในระดับนี้แล้ว ต่อให้เข้าไปช่วยเย่เฉิงจัดการเขา ดีไม่ดีคนอื่นๆก็อาจจะแพ้หมดเลยด้วย ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงๆมันก็จะกลายเป็นความอับอายของตระกูลเย่อย่างแน่แท้
อย่างไรก็ตาม เย่เฉิงนั้นไม่ได้อยากจะสู้กับจางฟางอยู่แล้ว ยังไงเสียนี่ก็อยู่ในอาณาเขตของบ้านตระกูลเย่ ดังนั้นเขามีอีกหลายวิธีที่จัดการกับจางฟางได้
“ช่างไม่ละอายใจเลยจริงๆเจ้าน่ะ! เจ้าคิดหรือว่าไม่ว่าใครก็สามารถมาท้าทายตระกูลเย่ได้น่ะ? เจ้าคิดว่าพวกข้าจะใจดีกันได้ตลอดหรืออย่างไร? ขอโทษด้วยนะ พวกข้าไม่ได้มีเวลาว่างขนาดมาใจดีกับเจ้าตลอดหรอก! พวกเจ้า ไปจัดการเจ้านี่ อย่าให้ข้าได้เห็นมันอยู่ในสายตาอีก!”
เย่เฉิงด่าทอจางฟางอีกครั้งก่อนจะสั่งให้เหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ์หลายคนในตระกูลเย่เข้ามาขับไล่จางฟางออกไป
“ฮึ่ม! ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพวกตระกูลเย่จะเป็นพวกหมาหมู่แบบนี้! ข้ามองพวกเจ้าผิดไปจริงๆ ลาก่อน!”
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้นั้นประสบผลสำเร็จแล้ว จางฟางก็หันหน้าออกและเดินจากไปก่อนที่เหล่าคนจากตระกูลเย่จะเข้ามาล้อมเขาเสียอีก เขาเชื่อว่าแม้วันนี้จะไม่ได้ปะทะกับพวกตระกูลเย่จริงๆ แต่อย่างน้อยๆเรื่องในครานี้ก็จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงของเขาได้แน่ๆ
ถึงแม้ว่าในสายตาคนอื่นนั้น การกระทำของเขาจะดูเหมือนการพูดเข้าข้างตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่ามันยังมีใครบางคนที่ต้องการจะสนับสนุนเขาอยู่ ซึ่งคนเหล่านี้จะคิดเข้าข้างจางฟางว่าตระกูลเย่นั้นเป็นพวกหมาหมู่จริงๆ
จางฟางวางแผนแบบนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นหลังจากที่หันหน้ากลับแล้ว ใบหน้าของเขาก็ผลิยิ้มแห่งความสำเร็จออกมา ทว่าขณะที่เขาเดินออกมาห่างจากบ้านตระกูลเย่ได้ไม่ไกลนัก เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตามท้ายมา
“ช้าก่อน! นายน้อยของข้านั้นไม่ลดตัวมารับคำท้าเจ้าหรอก แต่ถ้าเจ้าอยากจะท้าประลองกับนายน้อยจริงๆละก็ เจ้าต้องผ่านการทดสอบจากข้าไปก่อน!”
เจ้าของเสียงนั้นคือเสี่ยวหยูผู้ที่เพิ่งได้รับข่าวว่ามีคนนอกตระกูลกำลังมาโหวกเหวกโวยวายท้าทายเย่เย่ ครั้นที่นางออกมาดูด้วยตาตนเอง นางก็มองออกทะลุปรุโปร่งเลยว่าจางฟางนั้นต้องการจะใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้ตนเอง ดังนั้นนางจึงรีบออกจากฝูงชนมาและเอ่ยออกไปด้วยความยั่วยุอีกฝ่าย
จางฟางหันกลับมามองยังเจ้าของเสียงที่กำลังยั่วยุเขาอยู่ ซึ่งคนคนนั้นเป็นเพียงเด็กสาวเท่านั้น มันเลยทำให้สีหน้าของเขาดูประหลาดใจขึ้นมา และไม่เพียงแค่เขาหากแต่คนอื่นๆรวมถึงเย่เฉินเองต่างก็พากันตกใจกับสิ่งนี้ด้วย
“เสี่ยวหยู เจ้าต้องไม่โดนคำพูดของอีกฝ่ายยั่วยุได้สิ! ห้ามหุนหันกับอะไรแบบนี้นะ!”
เย่เฉิงนั้นรู้ดีว่าแม้เสี่ยวหยูจะเป็นข้ารับใช้ของเย่เย่ตามที่เห็นกัน แต่แท้จริงแล้วนางก็ถือเป็นผู้หญิงของเย่เย่ด้วย ดังนั้นแล้วหากปล่อยให้นางไปเสี่ยงอันตรายคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เขาจึงรีบดึงตัวเสี่ยวหยูเอาไว้ก่อน ทว่ามันก็เหมือนจะสายเกินไป
เสี่ยวหยูเดินตรงไปยังจางฟางโดยที่ไม่มีวี่แววของความหวาดกลัวอยู่ในดวงตาเลย นอกจากนั้นแล้วเมื่อประชิดตัวได้ นางก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงไร้สาระด้วย “เจ้าเพิ่งจะพูดเองไม่ใช่หรือว่าตระกูลเย่หมาหมู่? ตอนนี้ข้ามาด้วยตัวข้าเองแล้ว เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยหรืออย่างไร? แสดงให้ข้าเห็นหน่อยสิว่าเจ้าทำอะไรได้บ้างนอกจากเห่าไปวันๆ”
“เสี่ยวหยู!”
