ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 47 ร่วมหุ้น
บทที่ 47
ร่วมหุ้น
“3 ล้าน?”
สีหน้าของเสวี่ยหยูเริ่มจะไม่สู้ดีแล้ว ครั้งนี้น้ำเสียงของนางที่ตอบกลับเย่เย่นั้นแฝงไปด้วยความโกรธ “ต่อให้ท่านจะสามารถเพิ่มชื่อเสียงให้กับหอการค้าหยูเย่ได้อย่างรวดเร็วจากการประมูลครั้งล่าสุดนั่น แต่มูลค่าของหอการค้าแห่งนี้ก็ยังห่างไกลจาก 3 ล้านอยู่นะ! ท่านเย่จะปั่นราคามากเกินไปหรือเปล่า?!”
เสวี่ยจ้านเดินเข้ามาด้านหน้าพร้อมกับปลดปล่อยพลังแห่งเทพยุทธ์ออกมาอีกครั้ง สายตาของเขาในตอนนี้ดูร้ายกาจและจ้องมองเย่เย่ขณะพูดข่มขู่ “ไอ้หนู เจ้ากำลังมองว่าตระกูลเสวี่ยของพวกข้าเป็นศัตรูหรืออย่างไร? เจ้าคิดว่าเจ้าจะไม่แยแสทุกอย่างได้ด้วยพลังอันน้อยนิดของเจ้าได้งั้นเหรอ? ผิดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในหลิงเฉิงน่ะ ก็คือ ความฉลาด ต่างหาก!”
ถึงแม้เย่เย่นั้นจะถูกพูดปากต่อปากแล้วว่าเป็นเทพยุทธ์ แต่รูปลักษณ์ของเขาก็ยังคงเด็กนัก เสวี่ยจ้านจึงไม่คิดว่าเย่เย่นั้นจะเป็นเทพยุทธ์มานานกว่าตัวเขาแน่ๆ ในเมื่อลงความเห็นแล้วว่าวรยุทธ์ของเย่เย่ยังไงเสียก็ไม่มีทางตามเขาทัน เขาจึงใช้พลังของเขาข่มเย่เย่อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เย่เย่ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ของเสวี่ยจ้านกลับไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งสิ้น เขายังคงมีรอยยิ้มผ่อนคลายอยู่บนใบหน้าเช่นเดิม ซึ่งท่าทีเช่นนี้เองมันถึงทำให้เสวี่ยจ้านรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาพร้อมทั้งสูญเสียความมั่นใจในตอนแรกไปด้วย
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าวรยุทธ์ของเย่เย่นั้นมีมากกว่าเขามหาศาลยิ่งนัก ตลอดเวลาเขามัวแต่คอยระวังตัวเองเพราะไม่ต้องการที่จะถูกขับออกจากตระกูลเสวี่ย
ความจริงอย่างหนึ่งที่ยังไม่มีใครรู้ตอนนี้ก็คือ ถึงแม้ว่า เย่เย่จะเพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นเทพยุทธ์ได้ไม่นาน แต่ตลอดเวลาที่เขาว่าง เขาก็จะสกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่อยู่เรื่อยๆจน วรยุทธ์ของเขานั้นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และในตอนนี้ หลังจากที่สกัดยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ไปถึงสองขวดแล้ว ความแข็งแกร่งของเย่เย่ก็เพิ่มมากในระดับที่เหมือนว่าตัวเขานั้นฝึกฝนมานับพันวันโดยมิขาดเลยแม้แต่นิดเดียว! ซึ่งด้วยการฝึกฝนระดับนี้ แน่นอนว่าเสวี่ยจ้านน่ะเทียบเข้าไม่ได้เลยสักนิด เสวี่ยจ้านประเมินเย่เย่แบบมั่วๆซั่วๆโดยไม่รู้ความจริง ดังนั้นแล้วสิ่งที่เขาได้รับนั้นย่อมผิดคาดแน่ๆ
“เก็บความแข็งแกร่งของเจ้าไปให้มิดชิดแล้วออกจากห้องนี้ไปเดี๋ยวนี้เลย หากไม่ใช่เพราะข้าไว้หน้านายหญิงเสวี่ยของเจ้าอยู่ล่ะก็ เจ้าจะไม่ได้กลับออกไปจากห้องนี้ในสภาพดีแน่!”
