ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 49 ตระกูลเจิ้ง
บทที่ 49
ตระกูลเจิ้ง
ไม่ว่าจะอย่างไร คนพวกนี้ก็ยังประเมินความแข็งแกร่งของเย่เย่ต่ำไปอยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหวางแผนปิดล้อมเพื่อไม่ให้เย่เย่หนีได้ดิบดีขนาดไหน แต่สิ่งที่ตามมากลับไม่เป็นดั่งใจคิด เย่เย่เป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาพวกเขาแทนเสียอย่างนั้น!
“พวกเจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว!”
เสียงตะโกนของเย่เย่นั้นฟังดูเกรี้ยวกราดแบบสุดๆ เขาใช้หมัดเพียง 1 หมัดในการซัดจนพี่ใหญ่ของอีกฝ่ายกระเด็นลอยกลับไป และก่อนที่ผู้เป็นน้องจะได้เข้าล้อมตน ร่างของเย่เย่ก็หายไปจากตรงหน้าพี่น้องคู่นี้เรียบร้อยแล้ว
“เร็วจริงๆ! ระวังตัวด้วยนะน้องเล็ก!”
เมื่อตระหนักได้แล้วว่าเย่เย่ไม่ธรรมดา พี่ใหญ่ก็รีบเอ่ยปากบอกน้องเล็กของเขาไว้ก่อน แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไป เพราะตัวน้องเล็กนั้นยังคงมองหาเย่เย่อยู่ ซึ่งในตอนนั้นเย่เย่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งและปล่อยหมัดออกไปเต็มๆที่ชุดเกราะของอีกฝ่าย
*ตึง!*
เลือดสีแดงถูกสำลอกออกมาจากปากก่อนที่สีหน้าของผู้เป็นน้องเล็กนั้นจะเริ่มซีดลงอย่างรวดเร็ว
ร่างของเย่เย่หายไปจากตรงหน้าพวกเขาอีกครั้งด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นจากรองเท้าเทพวายุที่สวมอยู่ และในจังหวะต่อมา เย่เย่ก็ปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้าผู้เป็นพี่ใหญ่ก่อนจะซัดหมัดเข้าไปที่อกของเขาอย่างหนักหน่วง
*ผั้วะ!*
พี่ใหญ่รีบรับแรงปะทะจากเย่เย่ในทันที แต่เพราะวรยุทธ์ของเขาไม่ได้สูงเทียบเท่าหรือแม้แต่จะใกล้เคียงกับเย่เย่เลย ดังนั้นมันเลยทำให้หมัดของเย่เย่เข้าปะทะกับอกของเขาโดยไม่มีการผ่อนแรงใดๆทั้งสิ้นจนต้องกระอักเลือดและถอยกลับออกมา ในตอนนี้แววตาของเขาเริ่มเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกแล้ว
ภายในหอการค้าหยูเย่นั้น ไม่ว่าจะเป็นคนงานในหอการค้าหรือพลพรรคกลุ่มสายน้ำหลั่งไหลต่างก็ยืนดูการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยความเงียบ อย่างไรก็ตามทางฝั่งของหอการค้าหยูเย่นั้นดูจะกระปรี้กระเปร่าในการตะโกนให้กำลังใจเย่เย่มากกว่า ซึ่งมันยิ่งทำให้อีกฝั่งเริ่มจะหวาดกลัวขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
“ถอยก่อน!”
เมื่อตระหนักได้แล้วว่าสิ่งที่คาดว่าจะทำได้นั้นไม่สามารถทำได้แน่ๆ ทั้งสองที่ได้รับบาดเจ็บหนักกันมาพอสมควรก็ตัดสินใจหันหน้ากลับไปยังทางออกของหอการค้าแห่งนี้
สองพี่น้องนั้นวิ่งออกไปจากที่นี่โดยไม่สนใจเหล่าสมาชิกกลุ่มสายน้ำหลั่งไหลที่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าหนีตอนนี้ก็สายไปแล้วน่ะ?”
