ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 109 หวาดเสียว
บทที่ 109 หวาดเสียว
บทที่ 109 หวาดเสียว
“เคยได้ฝึกยิงธนูมาก่อนหรือไม่?” โจวซานมองอู๋ฝานพลางถาม
ภายหลังเริ่มการฝึก โจวซานจึงขอให้อู๋ฝานยิงธนูสองดอกออกไปก่อน เพราะคิดอยากได้เห็นพื้นฐานของอู๋ฝาน และยังรวมถึงการเคลื่อนไหวว่าถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ต้องทำโจวซานประหลาดใจ ที่ท่าทางการยิงธนูของอู๋ฝานดูเป็นมืออาชีพ วิชาธนูก็เกือบจะเข้าขั้นมืออาชีพ ทางธนูระยะสิบเมตรยังทำได้ดี ลูกธนูดอกแรกก็เข้าเป้า
ไมใช่อู๋ฝานบอกไว้เมื่อครู่หรือ ว่าไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน?
“ที่หมู่บ้านของเรามีนักล่าที่เก่งกาจอยู่ครับ บ่อยครั้งผมจะไปล่ากับเขาในป่า ดังนั้นจึงแอบจดจำมา” อู๋ฝานอธิบาย
ซึ่งก็คงไม่อาจบอกได้ ว่าเรียนมาจากอีกโลกหนึ่ง
โจวซานไม่คิดสงสัยอะไร เพียงพยักหน้ารับ “ท่าทางการยิงธนูของเจ้าดูเป็นมืออาชีพ ทักษะการยิงธนูก็ดีเยี่ยม ก้าวมาถึงระดับนี้ได้เพียงเพราะแอบจำและเรียนรู้ บางทีเจ้าอาจได้เป็นนักแม่นธนู”
โจวซานค่อนข้างตื่นเต้นยินดี หากเทียบเปรียบกับการสอนคนโง่ การสอนคนฉลาดนั้นง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันอู๋ฝานมีรากฐานได้โดยไม่ต้องผ่านการฝึกอย่างเป็นทางการ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน
“เพียงแต่ อย่าเพิ่งดีใจเกินไปนัก แม้ว่าท่าทางของเจ้าเป็นมืออาชีพแต่ก็ยังมีข้อบกพร่อง ประการแรก แขนของเจ้า…” โจวซานไม่ชื่นชมอู๋ฝานจนเกินควร แต่เริ่มที่จะชี้แนะถึงปัญหาทีละน้อย
โจวซานบอกรายละเอียดให้อู๋ฝาน มากยิ่งกว่าโค้ชของสมาคมยิงธนูซิงเยวี่ยเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่ามันเป็นรายละเอียดที่สำคัญ ในตอนที่โจวซานอธิบายเขาจะยกตัวอย่างสถานการณ์ในสมรภูมิให้อู๋ฝานได้ฟัง ว่าหากต้องประสบกับอันตรายหลากหลายสถานการณ์ นักธนูจะต้องรับมือย่างไร ขณะที่โค้ชในโลกแห่งความเป็นจริง จะไม่มีทางให้คำแนะนำด้านนี้แก่อู๋ฝาน อย่างไรแล้วไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีข้อมูลภาคทฤษฎีมากมายเพียงใด ก็ไม่ใช่ว่าเคยเข้าสู่สมรภูมิรบจริง รวมถึงไม่เคยฆ่าคนโดยการใช้คันธนูและลูกธนู
ดังนั้น เมื่อโจวซานเสริมรายละเอียด หากว่ามีบางส่วนขัดแย้งกับโค้ชในโลกความเป็นจริง อู๋ฝานจึงเลือกที่จะเชื่อโจวซาน อย่างไรแล้วอีกฝ่ายก็คือทหารตัวจริง ผ่านสมรภูมิสู้รบมาจริง ความรู้ความเข้าใจต่อคันธนูและลูกธนูของเขา มันคือการเรียนรู้ผ่านการต่อสู้จริง เห็นได้ชัดว่ามันเหมาะสมกับการนำไปใช้ในสนามรบ ขณะที่โค้ชในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาเรียนรู้ก็เพียงแค่ความบันเทิง การแข่งขัน และงานอดิเรก