เย่เฉิงกู่ร้องออกมาด้วยความกระวนกระวาย แต่ในทันทีเขาเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่แผ่ขยายเป็นวงกว้างจากตัวของเสี่ยวหยู สิ่งนี้มันทำให้เขาเริ่มจะมั่นใจว่านางนั้นไม่ได้พูดเล่นๆ ดังนั้นเขาเองจึงเป็นฝ่ายเงียบไปแทน
แววตาที่ดูมั่นคงและแน่วแน่ของเสี่ยวหยูนั้นทำให้ จางฟางตระหนักได้ว่า สาวน้อยคนนี้ไม่ได้พูดเล่น ในขณะเดียวกันก็เป็นเขาเองที่แสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมาเพราะกำลังรู้สึกว่าโดนเด็กสาวคนนี้ดูถูกด้วยความหยิ่งผยองในตนเองอยู่
“ฮึ่ม! ในเมื่อเจ้าอวดดีต่อหน้าข้า เช่นนั้นข้าก็จะสั่งสอนบทเรียนแทนนายน้อยของเจ้าเอง! ข้าหวังว่าเจ้าคงจะไม่ร้องไห้เมื่อแพ้ข้านะ เพราะข้าน่ะไม่ใช่พวกที่ขี้สงสารยามเมื่อเห็นน้ำตาเสียด้วย!”
ทันทีที่จางฟางพูดจบ เขาก็พุ่งเข้าหาเสี่ยวหยูทันที ในการที่จะทำให้เรื่องนี้จบลงเร็วที่สุด เขาหลบหลีกเหล่าตระกูลเย่คนอื่นๆที่พยายามเข้าล้อมเขาไว้
*ฟู่ว!*
ภายในการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วดุจสายลมนั้น ไม่มีใครตามความเร็วของจางฟางได้ ความเร็วนี้เกือบจะเทียบเท่ากับเหล่าจ้าววรยุทธ์ที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้แล้ว ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวหยูผู้ที่ฝึกฝนตนอยู่ในระดับจ้าววรยุทธ์มาเป็นเวลานานจนวรยุทธ์ในร่างกายนั้นมั่นคงประดุจหินผาแล้วนั้น ทั้งพลังและความเร็วของจางฟางไม่สามารถเทียบเท่านางได้เลย
“แค่เทียบเคียงข้ายังไม่ได้ คนแบบนี้หรือที่คิดจะสั่งสอนข้าน่ะ! กลับไปยังที่ที่เจ้ามาซะ!”
ขณะที่จางฟางพุ่งตรงเข้าหาเสี่ยวหยูนั้น นางเพียงแค่ยกมือขึ้นข้างหนึ่งและตบเข้าไปตรงหน้า เพียงเท่านั้นการแรงกดดันมหาศาลก็ทำให้จางฟางต้องชะงักจนเผลอถอยกลับไป กว่าเขาจะรู้ตัวได้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันไม่ถูกต้อง ฝ่ามือของเสี่ยวหยูก็ประทับลงไปที่กลางอกเขาแล้ว
*ผั้วะ!*
ในแววตาที่กำลังตกใจกลัวของจางฟาง ร่างของเขาก็กระเด็นลอยออกไปไกลจนกระทั่งไม่เห็นร่างของจางฟางเลย
และแม้จะปลดปล่อยพลังกับการโจมตีเมื่อครู่ไปแล้ว แต่รอบๆตัวของเสี่ยวหยูก็ยังเต็มไปด้วยคลื่นพลังแห่งสวรรค์และโลกไหลเวียนอยู่นิดหน่อยราวกับว่าพวกมันพยายามจะบอกผู้คนรอบๆว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่
“น-นี่มัน จ้าววรยุทธ์?!”
ถึงจะเดาเอาไว้บ้างแล้ว แต่เย่เฉิงก็ยังอดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นเสี่ยวหยูแสดงพลังในระดับจ้าววรยุทธ์ออกมา
จากนั้นเขาก็ดูจะดีใจจนออกนอกหน้าพร้อมกับวิ่งไปทางเสี่ยวหยูเพื่อถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทาไปหมด “ส-เสี่ยวหยู เจ้า เอ่อ…เจ้าปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้แล้วงั้นเหรอ?!”
“เจ้าค่ะ แต่ข้าแค่โชคดีน่ะนะ!”