เสียงของเย่เย่ดังขึ้นและยังไม่ทันจะสิ้นเสียง ร่างของเย่เย่ก็มาปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าประตูพร้อมกับง้างเท้าถีบคนที่วิ่งเข้ามาอยู่หลายครั้ง
ชายผู้เป็นหัวหน้าใหญ่นั้นพยายามจะหลบ แต่เพราะความเร็วของเขานั้นเทียบกับเย่เย่ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงโดนถีบเข้าไปที่ยอดอกอีกครั้งจนกระเด็นกลับไปที่กลางหอการค้าดังเดิม ผู้เป็นน้องชายที่เห็นดังนั้นแล้วก็ใช้จังหวะที่เย่เย่ไม่ได้สนใจตนหนีออกไปจากเย่เย่ ทว่าก่อนที่รอยยิ้มจะผลิบานบนใบหน้าได้ เสียงเย่เย่ที่ฟังดูโหดร้ายก็ดังขึ้นมาจากข้างหูของเขาอีก
“เป็นพี่น้องซะเปล่า อยู่ด้วยกันมาตั้งนานก็ต้องตายด้วยกันสิ กลับมาอยู่กับพี่ชายของเจ้านี่มา”
ทันใดนั้นเองไหล่ของเขาก็รู้สึกราวกับถูกคีมเหล็กจับล็อกไว้ ซึ่งไม่ว่าเขาจะออกแรงหนีขนาดไหน แต่เขาก็ไปไหนไม่ได้เลย
เย่เย่โยนร่างของเขากลับไปรวมกับพี่ชายของเขาเองจนเกิดเสียงของ 2 ร่างชนเข้าด้วยกันอยู่ที่กลางหอการค้านั้น ในตอนนี้ผู้เป็นน้องนั้นเริ่มมีเลือดออกที่มุมปากแล้ว
พวกเขาที่เป็นเทพยุทธ์กันทั้งสองคนนั้นกำลังอยู่ในสภาวะความเสี่ยงสูงที่จะโดนเย่เย่ที่อยู่ในระดับเดียวกันนั้นฆ่าตายเอาเสียง่ายๆ ต่อให้พวกเขาจะร่วมมือกัน ผลลัพธ์จากสถานการณ์ที่ผ่านมาก็น่าจะชัดเจนแล้วว่าไม่ต่างจากตัวคนเดียว ศึกครั้งนี้นอกจากจะได้รับความอัปยศอดสูแล้ว พวกเขายังได้รับรู้ถึงความหวาดกลัวและความยากลำบากเป็นครั้งแรกหลังจากก้าวเดินมาในเส้นทางสายนี้ด้วย
เหล่าสมาชิกคนอื่นๆของกลุ่มสายน้ำหลั่งไหลที่ได้เห็นว่าหัวหน้าทั้ง 2 ของตนนั้นถูกจับได้แล้ว ตำแหน่งของพวกเขาก็กลายเป็นผู้แพ้สำหรับศึกนี้ในทันที ท่ามกลางคนเหล่านี้ ชายที่ดูร่างใหญ่คนหนึ่งที่เกรงกลัวว่าต่อไปจะถึงตาของพวกตนบ้างที่จะต้องโดนเช่นนั้น และถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาไม่มีทางรอดแน่ๆ เพราะเป็นเพียงผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ์เท่านั้น ดังนั้นแล้วเขาเลยรีบชิงพูดมาก่อนตอนยังพอมีเวลา
“นายท่านขอรับ ฟังข้าก่อน! พวกข้าถูกบังคับมานะขอรับ! ทั้ง 2 คนนี้ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มสายน้ำหลั่งไหลแต่อย่างใดขอรับ! จู่ๆเจ้าพวกนี้ก็เข้ามาเมื่อวานแล้วฆ่าหัวหน้าคนเก่าของพวกข้าทิ้งและบังคับให้พวกข้ามายังหอการค้าหยูเย่เพื่อแก้แค้น! ถ้าหากไม่ใช่เพราะการถูกบังคับและชักจูง พวกข้าไม่กล้ามาก่อเรื่องในหอการค้าแห่งนี้อีกเป็นแน่! ต่อให้พวกข้าจะมีความกล้ามากกว่านี้ก็ตาม!”
ชายที่ดูแข็งแกร่งคนนั้นคุกเข่าขอขมาต่อหน้าเย่เย่และเสี่ยวหยูพร้อมกับร้องขอความเมตตาและอธิบายถึงสาเหตุที่มาแก้แค้นหอการค้าหยูเย่ให้ฟัง ซึ่งยามที่พลพรรคคนอื่นๆเห็น พวกเขาก็พากันคุกเข่าลงไปเพื่อขอขมาต่อเย่เย่ด้วยจนสถานการณ์มันดูวุ่นวายไปหมด
พวกเขานั้นชื่นชมความแข็งแกร่งของสองพี่น้องคู่นี้ก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆกับทั้งสองคน
เพราะงั้นแล้วเมื่อเห็นว่าเย่เย่สามารถจับตัวทั้งสองคนได้ และถ้าพวกเขายังคงยืนกรานจะเป็นศัตรูกับเย่เย่ เคราะห์ร้ายอาจจะลามมาถึงตัวพวกเขาต่อ ดังนั้นแล้วการที่จะยอมถอนตัวจากการเป็นศัตรูจึงเป็นวิธีที่พวกเขาเห็นพ้องต้องการมากที่สุด
“ไอ้พวกโง่! ถ้าข้าหลุดจากสถานการณ์นี้ไปได้ล่ะก็ พวกเจ้าได้เจ็บหนักกันแน่!”
ในฐานะที่เป็นเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ทั้งสองพี่น้องคู่นี้เคยชินกับการออกคำสั่งกับผู้ที่อ่อนแอกว่ามานานแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาถูกหักหลังและทอดทิ้งจากผู้ที่เคยคิดว่าเป็นเพียงคนอ่อนแอ มันทำให้พวกเขาทั้งสองเริ่มคิดได้ว่าการที่มา หลิงเฉิงครั้งนี้มันช่าโชคร้ายจริงๆ ถ้าหากรอดไปได้นั่นหมายถึงใช้โชคทั้งชีวิตไปหมดแล้ว
*เพี๊ยะ!*
ขณะที่ผู้เป็นพี่ใหญ่นั้นกำลังอ้าปากข่มขู่คนเหล่านี้ เย่เย่ก็หันไปตบเขาและพูดขึ้นด้วยความโหดร้ายภายในแววตา “เจ้าคิดว่าเจ้ายังสามารถออกไปจากที่นี่ได้อีกงั้นเหรอ? เอาล่ะ ทีนี้ตอบข้ามาได้แล้วว่าพวกเจ้าเป็นใคร? แล้วสารเลวที่ไหนส่งพวกเจ้ามา!”
หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพของเหล่าชายที่แข็งแกร่งเหล่านี้ ความสงสัยของเย่เย่ก็เริ่มที่จะคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนเหล่านี้จะหมายหัวหอการค้าหยูเย่ไปทำไม ดังนั้นเขาจะต้องล้วงหาเอาคนบงการให้ได้
“ไม่มีวันซะหรอก! พวกข้านะเป็นนักฆ่าที่มีจรรยาบรรณ! ข้าจะไม่หักหลังผู้ว่าจ้างของข้าเด็ดขาด! ถ้าเจ้าอยากจะฆ่าข้าก็เชิญ! เชิญทำตามใจชอบไปเลย!”