อู๋ฝานฝึกฝนการยิงธนู ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงหรือการแข่งขัน แต่เพื่อสังหารศัตรูบนสนามรบ เห็นได้ชัดว่า โจวซานคือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยชี้แนะอย่างตรงประเด็น
“ที่ควรบอกข้าก็บอกไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือคือการฝึกให้มากขึ้น นักแม่นธนูจะต้องฝึกฝนอย่างหนักหนา แม้ว่าพื้นฐานของเจ้าดีเยี่ยม แต่หากไม่ฝึกฝนอย่างตั้งใจ ตัวเจ้าก็ไม่อาจประสบความสำเร็จ อย่างดีที่สุดก็เป็นได้แค่นักธนูที่ฝีมือพอใช้การได้” โจวซานบอกกับอู๋ฝาน
พื้นฐานของอู๋ฝานดีเยี่ยม หรือก็คือ พรสวรรค์ของตัวเขาค่อนข้างดี โจวซานไม่คิดให้เขาพึ่งพาเพียงแต่พรสวรรค์
“หัวหน้าใหญ่วางใจได้ ผมจะฝึกฝนให้หนักครับ” อู๋ฝานตอบรับ
“ดีแล้ว” โจวซานพยักหน้าตอบรับ “จงฝึกต่อไป ข้าจะไม่บอกให้เจ้าหยุด ตัวเจ้ารู้ตัวเองดีที่สุด”
อู๋ฝานรู้สึกจนใจ มันไม่ใช่ว่าตัวเขาไม่อยากฝึก แท้จริงแล้วการอยู่ที่นี่มีคนคอยชี้แนะ ตัวเขาจะยิ่งสามารถใช้งานคันธนูและลูกธนูได้ตามใจ ตัวเขาต้องการคว้าโอกาสอันดีเช่นตอนนี้เอาไว้
เพียงแต่ว่า ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่เขาจะต้องไปจากโลกแห่งนี้ หากว่าหาที่หลบเลี่ยงสายตาคนอื่นไม่ทัน สุดท้ายเทเลพอร์ตจะหายไปต่อหน้าต่อตา บางทีอาจมีคนมองว่าตัวเขาคือมอนสเตอร์หรืออะไรสักอย่าง ถึงเวลานั้นต่อให้มีสักสิบปากก็ยากที่จะหาทางอธิบายให้กระจ่างได้
เพียงแต่ตอนนี้จะหาข้อแก้ตัวกลับไปอย่างไร?
อู๋ฝานหันมองทางด้านข้าง โจวซานกำลังจับจ้องด้วยสีหน้าจริงจัง เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ไม่เหมาะสมจะหาข้อแก้ตัว
เปรี้ยง!
ขณะอู๋ฝานกำลังเสียสมาธิอยู่นั้นเอง เสียงฟ้าผ่าเลือนลั่นดังปรากฏ ฟากฟ้าที่ยังคงกระจ่างเมื่อครู่กลับกลายเป็นถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกดำทึบ ถัดจากนั้นเพียงชั่วเวลาอึดใจ ฝนเม็ดหนาจึงเริ่มร่วงหล่นลงมา ปริมาณของเม็ดฝนหนาแน่น ถึงขนาดส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยการมองเห็น
“จบการฝึกก่อน รีบกลับไปที่ค่าย” ก่อนอู๋ฝานจะทันพูดอะไร โจวซานก็เป็นฝ่ายพูดกับอู๋ฝานขึ้นมาเอง
ยุคสมัยนี้ที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก การเป็นไข้หวัดก็ถือได้ว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่ละปีจะมีผู้คนตกตายเพราะโรคไข้หวัดไม่ใช่น้อย โจวซานต้องการทะนุถนอมผู้มีพรสวรรค์เอาไว้ ไม่คิดให้อู๋ฝานเกิดเรื่องราวผิดพลาดใด การลดเวลาฝึกให้น้อยลงมันจะส่งผลกระทบน้อยกว่า หากเจ็บไข้พรุ่งนี้ค่อยฝึกฝนต่อยังทำได้ ขอเพียงร่างกายอู๋ฝานไม่ได้เจ็บป่วยอะไรก็มากพอ
สิ้นคำของโจวซาน เขาหันกลับจากไปด้วยตนเองโดยไม่รอให้อู๋ฝานตอบรับ พร้อมกับตะโกนบอกผู้คนที่ยังอยู่ภายนอกเต็นท์ “ทุกคนกลับเข้าเต็นท์ ไม่อนุญาตให้ออกมานอกเต็นท์!”