ใบหน้าของเย่เย่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม ทว่าแววตาที่มองเหลือบไปหาเสวี่ยจ้านนั้นกลับดุร้ายและเยือกเย็นไปพร้อมๆกัน ถึงแม้ว่าเขานั้นเพิ่งจะมาอยู่ในหลิงเฉิงได้ไม่นาน แต่เขาก็จะไม่ยอมให้ตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลเสวี่ยมาข่มเหงเขาแน่ๆ
เสวี่ยจ้านนั้นโกรธจัด ทว่าเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรเย่เย่ต่อและรีบซ่อนพลังของเขาไว้ดังเดิมก่อนจะถอยกลับไปอยู่มุมหนึ่งของห้องทันทีเลย แม้จะรู้ดีว่าด้วยวรยุทธ์และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเหล่าคนในตระกูลเสวี่ยนั้นจะสามารถเกทับเย่เย่ได้ก็จริง แต่การที่เด็กหนุ่มอายุแค่นี้ เขาถึงกับต้องใช้คนทั้งตระกูลมาเกทับเลยงั้นเหรอ?
แล้วถ้ามันเกิดอะไรที่เหนือความคาดหมายมากกว่านั้น อย่างเหล่าคนที่มีพรสวรรค์ในตระกูลไม่สามารถจัดการคนคนนี้ได้ ผลลัพธ์มันจะหนักหนาขนาดไหนน่ะ?
“ท่านเย่ ข้าต้องขออภัยกับเรื่องเมื่อครู่ด้วย ข้าหวังว่าท่านจะไม่นำเรื่องนี้มาคิดเล็กคิดน้อยในอนาคต พวกเราหอการค้า ตงหยวนนั้นต้องการที่จะซื้อหอการค้าหยูเย่จริงๆ แต่ด้วยเงินจำนวน 3 ล้านหยวนนั้นมันถือว่าสูงมากๆ ข้าหวังว่าท่านเย่จะช่วยลดให้ข้าอีกได้หรือไม่?”
เสวี่ยหยูที่เห็นบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด นางก็รีบเปลี่ยนเรื่องกลับไปยังจุดประสงค์เดิมของนางทันที แต่ก่อนที่จะได้โน้มน้าวเย่เย่ต่อ เย่เย่ก็เป็นฝ่ายหยุดนางเอาไว้เสียก่อน
“ข้าไม่ได้หมายถึงทั้ง 300,000 หรือ 3 ล้านอะไรทั้งนั้นแหละ ข้าหมายถึงคำ 3 คำ นั่นคือ ‘ไม่-มี-ทาง’ ”
เย่เย่เก็บทั้งสามนิ้วลงแล้วพูดกับเสวี่ยหยูอย่างมั่นใจ “ข้าไม่เคยคิดจะขายหอการค้าหยูเย่ หรือต่อให้ข้าจะต้องเจอกับปัญหาที่ท่านว่าไว้ ข้าก็มีวิธีที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดนั่นอยู่แล้ว ดังนั้นขอให้ท่านเสวี่ยอย่าได้กังวลเกี่ยวกับพวกเรา!”
เสวี่ยหยูเห็นท่าทีของเย่เย่ดูจะมั่นใจมากๆ นางจึงไม่รู้จะพูดยังไงต่อดี ทว่าทางเสวี่ยจ้านนั้นกลับยังไม่สงบ เขาไม่พอใจ เย่เย่อยู่เป็นอันมาก ถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้พูดข่มขู่เหมือนดังก่อน แต่ภายในน้ำเสียงนั้นก็ยังคงมีความประชดประชันแอบแฝงอยู่ “หอการค้าตงหยวนนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งโดยตระกูลเสวี่ย กระนั้นแล้วการหาของที่เรียกได้ว่าสมบัติล้ำค่ามาเสริมในหอการค้านั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่ดี แล้วหอการค้าหยูเย่ของเจ้าที่หัวเดียวกระเทียมลีบนั้น ข้าล่ะกลัวจริงๆว่าพวกเจ้าจะอยู่ได้เพียงแค่ครึ่งปี เจ้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรล่ะ?”
แต่เดิมเสวี่ยหยูก็ตั้งใจจะปรามเสวี่ยจ้านจากการพูดอะไรแบบนี้เอาไว้ แต่เมื่อคิดตามแล้วดูเหมือนว่านี่คงเป็นทางเดียวที่อาจจะทำให้เย่เย่ตระหนักได้ถึงความจริงที่เขาจะต้องเจอ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะเงียบและไม่พูดอะไรเพิ่มเดิม
อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นไม่ได้จนแต้มหลังจากที่เสวี่ยจ้านพูดแต่อย่างใด เพียงไม่นานหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ เย่เย่ก็หยิบเอาขวดยาออกมาจากช่องเก็บของใต้แขนเสื้อของเขา ซึ่งภายในนั้นบรรจุยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ที่เขาใช้สกัดอยู่ตลอดหลายวันมานี้นั่นเอง
“เอานี่ไปดูสิ”
เย่เย่เทยาที่เม็ดเท่าเมล็ดข้าวลงไปบนมือตนเองและยื่นให้ทั้งสองดูขณะที่พูดต่อ “มันอาจจะเป็นเรื่องจริงที่ข้าไม่ค่อยได้ฝึกวรยุทธ์แต่ว่าการเล่นแร่แปรธาตุของข้าก็นับว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่ นี่คือยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ซึ่งข้าเพิ่งจะสร้างมันขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ ถึงแม้ว่ากระบวนการผลิตมันจะยุ่งยากแต่ด้วยผลลัพธ์ของมัน ข้าก็ไม่รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด ประสิทธิภาพของมันน่ะ สูงกว่ายาของหอการค้าตัดเซียงเสียอีกนะ!”