ผู้เป็นน้องชายนั้นยังคงแน่วแน่และมองเย่เย่ด้วยความเกลียดชัง ทางด้านเย่เย่ที่ได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปทางพวกกลุ่มสายน้ำหลั่งไหลด้วยความสนใจและพูดกับพวกเขา “ข้ารู้นะว่ากลุ่มของพวกเจ้ามีความสามารถในการจัดการกับพวกคนทรยศเป็นอย่างดี! เอาเป็นว่าถ้าพวกเจ้าทำให้พวกนี้ยอมเปิดปากได้ ข้าจะปล่อยผ่านเรื่องในวันนี้ให้ก็แล้วกัน แต่ถ้าทำไม่ได้…พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าจะโดนอะไรนะ”
ได้ยินเย่เย่เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายก็สั่นเทากันขึ้นมาพร้อมกับตอบทันที “อย่าได้กังวลเลยขอรับ! พวกข้ามั่นใจว่าท่านจะต้องพึงพอใจ!”
การที่ต้องเผชิญหน้ากับเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่งถึง 2 คนเช่นนี้ พวกเขาต่างก็ล้วนโดนกดดันผ่านความต่างของพลังไปโดยปริยาย แต่ในเวลานี้ หากเขาไม่ทำตามคำสั่งของเย่เย่ บางทีเขาอาจจะกลายเป็นเพียงเศษเนื้อในต้มเลือดก็ได้ ตราบใดก็ตามที่พวกเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเขาต้องเลือกฝั่งให้ถู และผลลัพธ์ก็เป็นดั่งที่เห็น กลุ่มสายน้ำหลั่งไหลนี้เลือกที่จะหันไปเป็นศัตรูกับสองพี่น้องเหล่านั้นแทน บางคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นเตรียมจะแสดงความสามารถในการเค้นความลับของเชลยที่จับได้มาใช้อย่างไม่เกรงกลัวทั้งสองอีกต่อไปแล้ว
หอการค้าหยูเย่ในตอนนี้จากเปี่ยมไปด้วยเสียงร้องโอดครวญดังระงมไปหมดจนใครต่อใครที่เดินผ่านไปมาต้องมีถอยหนีบ้างเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้ ครั้นจะให้เข้ามาสอดส่องดูสถานการณ์ก็ไม่กล้าพออีกด้วย
เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา สองพี่น้องที่ถูกปิดผนึกวรยุทธ์โดยเย่เย่นั้นก็ถูกเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายทำให้ยอมเปิดปากพูดถึงจุดประสงค์ที่พวกเขาเข้ามาก่อเรื่องยังหอการค้าหยูเย่แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว
พวกเขาได้รับมอบหมายจากตระกูลเจิ้งให้เข้ามายัง หลิงเฉิงและหอการค้าหยูเย่เพื่อที่จะกำจัดลูกชายของเจ้าตระกูลเจิ้งอย่างเจิ้งซูให้สิ้นซาก
เพราะว่าเจิ้งฮวน เจ้าตระกูลเจิ้งคนปัจจุบันนั้นรักในตัวเจิ้งซูผู้เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาน้อยของเขา จึงทำให้หลิวชีเฟินเกิดความอิจฉาและไม่สบอารมณ์นัก และเพื่อทำให้มั่นใจว่าลูกชายของนาง เจิ้งเทียนไช่ นั่นจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเจิ้งคนถัดไปได้อย่างแน่นอน หลิวชีเฟินจึงแอบวางยาพิษเจิ้งฮวนเพื่อให้เขาเป็นอัมพาตและถือโอกาสนี้ขึ้นควบคุมอำนาจของตระกูลเจิ้งในทันที นางไม่เพียงแต่ขับไล่แม่ของเจิ้งซูพร้อมตัวเจิ้งซูเองออกมาจากบ้านเท่านั้น แต่ยังแอบส่งคนมาตามฆ่าพวกเขาอีกด้วย
