ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 128 เทียบเชิญวันเกิด
บทที่ 128 เทียบเชิญวันเกิด
บทที่ 128 เทียบเชิญวันเกิด
[กระบี่ยาวใบไม้แดง : ระดับทองแดง พลังโจมตี+15 ความว่องไว+5 ความเร็วการโจมตี+5%]
ของเสีย!
อู๋ฝานมองกระบี่ยาวที่ตีขึ้นมาในมือพลางบ่นพึมพำ
ดังทราบว่า วัสดุที่อู๋ฝานนำมาใช้เป็นแร่เหล็กคุณภาพสูง กับแร่เช่นนี้ ช่างตีเหล็กซุนสามารถตีอาวุธระดับทองขึ้นมา หรือหากว่าโชคดี อาจได้เป็นอาวุธระดับทองคำเลยด้วยซ้ำ
แต่แล้ว อู๋ฝานหลอมอาวุธขึ้นมาได้เพียงระดับทองแดง เรียกได้ว่าเป็นการทำวัสดุที่ดีเสียของ
กระนั้นแล้ว อาวุธที่อู๋ฝานไม่ถูกใจและไม่พอใจ ในสายตาของหนิวเอ้อและคนอื่น มันเปรียบดังอาวุธวิเศษประการหนึ่ง
“หัวหน้า ท่าน… สร้างอาวุธนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?”
“ความคมของกระบี่ยาวเล่มนี้ ดีเสียยิ่งกว่าอาวุธทั้งหมดที่ข้าเคยได้เห็นมาเสียอีก ไม่มีเล่มใดที่ดีไปกว่าของหัวหน้าเลยแม้แต่น้อย”
“กระบี่ยาวเล่มนี้คงเป็นประหนึ่งมือสังหารแห่งสมรภูมิ หากว่าได้ครอบครอง ก็คงไม่ต้องหวาดเกรงใครแล้ว!”
แม้ว่าหนิวเอ้อและคณะไม่มีวิชาตรวจสอบ ทำให้ไม่ทราบถึงค่าสถานะเสริมของกระบี่ยาวเล่มนี้ แต่พวกเขาทราบดีว่ามันไม่ใช่อาวุธธรรมดา เพราะรูปลักษณ์และความคมของมันเป็นสิ่งที่สังเกตได้เด่นชัด
แท้จริงแล้ว มันเป็นเพราะอู๋ฝานมีอุปกรณ์ที่ดีเกินไปอยู่กับตัว ทำให้มองเหยียดต่ออุปกรณ์ระดับทองแดง
ดังทราบว่าในกองพันทั้งหลายของค่ายวิหค ยกเว้นอาวุธของโจวซานที่ไปถึงระดับทองแดง อาวุธของหัวหน้ากองร้อยล้วนเป็นอาวุธธรรมดาค่าสถานะขาวสะอาด เรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่เลวร้ายกว่าอาวุธที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นอย่างไกลโพ้น
“รับเอาไป” อู๋ฝานยิ้มตอบก่อนจะโยนกระบี่ยาวให้สมาชิกในหน่วยคนหนึ่ง
สมาชิกหน่วยคนดังกล่าวถึงกับแสดงอาการหวาดกลัว ทว่าก็ร้องตอบด้วยความตื่นเต้นยินดี “หัวหน้า นี่ให้ข้าจริงหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว” อู๋ฝานตอบกลับ
“ขอบคุณขอรับหัวหน้า ขอบคุณหัวหน้ามากมายขอรับ” สมาชิกหน่วยคนนั้นตื้นตันเป็นล้นพ้น
ทุกคนต่างแสดงท่าทีตื่นเต้นที่ไม่ต่างกันออกมา
ดังทราบว่า การครอบครองอาวุธที่ดีในสมรภูมิรบ มันสามารถเป็นหลักประกันความปลอดภัยระดับหนึ่ง กระทั่งว่าสามารถช่วยรักษาชีวิต ขณะนี้ด้วยอาวุธที่ดีซึ่งอู๋ฝานมอบให้แก่พวกเขา มันจะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในสนามรบ มันคือความหวังที่พวกเขาจะมีชีวิตรอด!
เรื่องราวนี้ทำพวกเขาซาบซึ้งต่ออู๋ฝาน เสียยิ่งกว่าตอนที่ได้รับการเลี้ยงอาหารเมื่อครู่อย่างเทียบไม่ได้!