เพราะเย่เย่กำชับไว้ว่าห้ามบอกถึงเหตุผลที่ทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ตื่นขึ้นมาได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นแล้ว เสี่ยวหยูจึงตอบคำถามเย่เฉิงไปด้วยความคลุมเครือเช่นนั้น
แต่ถึงจะตอบออกมาเช่นนั้น เย่เฉิงก็ยังพึงพอใจอยู่ดี เขารีบรั้งตัวเสี่ยวหยูไว้และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮ่ะๆๆ นี่มันยอดมากเลยนะ! ข้าไม่คิดเลยว่าความสามารถของเสี่ยวหยูเองก็จะมีความสามารถที่โดดเด่นระดับนี้ นี่เจ้าเหมือนกับหลินหยูฉีเลยนะ! หลานเย่นี่มีแววตาเฉียบขาดจริงๆ! เขาคงจะรู้อยู่แล้วแน่ๆว่าเจ้านั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆ!”
ยามที่โดนเย่เฉิงกล่าวเยินยอระดับนี้ เสี่ยวหยูก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย ทว่านางเองก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการโดนชมเช่นนี้มันทำให้นางรู้สึกมีความสุขสุดๆ นอกจากนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางมีความสุขนั่นก็คือ นางสามารถช่วยแก้ปัญหาให้เย่เย่ได้บ้างแล้วแทนที่จะเอาแต่เป็นตัวปัญหาเหมือนครั้งก่อนๆ
สมาชิกตระกูลเย่คนอื่นๆเองต่างก็แสดงความยินดีกับการที่เสี่ยวหยูสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้อย่างจริงใจ
พวกเขานั้นค่อนข้างมั่นใจเลยว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเย่นั้นจะต้องเติบใหญ่มากขึ้นไปอีกชนิดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้แน่ๆ เอาความสำเร็จจากการที่มีจ้าววรยุทธ์เพิ่มขึ้นเช่นนี้เป็นหลักฐานเลย!
หลังจากที่เย่เย่กลับมาจากหุบเขาหลี่เทียน เขาเองก็ยังต้องประหลาดใจกับข่าวที่ได้ยิน
ถึงแม้ว่าการไปภูเขาหลี่เทียนของเขาในครั้งนี้จะแทบไม่ได้อะไรกลับมาเลยดังเดิม แต่มันก็ทำให้เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะตั้งหอการค้าของตนเองอย่างแน่นอน กระนั้นเย่เย่ก็ยังไม่สามารถหาเวลาไปจัดตั้งหอการค้าในหลินเฉิงได้เสียที นั่นเพราะเขายังมีบางอย่างที่ต้องทำอยู่
การที่เขาได้เห็นว่าศักยภาพของเสี่ยวหยูนั้นสูงเกินกว่าที่คาดไว้มากนั้นมันทำให้เขาเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา นั่นคือการที่จะส่งเสี่ยวหยูไปที่หลินเฉิงก่อน ยังไงเสียเสี่ยวหยูเองก็คงไม่มีปัญหากับความคิดแน่ๆ
“นายน้อยเจ้าคะ ข้าจะไปเอง! ท่านไว้ใจข้าได้เลย ข้าจะไปจัดตั้งรากฐานของหอการค้าในหลินเฉิงให้เอง! หลังจากที่นายน้อยไปถึงแล้ว นายน้อยจะได้สามารถขยายขนาดมันเองในภายหลัง!”
แม้ว่านางนั้นจะตอบรับแผนนี้อย่างไม่ลังเลเลยก็จริง แต่ว่าการที่จะออกไปนั้นมันก็ทำให้นางดูไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
“ดีล่ะ งั้นวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวข้าจะให้ตั๋วทอง 50,000 จากคลังตระกูลเย่ไปกับเจ้าด้วย เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลเมื่อไปถึงหลิงเฉิงแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำนั้นก็แค่ตั้งหอการค้าขึ้นมาเฉยๆ เริ่มจากเป็นซุ้ม ส่วนที่เหลือนั้นหลังจากข้าไปถึงหลินเฉิงแล้วข้าจะจัดการต่อเอง!”
เย่เย่ลูบหัวเสี่ยวหยูเบาๆพร้อมกับแสดงความพึงพอใจออกมาจากดวงตา
ถึงค่าใช้จ่ายในการตั้งหอการค้าภายในหลิงเฉิงนั้นจะไม่ใช่น้อย หากแต่ด้วยอิทธิพลของตระกูลเย่ที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงนี้ ต่อให้เย่เย่จะไม่มีตั๋วทองถึง 50,000 อยู่กับตัว แต่เขาก็หาวิธีได้มันมาไม่ยากอยู่แล้ว
ด้วยตำแหน่งของเย่เย่ในตระกูล ต่อให้เขาไม่ได้พูดอะไร เย่เทียนก็ไม่ได้ขัดข้องหากเขาจะนำเงินจากคลังออกมา เช่นนั้นแล้วปัญหาเรื่องการตั้งหอการค้านั้นถือว่าคลี่คลายแล้ว อย่างน้อยๆตอนนี้เย่เย่ก็พอจะผ่อนคลายไปได้สักระยะหนึ่ง
วันถัดมา หลังจากที่ส่งเสี่ยวหยูออกจากเฟิงเจิ้นแล้ว เย่เย่ก็กลับมายังบ้านตระกูลเย่เพื่อฝึกฝนเพิ่มเติมอีกครั้ง