เขาไม่ได้พูดเปล่า เพราะระหว่างที่พูดก็ส่งยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่นั้นให้แก่เสวี่ยหยูเพื่อได้ตรวจสอบด้วย
เหตุผลที่เขานั้นยืดเยื้อและไม่รีบแสดงไพ่ตายสำหรับการเจรจาครั้งนี้มาตั้งแต่แรกนั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้ต้องการจะสร้างหอการค้านี่มาเพื่อต่อลมหายใจตัวเอง ถึงแม้ว่าหอการค้าหยูเย่นั้นจะโด่งดังขึ้นอย่างรวดเร็วจากงานประมูลครั้งล่าสุดและมีเงินมากพอที่จะขยายกิจการให้ใหญ่โตขึ้น แต่กระนั้นเงินที่มีอยู่มันก็ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างช้าๆเท่านั้น
เช่นนั้นแล้วถึงแม้ว่าเย่เย่จะไม่ต้องการที่จะขายกิจการ แต่ในการที่จะทำให้กิจการเติบโตเร็วขึ้น เย่เย่นั้นไม่ได้รังเกียจหากจะต้องเพิ่มผู้ลงทุนกับกิจการของเขา ตราบใดก็ตามที่เขายังเป็นเจ้าของกิจการอยู่ และเขาหวังว่ายิ่งมีผู้ร่วมลงทุนมาก มันก็ย่อมดีกว่าตัวคนเดียวอยู่แล้ว
เสวี่ยหยูและเสวี่ยจ้านนั้นพากันตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เย่เช่นนั้น และด้วยสัญชาตญาณ พวกเขาทั้งสองปฏิเสธที่จะเชื่อในทันที แต่เพราะเขารู้ดีว่าเย่เย่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหก เพราะถ้าหากเขาโกหก เรื่องโกหกนั้นจะถูกเปิดโปงแต่โดยง่าย
ด้วยความสงสัยและสับสน ทั้งสองจึงค่อยๆตรวจดูยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ของเย่เย่ด้วยความรอบคอบและในท้ายที่สุดก็พบความจริงที่ว่า ยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ของเย่เย่นี้ มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาของหอการค้าตันเซียงจริงๆ
สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองต้องตกใจขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่านี่ถือเป็นโอกาสที่ดีและหายากแบบสุดๆ เนื่องจากทั่วทั้งหลิงเฉิงนั้นรับรู้มาตลอดว่ายาจากหอการค้าตันเซียงนั้นถือเป็นที่สุดของเมืองนี้ และไม่มีหอการค้าไหนที่จะมาเขย่าสมญานามนี้ได้ ทว่าถ้าหากเรื่องที่เย่เย่พูดนั้นเป็นความจริง นั่นหมายถึงประวัติศาสตร์กำลังจะต้องถูกจารึกใหม่อีกครั้ง
“ท่านเย่ เรื่องที่ท่านบอกว่ายานี่ท่านสร้างมันด้วยตนเองนั่น เรื่องจริงงั้นหรือ?”
เสวี่ยหยูเลือกที่จะไม่หลบซ่อนสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นนั้นแต่อย่างใด หลังจากที่คืนยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ให้เย่เย่แล้วนางก็เอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นตระหนกทันที
“ถ้าข้าสร้างยาพวกนี้มามไม่ได้ แล้วพวกท่านคิดว่าพวกยาวิเศษระดับสูงทั้งหลายที่ข้านำมาประมูลมันมาจากไหนกันล่ะ?”
เมื่อเก็บยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่คืนมาแล้ว เย่เย่ก็สังเกตเห็นว่าเสวี่ยหยูและเสวี่ยจ้านนั้นกำลังถูกยาของเขาดึงดูดแล้วผ่านคำถามที่เสวี่ยหยูถามมา ดังนั้นในแววตาของเย่เย่จึงฉายแววความสุขออกมา
หลังจากที่เสวี่ยหยูและเสวี่ยจ้านได้ยินเย่เย่ถามย้อนกลับมาแทนคำตอบ พวกเขาก็จำได้ถึงสิ่งของที่เรียกว่าเป็นอาหารจานหลักจำนวนมากที่หอการค้าเย่เย่นำมาประมูล พวกมันล้วนเป็นยาวิเศษระดับสูงกันทั้งหมด แต่เพราะพวกเขานั้นโดนผ้าคลุมล่องหนกับเกราะเหล็กดำล่อลวงให้สนใจจนไม่ได้ใส่ใจกับของอย่างอื่นเลยจึงมองข้ามเรื่องนี้ไป
ความมั่นใจบนใบหน้าของเย่เย่นั้นทำให้เสวี่ยหยูขบฟันแน่นก่อนจะเอ่ยถามบ้าง “ท่านเย่คงไม่ได้นำยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ขึ้นมานี่เพื่อยืนยันความมั่นใจของท่านเย่เพียงอย่างเดียวหรอกใช่ไหม? พวกเราหอการค้าตงหยวนมีความประสงค์ที่จะได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนกับหอการค้าหยูเย่ของท่าน เช่นนั้นได้โปรดบอกข้อกำหนดของท่านมาได้เลย”
ในตอนนั้นเอง เสวี่ยจ้านไม่กล้าที่จะดูหมิ่นหอการค้า หยูเย่และเย่เย่อีกต่อไป หลังจากที่เสวี่ยหยูเอ่ยถามเสร็จเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
แผนของเย่เย่ประสบผลสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงค่อยๆผลิรอยยิ้มพึงพอใจออกมาก่อนจะพูดขึ้นด้วยความใจเย็น “ข้อกำหนดของข้านั้นไม่ได้มีอะไรมากมายเลย เรียกได้ว่าเพื่อความเท่าเทียมทางธุรกิจจะดีกว่า ถึงแม้ว่าข้าคงจะไม่เปิดโอกาสให้ใครก็ตามได้มาซื้อขาดกิจการหอการค้าหยูเย่ของข้า แต่ข้าก็ยินยอมให้เป็นหุ้นส่วนอยู่ สำหรับท่าน 40% เลย ข้า 60 ท่าน 40 ทั้งข้าและท่านล้วนเป็นเจ้าของกิจการหอการค้าหยูเย่ แต่กระนั้นสิทธิ์ในการควบคุมเป็นของข้า!”
“ดี! พวกเราหอการค้าตงหยวนเห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านเย่ ส่วนเรื่องค่าร่วมทุนนั้นเรามาเจรจากันอีกทีหลังจากตกลงทุกอย่างกันเสร็จแล้วก็ได้!”
ตราบใดก็ตามที่เย่เย่นั้นสามารถสร้างยาวิเศษระดับสูงออกมาได้เรื่อยๆ อนาคตของหอการค้าหยูเย่ก็จะยิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นเรื่อยๆ ทางเดียวที่จะทำให้หอการค้าตงหยวนขยายใหญ่ขึ้นก็มีแต่จะเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้ใครตัดหน้าไปก่อน
เสวี่ยจ้านเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะคัดค้านหรือเสียใจแต่อย่างใด
นั่นเพราะเย่เย่ยื่นข้อเสนอเพียงแค่ให้พวกเขา 40% และสิทธิ์ในการควบคุมหอการค้าหยูเย่ยังเป็นของเย่เย่อยู่เท่านั้น ด้วยทางเลือกเช่นนี้มันก็ถือว่าดีไม่ใช่น้อย ถ้าหากพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอนี้ ยังไงเสียหอการค้าอื่นก็อาจจะไม่ปฏิเสธได้ ตอนนี้น่ะพวกเขารู้ดีว่ามีหอการค้าอีกมากมายที่อยากจะร่วมทุนกับเย่เย่หากมีโอกาส ซึ่งถ้าเมื่อไหร่เขาพลาดโอกาสนี้ไป นั่นหมายถึงพวกเขาจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก!
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยืนข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดี เย่เย่และเสวี่ยหยูตกลงค่าร่วมทุนกันที่ 3 ล้านเหรียญทองเพื่อแลกกับความเป็นเจ้าของหอการค้าหยูเย่ถึง 40% โดยที่สิทธิ์ในการควบคุมและจัดการหอการค้าหยูเย่ยังเป็นของเย่เย่ หอการค้าตงหยวนไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวในจุดนี้ได้ พวกเขาจะได้เพียงส่วนแบ่งจากการเจริญเติบโตของหอการค้าเท่านั้น
ระหว่างทางที่ทั้งสองกำลังกลับไปยังหอการค้าของตน เสวี่ยหยูและเสวี่ยจ้านก็ยังคงพูดคุยกันถึงรายละเอียดกับความเป็นไปได้ในอนาคตหลังจากที่ร่วมหุ้นกับเย่เย่ไปแล้ว ตอนนั้นเอง จู่ๆเสวี่ยหยูก็นึกขึ้นได้ถึงภาพครั้งที่เจิ้งซูเข้ามายังห้องด้านหลังเพื่อเสิร์ฟชา นางจึงรีบถามเสวี่ยจ้านด้วยความคลุมเครือ “ข้ารู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลากับคนงานที่อยู่ในหอการค้าหยูเย่คนนั้นจังเลย เหมือนว่าเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน”
“โอ๊ะ ข้าว่าน่าจะเคยเจอกันมาก่อนแน่ๆ! ถ้าข้าจำไม่ผิด เด็กคนนั้นน่าจะเป็นเด็กจากตระกูลเจิ้งที่ถูกขับไล่ออกมาเมื่อหลายปีมาแล้ว น่าจะชื่อ เจิ้งซู นะขอรับ”
เสวี่ยจ้านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ระลึกความหลังได้ในทันที ภาพต่างๆมันย้อนกลับเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าฉากต่อฉาก
“การร่วมทุนกับหอการค้าหยูเย่ครั้งนี้ช่างได้ผลดีกับพวกเรามากมายจริงๆ พวกเราจะปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือต่อไปไม่ได้! เช่นนั้นแล้วเมื่อกลับถึงหอการค้า ข้าจะส่งคนไปสืบเรื่องนี้ เราต้องไม่ให้เกิดอะไรผิดพลาดเด็ดขาด”
เสวี่ยหยูนั้นระวังแผนการของตนเองทุกขั้นตอน หลังจากที่นางเริ่มสงสัยในตัวตนของเจิ้งซู นางก็ตัดสินใจที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนทันที ทว่าเสวี่ยหยูเองก็คงไม่คาดคิด ว่าการตัดสินใจที่บ้าระห่ำในครั้งนี้ จะนำพามาซึ่งวิกฤตกาลแก่หอการค้าหยูเย่โดยมีผลกระทบกับชะตาชีวิตของเจิ้งซูโดยตรง
“นายน้อย! เงิน 3 ล้านเหรียญทองนี่มันยังไงกันเจ้าคะ!”
หลังจากที่เสวี่ยหยูและเสวี่ยจ้านกลับไปแล้ว เสี่ยวหยูและเจิ้งซูก็โผล่มามองเย่เย่ด้วยแววตาที่ฉงนใจเป็นที่สุด พวกเขาทั้งสองทำตัวราวกับไม่รู้จักเย่เย่มาก่อนพร้อมทั้งเอ่ยถามด้วยความตกใจด้วย
พวกเขาไม่ได้คิดหรอกว่าเสวี่ยหยูผู้เป็นเจ้าของหอการค้าตงหยวนนั้นจะเป็นคนที่เชื่อคนง่ายที่จะยอมจ่ายเงิน 3 ล้านหยวนเพื่อแลกกับการมีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองหอการค้าหยูเย่ 40% เช่นนี้ นั่นหมายถึงเย่เย่ต้องมีวิธีพูดบางอย่างที่โน้มน้าวนางได้อย่างแน่นอน แต่ไม่ว่ายังไงทั้งเสี่ยวหยูและเจิ้งซูก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเย่เย่ต้องพูดขนาดไหนคนที่ยอมควักเงินให้ได้ขนาดนี้ ถึงแม้ว่าตระกูลเสวี่ยนั้นจะมีเงินมากมายจนรู้สึกว่าเงิน 3 ล้านเหรียญทองนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็ตามที
“พวกเจ้าเลิกเดาเรื่อยเปื่อยได้แล้ว! รู้แค่ว่าต่อจากนี้หอการค้าตงหยวนจะเป็น 1 ในพวกเราก็เพียงพอ ส่วนเหตุผลที่พวกเขายอมจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของข้า! พวกเจ้ากลับไปทำงานต่อได้แล้ว ข้าจะไปฝึกวรยุทธ์ต่อ”
เย่เย่ไม่ได้เปิดเผยอะไรแก่ทั้งสอง เพราะเรื่องนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งดูเหมือนจะซับซ้อนมากขึ้นไปอีก สู้ปล่อยให้เด็กๆทั้งสองกลับไปทำงานโดยรู้แค่นั้นไปจะดีกว่า