อู๋ฝานยิ้มรับ และเริ่มลงมือต่อไป
ทุกคนใช้เวลาอยู่ในโรงตีเหล็กจนกระทั่งตะวันเกือบจะตกดิน สุดท้ายอู๋ฝานจึงตีอาวุธให้คนอื่นได้ครบ
สิ่งที่อู๋ฝานรู้สึกยินดีคือการที่ในบรรดาอาวุธเหล่านี้ มันมีหนึ่งชิ้นที่เป็นระดับเงิน เป็นมีดใหญ่ที่หนิวเอ้อขอให้อู๋ฝานสร้างขึ้น โดยมีดใหญ่เล่มดังกล่าวมีน้ำหนักราวห้าสิบจิน
[มีดใหญ่ใบไม้แดง : ระดับเงิน พลังโจมตี+30 ความแข็งแกร่ง+10 ความอดทน+10]
แม้ว่าไม่ยอดเยี่ยมเท่ากระบี่ยาวศิลาดำที่อู๋ฝานครอบครอง แต่ค่าสถานะของมันสูงขึ้นกว่าอาวุธระดับทองแดงก่อนหน้านี้ ถึงกับทำหนิวเอ้อตื้นตันอย่างมาก ภายหลังอู๋ฝานส่งมีดยักษ์ให้ หนิวเอ้อถึงกับกอดมันเอาไว้ในวงแขนด้วยสีหน้ายิ้มยินดี
ก่อนจะออกจากโรงตีเหล็ก อู๋ฝานยังขายแร่เหล็กที่ยังเหลือในกระเป๋าหลังให้แก่โรงตีเหล็ก พวกมันเป็นแร่เหล็กคุณภาพสูง ขายได้ก้อนละสามเหรียญทอง มีสิบก้อน ดังนั้นจึงได้มาสามสิบเหรียญทอง ด้วยเหตุนี้ ท้ายที่สุดอู๋ฝานไม่เพียงไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ยังได้รับเงินมาเพิ่ม
แน่นอนว่า ราคาที่ขายได้ มันถูกกว่าที่ช่างตีเหล็กซุนรับซื้อมากโข
“หัวหน้า เมื่อไหร่พวกเรากลับไป เมื่อนั้นพวกเด็กน้อยทั้งหลายในค่ายได้อิจฉาตาเป็นมันแน่” หนิวเอ้อลูบมีดยักษ์ที่อู๋ฝานตีให้ตนเอง พลางกล่าวบอกด้วยความภูมิอกภูมิใจ
“ได้เห็นอาวุธของพวกเรา พวกนั้นคงน้ำลายไหลกันแน่” เจิ้งเสี่ยวลิ่วร่วมเห็นพ้อง
และมันก็เป็นเช่นที่ว่าจริง ตอนที่อู๋ฝานและคณะกลับถึงค่ายพร้อมอาวุธในครอบครอง บรรดาผู้ที่เริ่มกลับมายังค่ายต่างจับจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง สายตามองราวกับไม่อาจนึกเชื่อ ทั้งอิจฉาและตื่นตกใจ แทบไม่อาจวางสายตาจากพวกหนิวเอ้อ
ขณะที่ทุกคนมีเพียงเคียวและจอบเป็นอาวุธ บ้างก็มือเปล่าเสียด้วยซ้ำ อู๋ฝานและหน่วยของเขากลับมีกระบี่ยาวที่ดูแหลมคม และมีดยักษ์ที่เป็นอาวุธอันน่าเกรงขาม ความแตกต่างที่พบเห็นนี้ เรียกได้ว่ามากมายจนเกินไป
ขณะหนิวเอ้อและคณะรับชมสายตาริษยาของผู้คนรอบด้าน พวกเขายิ่งรู้สึกภูมิใจมากยิ่งขึ้น ขณะเดินไป พวกเขาจะคอยเชิดหน้าให้สูง ราวกับคิดจะส่งศีรษะขึ้นไปแตะฟ้าก็ไม่ปาน
ติดตามหัวหน้า มีแต่ยิ่งเจริญ!
ในช่วงเย็น ตอนที่โจวซานเรียกรวมทุกคนและมอบหมายตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอย่างเป็นทางการ เขายังต้องแสดงความประหลาดใจ ยามพบเห็นอาวุธที่หน่วยของอู๋ฝานมีในครอบครอง
อู๋ฝานยังคงเป็นหัวหน้าหน่วยที่สี่แห่งกองร้อยที่สองต่อไปอย่างไม่น่าประหลาดใจ หนิวเอ้อและคนอื่นก็ไม่มีความเห็นต่างอะไรในเรื่องนี้ กระทั่งคิดตะโกนเห็นพ้องด้วยแทบขาดใจ
“วันนี้กลับไปพักให้เร็ว พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่” ภายหลังโจวซานบอกกับทุกคน เขาจึงออกคำสั่งแยกแถวกันกลับไป
ทุกคนต่างมีความรู้สึกในใจที่แตกต่างกันไป บางคนคาดหวัง บางคนประหม่าตื่นตัว
ภายหลังกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง อู๋ฝานที่ออกกำลังกายเสร็จแล้ว ได้พบถังอวี่เฟยอีกครั้งอย่างไม่น่าประหลาดใจใด ๆ ทั้งสิ้น อู๋ฝานแทบคิดหันหนีเพราะกลัวจะมีปัญหาอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวค่ะ!” ถังอวี่เฟยตะโกนดัง
อู๋ฝานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และคิดที่จะขยับตัวไปต่อ
“ถ้าหนีไปแบบนี้ ฉันจะโพสต์เหตุการณ์ช็อปปิ้งด้วยกันของสองเราลงบนกระดานสนทนามหาวิทยาลัยนะคะ” เสียงของถังอวี่เฟยดังขึ้นอีกครั้ง
หากเป็นคนอื่นพูดคำเหล่านี้ อู๋ฝานคงสงสัยว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำจริงหรือไม่ เพราะอย่างไรมันก็ส่งผลกระทบต่อตัวฝ่ายหญิงเอง เพียงแต่ ในเมื่อคนที่พูดเป็นถังอวี่เฟย อู๋ฝานรู้สึกแน่ชัดแก่ใจว่าเธอพูดจริงและทำจริงอย่างไร้ข้อกังขา
ด้วยความอับจน อู๋ฝานที่ไร้ทางเลือกจึงต้องหยุดและหันกลับมองเธอ
ถังอวี่เฟยเผยยิ้มแห่งผู้ชนะ ประหนึ่งนางจิ้งจอกที่ล่อลวงเหยื่อน้อยได้สำเร็จ
“มอบให้ค่ะ” ถังอวี่เฟยเดินเข้าหาอู๋ฝาน พร้อมกับส่งเทียบเชิญสีแดงให้
“มันคืออะไรครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“บัตรเชิญไปปาร์ตี้วันเกิดของฉันค่ะ” ถังอวี่เฟยตอบกลับ “วันเกิดของฉันคือสัปดาห์ถัดไป จำไว้และมาด้วยนะคะ”
“ผมเหมาะสมจะไปเหรอครับ?” อู๋ฝานลังเล
เขาไม่คิดอยากไปแม้แต่น้อย
“เหมาะสมอะไรกันคะ?” ถังอวี่เฟยถามกลับ “ถ้าคุณไม่มาล่ะก็ ฉันจะ…”
“ไปครับ!” อู๋ฝานตอบรับอย่างจนใจ “ไปแน่นอนครับ”
“ทราบแล้วค่ะ” ถังอวี่เฟยยิ้มตอบอีกครั้ง “ยังมีอีกเรื่องค่ะ ฉันตั้งใจทำตั้งแต่เช้าเลยนะคะ ถ้าเป็นคนอื่นนี่มีแต่จะอยากทานอาหารที่ฉันทำนะคะจะบอกให้ ขณะที่คุณเอาแต่ปฏิเสธอยู่ตลอด”
“ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยครับ มันไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าคนอื่นเห็นเข้าจะว่ายังไงกันครับ?” อู๋ฝานสำรวจมองสายตาของเหล่านักเรียนนักศึกษารอบด้าน ขณะบอกกับถังอวี่เฟย
“ทำไมต้องใส่ใจความคิดของคนอื่นด้วยล่ะคะ?” ถังอวี่เฟยถามกลับเสียงเรียบเฉย “ฉันอยากทำอะไรก็ทำ เกี่ยวอะไรกับคนอื่นกันล่ะคะ?”
ถังอวี่เฟยไม่ใช่คนที่จะใส่ใจความเห็นของใครทั้งสิ้น เธอมักทำอะไรก็ตามดังที่อยากจะทำ
“ครับ คุณชนะแล้วครับ” อู๋ฝานตอบรับด้วยความอับจน
“ทานตอนยังร้อนนะคะ” ภายหลังถังอวี่เฟยพูดจบ เธอจึงหันกลับและจากไป โดยไม่คิดสนใจสายตาของคนรอบข้างแม้แต่น้อย
อู๋ฝานยักไหล่เล็กน้อย ขณะกำลังจะกลับ เขาได้พบเห็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่ ‘เพิ่งจะ’ ผ่านมาอยู่ไม่ไกล ทั้งยังมองมาเล็กน้อย ทำเอาอู๋ฝานเกิดรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมลืมได้กันนะ ว่าทุกครั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะผ่านมาเหมือนเรื่องบังเอิญ” อู๋ฝานร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