โชคยังดีที่แม่ของเจิ้งซูนั้นรู้ว่าหลิวชีเฟินไม่ยอมลามือง่ายๆแน่ ดังนั้นเมื่อนางออกมาจากตระกูลเจิ้ง นางก็เปลี่ยนที่อยู่หลายต่อหลายครั้งจนในที่สุดหลิวชีเฟินก็ตามหาตัวนางไม่พบ ภายหลังนางก็ตายลงเพราะอาการป่วยที่รักษาไม่หาย แต่ก่อนจะตาย นางได้กำชับเจิ้งซูเอาไว้ว่าต้องกลับไปยังบ้านตระกูลเจิ้งให้ได้และทวงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาควรจะได้กลับคืนมา
เจิ้งซูนั้นให้ความสำคัญกับคำสั่งเสียของผู้เป็นแม่ของเขามากๆ เขาไม่กล้าพูดถึงช่วงชีวิตที่เคยประสบพบเจอมาตลอดเมื่ออยู่ภายในหอการค้าหยูเย่ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือเมื่อหลายวันก่อนที่นายหญิงคนปัจจุบันของตระกูลเสวี่ยอย่าง เสวี่ยหยู นั้นดันแอบสืบเสาะหาถึงตัวตนของเขาและเผลอเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจนทำให้เรื่องนี้มันเข้าถึงหูหลิวชีเฟินหลังจากที่นางไม่ได้ยินข่าวคราวของเจิ้งซูมานาน
เพราะฉะนั้นในการที่จะกำจัดเจิ้งซูให้หายไปจากโลกนี้โดยที่ไม่ทำให้คนอื่นหันมาสงสัย นางจึงไม่ลังเลที่จะจ้างนักฆ่าผู้เชี่ยวชาญจากนอกหลิงเฉิงมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทว่าช่องโหว่เดียวของแผนนี้ที่ทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จก็เพราะว่านางประเมินความแข็งแกร่งของหอการค้าหยูเย่ต่ำไป ซึ่งทำให้สองพี่น้องนักฆ่านั้นถูกจับเนื่องจากมาก่อปัญหาและกลายเป็นเชลยของเย่เย่ในที่สุด
“ฆ่าคนมาตั้งมากมายก็สมควรตายแล้วพวกเจ้าน่ะ นอกจากนั้นเจ้ายังมาหาเรื่องกับข้า เย่เย่ ผู้นี้อีก แบบนี้เทพองค์ไหนก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ววันนี้”
หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพเหล่านั้น เย่เย่ก็หันมองเจิ้งซูด้วยความประหลาดใจก่อนจะฆ่าเทพยุทธ์ทั้ง 2 คนนี้ทันที จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาที่หลุดออกมาหลังจากที่เจ้าของร่างตายนั้นถูกเย่เย่กลืนกินไปจนหมด และมันก็ยิ่งทำให้จิตวิญญาณแห่งอสรพิษภายในกายของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
ด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจนั้น ภายในเย่เย่กำลังตกใจกับกระบวนท่ากลืนสวรรค์ของเขา
ทางฝั่งพวกสายน้ำหลั่งไหลที่ได้เห็นเย่เย่ฆ่าสองพี่น้องยอดนักฆ่าโดยไม่กะพริบตาพร้อมกับสีหน้าที่ดูจะมีความสุขสุดๆ พวกเขาก็รรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทั้งตัวและคุกเข่าลงไปร้องขอความเมตตาอีกครั้ง
เย่เย่เหลือบมองคนเหล่านี้ด้วยความเย็นชาอีกครั้ง ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากให้คนพวกนี้รอดไปง่ายๆ แต่เพราะพวกเขายังเป็นเพียงผู้ฝึกวรยุทธ์เท่านั้น หากเขาคิดจะฆ่าล่ะก็ เมื่อไหร่ก็ได้ และเพราะความดีความชอบที่พวกเขาทำให้สองพี่น้องนักฆ่านี่ยอมเปิดปากสารภาพได้ แม้จะไม่ใช่ฝีมือของทุกคนแต่ก็ถือว่าพยายามได้ดี ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงไม่คิดติดใจเอาความมากไปกว่านี้แล้ว
“ทำความสะอาดทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วกลับไปซะ! ในอนาคตอย่าให้ข้าได้ยินว่ากลุ่มของพวกเจ้ายังมีตัวตนอยู่ล่ะ!”
ทันทีที่พูดจบ เหล่าชายฉกรรจ์ก็ราวกับได้รับการนิรโทษ พวกเขารีบกล่าวขอบคุณกับเย่เย่แล้วจัดการร่างของสองพี่น้องรวมถึงเลือดที่กระจัดกระจายอยู่ทั้งหมดอย่างรวดเร็วก่อนจะหนีหายไปจากหอการค้าหยูเย่ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ท่านเย่ เรื่องในวันนี้มันเป็นเพราะข้าแท้ๆเลย ข้าเป็นคนนำปัญหามาสู่หอการค้าหยูเย่แห่งนี้ เช่นนั้นแล้วข้าจะขอรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างเอง! แต่ได้โปรด อย่าได้ไล่ข้าออกไปจากที่นี่เลยนะ นี่เป็นเพียงคำขอร้องหนึ่งเดียวของข้า…”
ไม่นานนักหลังจากที่เหล่าพลพรรคกลุ่มสายน้ำหลั่งไหลหายลับตาไป เจิ้งซูก็รีบคุกเข่าต่อหน้าเย่เย่และพูดขอร้องอ้อนวอน ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นเพราะคนอื่นๆที่เป็นลูกจ้างหอการค้า หยูเย่แห่งนี้เองต่างก็คุกเข่าลงเพื่อขอความเมตตาให้เจิ้งซูด้วยหลังได้ยินเรื่องของเขา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เสี่ยวหยูเองก็มีความรู้สึกดีๆให้แก่เจิ้งซูเช่นกัน นางคิดว่าเขาเป็นคนหนุ่มแน่นที่ดี แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้อยากจะบีบคั้นเย่เย่ ดังนั้นแล้วนางจึงยืนเฉยๆและปล่อยให้เย่เย่ตัดสินใจด้วยตนเอง
“ลุกขึ้นมา ทุกๆคนเลย ข้าจะไม่ลงโทษอะไรทั้งนั้น! ถึงแม้ว่าเรื่องในวันนี้จะเป็นเพราะเขา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมารับผิดชอบ ข้าจะไปยังตระกูลเจิ้งเพื่อสะสางเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที”
เย่เย่กัดฟันแน่นและรีบบอกให้เจิ้งซูพร้อมกับคนอื่นๆลุกขึ้นตามเดิม อาจจะเป็นเพราะเขานั้นไม่ค่อยได้อยู่ที่หอการค้า มันเลยทำให้ภาพลักษณ์ของเขากลายเป็นคนดุและเด็ดขาดในสายตาคนเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อไหร่ที่พูดถึงเย่เย่ พวกเขาก็จะนึกถึงความโหดร้ายและทารุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
หลังจากที่ได้คุยรายละเอียดต่างๆกับตัวเจิ้งซูเองเรียบร้อยแล้ว เย่เย่ก็ไม่อยากหยุดเอาไว้เขารับรู้เรื่องนี้เพียงเท่านั้น
“เจ้าอยากจะกลับไปยังตระกูลเจิ้งของเจ้าอยู่หรือเปล่า?”
ประสบการณ์ชีวิตของเจิ้งซูที่เข้าได้ฟังมานั้นมันทำให้ เย่เย่รู้สึกสงสาร ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
แววตาของเย่เย่นั้นราวกับกำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ ดูเหมือนเขาจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเจิ้งซูตอนนี้และทำให้เขาอยากจะลองเสี่ยงกับสิ่งที่คิดจะทำดู
ตั้งแต่เข้าใจถึงโครงสร้างของปราการหลิงหยวนจากซูฉีเจี่ย เย่เย่ก็รู้สึกได้ถึงแรกกดดันมหาศาลที่มองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าหอการค้าหยูเย่จะถูกพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควร แต่กระนั้นหากจะต้องสู้กับปราการหลิงหยวน เขาจำเป็นต้องมีพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้