หากว่าเป็นช่วงเวลาสู้รบหรือเดินทัพ โจวซานคงไม่สั่งให้ทุกคนกลับเข้าเต็นท์เพียงเพราะฝนตก แต่เป็นจัดลำดับความจำเป็นและสำคัญ เพียงแต่ขณะนี้ไม่ใช่อยู่ในสนามรบ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้คนที่เพิ่งเข้ามาฝึกซ้อมในค่ายเพียงแค่สองวันต้องตากฝนเจ็บไข้ หากว่ามีคนเจ็บป่วยเกิดขึ้น จะยิ่งลากถ่วงการฝึกซ้อมออกไป ความเสียหายที่ได้รับจะเกินคาดคิด
พบเห็นโจวซานวิ่งห่างออกไปทีละน้อย อู๋ฝานจึงลอบนึกในใจว่า “โชคดี”
ฝนตกได้เวลาอย่างพอเหมาะพอเจาะ หากว่าไม่มีฝนตกลงมา ตัวเขาก็คงไม่อาจหาข้ออ้างเหมาะสมเพื่อแยกตัว ขณะนี้ฝนตกแล้วปัญหาก่อนหน้าจึงได้รับการคลี่คลายไปโดยปริยาย
“คงไม่ใช่เทพสวรรค์อะไรนั่นแอบช่วยเราจากความมืดหรอกมั้ง?” อู๋ฝานที่วิ่งไปยังเต็นท์ของตัวเองกำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
แม้คิดแบบนั้น ก็พบว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ อย่างมากก็เพียงแค่เรื่องบังเอิญ
ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่หลบเลี่ยงไม่ให้ความลับถูกเปิดโปงได้ เพียงแต่ครั้งถัดไปจะโชคดีหรือไม่ เหมือนว่าคงต้องคิดหาทางออกเตรียมเอาไว้เป็นการล่วงหน้า
เพียงไม่ถึงห้านาทีภายหลังเข้าเต็นท์ อู๋ฝานจึงเทเลพอร์ตกลับไปยังโลกความเป็นจริง หากว่าฝนมาช้ากว่านี้สักนิด ตัวเขาอาจต้องเผยความลับออกไปแล้ว
“น่าหวาดเสียวจริง” อู๋ฝานที่กลับมายังโลกความเป็นจริง ยังต้องรู้สึกหวาดเกรงอยู่พอสมควร
สถานการณ์เช่นเมื่อครู่ ตัวเขาไม่คิดอยากพบเจออีก เพื่อคลี่คลายปัญหานี้ ทางหนึ่งเขาจะต้องหาทางหลุดพ้นจากการรับใช้กองทัพ เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทางหนี่งคือการเพิ่มตำแหน่งฐานะ ด้วยตำแหน่งฐานะที่สูงขึ้นก็จะยิ่งมีคนกล้ามารบกวนตัวเขาน้อยลง แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
เป้าหมายทั้งสองไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้โดยง่าย อู๋ฝานในตอนนี้ทำได้เพียงระมัดระวัง
ในช่วงเช้า ขณะอู๋ฝานออกกำลังกายที่สนามกีฬาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว ตัวเขายังได้รับความสนใจมากมายเหมือนเช่นเคย เพียงแต่ตอนนี้ราวกับเกิดชินไปบ้างแล้ว ภายหลังร้านแผงลอยของเขาที่ถนนหน้ามหาวิทยาลัย กลับกลายเป็นจุดท่องเที่ยงขึ้นมา ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมาทานบาร์บีคิวหรือไม่ก็มักจะมีนักเรียนนักศึกษาแวะเวียนมาถ่ายรูปทุกวี่วัน พอเจอเรื่องราวแบบนั้นมากเข้าอู๋ฝานจะปรับตัวรับได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
บริเวณสนามกีฬา อู๋ฝานได้พบเจอหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่ยังคงเย็นชาเหมือนเช่นเคย
“อรุณสวัสดิ์”
“อยู่ให้ห่างจากถังอวี่เฟย” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นเดินเร็ว ก่อนจะฝากข้อความปริศนาที่ชวนให้อู๋ฝานฉงนใจ
อยู่ให้ห่างจากถังอวี่เฟย? หมายความถึงไม่ให้เข้าใกล้? แต่อย่างไรก็ไม่ใช่คนคุ้นเคยอะไร แต่เธอมีความหมายอื่นหรือไม่?
อีกทั้งเพราะอะไรเธอถึงพูดประโยคนี้ขึ้น?
อู๋ฝานยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนและสงสัย