ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 133 ผลการตรวจสอบอันแปลกประหลาด
บทที่ 133 ผลการตรวจสอบอันแปลกประหลาด
บทที่ 133 ผลการตรวจสอบอันแปลกประหลาด
งานประมูลยังคงดำเนินต่อไป
โบราณวัตถุชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกนำขึ้นมาประมูล ราคาก็มีความแตกต่างกันไป ถูกที่สุดนั้นถูกขายไปด้วยราคากว่าหนึ่งแสนหยวน ส่วนราคาประมูลสูงที่สุดนั้นเกินกว่าสามล้านหยวน มันถึงขั้นทำอู๋ฝานได้ประเมินความคลั่งไคล้ของคนเหล่านี้กันอีกครั้ง
เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าตัวเขาเองตอนนี้ยังมีความกังวลเรื่องเงิน แต่คนเหล่านี้กลับใช้จ่ายหลายล้านไปกับอะไรที่ไม่สามารถดื่มหรือว่ากิน ไม่แปลกหากใจอู๋ฝานจะรู้สึกว่ายากยอมรับได้
บางครั้งหวังจื่อหมิงก็เข้าร่วมการเสนอราคากับสิ่งที่มองว่าน่าสนใจดี เพียงแต่ก็ยังมีเหตุและผล เมื่อใดเกินราคาที่เขาประเมินเอาไว้ เขาจะไม่เสนอราคาอีก ดังนั้นจนถึงตอนนี้เขาจึงยังไม่ได้ซื้อหาสิ่งใด เพียงแต่จากท่าทีแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรถึงขนาดนั้น
“วันนี้เป็นเพียงงานประมูลเล็ก ถือเป็นรอบอุ่นเครื่องสำหรับงานประมูลฤดูร้อนในอีกสามวัน ที่มีแต่ของดีหายาก” หวังจื่อหมิงอธิบายให้อู๋ฝานรับฟัง “แน่นอนว่าหากเกิดชอบอะไรขึ้นมา ผมสามารถซื้อให้ได้”
“ผมไม่มีความชอบด้านนี้เลย” อู๋ฝานส่ายศีรษะตอบกลับ “พูดไปแล้ว งานประมูลฤดูร้อนที่พูดถึงคืออะไรกัน?”
“โรงประมูลดอกไม้งามจะจัดงานประมูลใหญ่ปีละสี่ครั้ง ซี่งก็ตามฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว งานประมูลทั้งสี่ครั้งจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีของดีมากมาย ผู้คนเข้าร่วมก็จำนวนเยอะกว่านี้ ถือเป็นงานใหญ่ในวงการประมูลเลยทีเดียว” หวังจื่อหมิงอธิบาย “แน่นอนว่า โรงประมูลใหญ่แห่งอื่นก็มีงานประมูลที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นหากต้องการซื้ออะไรที่น่าสนใจ ก็ควรเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ดังกล่าว ดูจากมูลค่าซื้อขายสูงสุดของวันนี้ที่อยู่ราวสามล้านกว่า หากว่าเป็นงานประมูลใหญ่ มูลค่าสูงสุดอาจเกินกว่าสิบล้าน หรือบางครั้งหากว่ามีสมบัติหายากปรากฏขึ้นมา ราคามันอาจไปไกลเกินกว่าหนึ่งร้อยล้าน ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้”
อู๋ฝานที่ได้ยินถึงกับชะงักไป
มูลค่าเกินกว่าสามล้านหยวนที่ได้เห็น สำหรับอู๋ฝานก็ถือว่าเป็นความคลั่งไคล้อันคลุ้มคลั่งแล้ว แต่แล้วตอนนี้ หวังจื่อหมิงบอกว่าสามล้านกว่าไม่นับเป็นอะไร ในงานประมูลใหญ่คิดเป็นผู้ชนะการประมูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย
วงการสะสมโบราณวัตถุถึงขั้นคลุ้มคลั่งกันได้ถึงขนาดนี้
อู๋ฝานลอบถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เอง ที่หญิงสาวผู้เลอโฉมนำสินค้ามาอีกครั้ง มันเป็นคู่ภาพวาดและกระดาษคัดลายมือ ภายใต้พิธีกรส่งสัญญาณแจ้ง หญิงสาวผู้เลอโฉมจึงคลี่กางม้วนภาพวาดและกระดาษคัดลายมือให้ทุกคนพบเห็น
“ที่นำเสนอประมูลครั้งนี้คือภาพวาดและกระดาษคัดลายมือครับ” พิธีกรพูดขึ้นมา “เจ้าของกระดาษคัดลายมือและภาพวาดนี้เป็นกวีผู้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าจินเฟยในยุคราชวงศ์ชิงตอนปลาย ภาพวาดและการคัดลายมือนี้เป็นผลงานของเขาในช่วงปลายอายุ นับได้ว่าน่าสะสมไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวครับ”
แม้ว่าพิธีกรพูดออกมาด้วยท่าทีกระตือรือร้น ทว่าการตอบสนองของผู้คนด้านล่างไม่ได้ฮือฮาร่วมแต่อย่างใด
ช่วงปลายของราชวงศ์ชิง เรียกได้ว่าไม่ได้ไกลห่างจากยุคปัจจุบัน ตามปกติแล้ว งานคัดลายมือและภาพวาดจากยุคราชวงศ์ชิง ยกเว้นจำนวนน้อยนิด มันไม่มีค่าในการสะสมแต่อย่างใด และบุคคลนามจินเฟยนี้ก็ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน อย่างนั้นจะยังต้องให้ค่าอะไร?
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สินค้าที่น่าสนใจแม้แต่น้อย
พิธีกรรับรู้ได้ถึงความเย็นชาตอบรับต่อสินค้า สีหน้าจึงค่อนข้างเคอะเขิน เพียงแต่ในเมื่อนำสินค้าขึ้นมาเสนอประมูลแล้ว การประมูลก็ต้องดำเนินต่อไป
“แม้ว่าเจ้าของผลงานนี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนัก แต่งานคัดลายมือและภาพวาดนี้ก็วิจิตรงดงาม ควรค่าแก่การสะสมครับ” พิธีกรยังพยายามดึงความสนใจของบรรดาผู้เข้าประมูล “ผมขอประกาศเริ่มการเสนอราคางานคัดลายมือและภาพวาดนี้อย่างเป็นทางการครับ เริ่มด้วยราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน เสนอราคาครั้งละหนึ่งหมื่นขึ้นไปครับ”
มันแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ เพราะทุกครั้งที่สิ้นเสียงของพิธีกร จะมีคนเสนอราคาประมูล แต่แล้วครั้งนี้กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทั้งโถงกลับกลายเป็นเงียบงัน
หวังจื่อหมิงมองงานคัดลายมือและภาพวาดบนชั้นวางนำเสนอ สุดท้ายจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่ใช่ผลงานชิ้นเอกด้วยซ้ำ ไม่มีค่าอะไรให้เก็บสะสม เริ่มราคาแสนห้า ถือเป็นราคาเปิดประมูลที่พลาดไม่น้อย”
ตอนนี้เอง ที่พิธีกรซึ่งยืนบนเวทีก็มีข้อกังวลเช่นเดียวกับหวังจื่อหมิง
เขาย่อมเป็นผู้มีประสบการณ์ในแวดวงนี้ แต่ของสะสมชิ้นนี้กลับไม่อาจมองเห็นมูลค่าของมัน หากเริ่มประมูลสักสองถึงสามหมื่น ก็อาจมีคนซื้อกลับไปเพราะนึกสนุก แต่ราคาเริ่มต้นหนึ่งแสนห้าหมื่น มันสูงเกินไปสำหรับของที่ไม่รู้ว่าคืออะไร อย่างนั้นใครจะยังยินดีซื้อหา?
“ไม่รู้เลยว่าคนตั้งราคาคิดอะไรอยู่กันแน่ ของแบบนี้กลับตั้งราคาเริ่มสูงขนาดนี้ หรือตั้งใจให้ไม่มีคนประมูลตั้งแต่แรกกัน” พิธีกรกำลังคร่ำครวญอยู่ในใจ
ต้องทราบว่า หากมีสินค้าขายไม่ออกจำนวนมาก มันจะส่งผลกระทบต่อตัวพิธีกรที่ดำเนินงานประมูล หากว่าขายได้มาก เขาก็ได้รับค่าคอมมิชชั่นที่มาก มูลค่าการซื้อขายยิ่งสูง เขาก็ยิ่งได้รับค่าคอมมิชชั่นที่สูงตาม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดปล่อยให้การประมูลเกิดสุญญากาศเช่นนี้
อู๋ฝานเองก็รับชมงานคัดลายมือและภาพวาด ก่อนจะส่งวิชาตรวจสอบออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจจริงจังอะไรนัก
แท้ริงแล้ว ตอนที่ของรอบก่อนถูกนำขึ้นมา อู๋ฝานก็ใช้วิชาตรวจสอบประเมินแล้ว ตัวเขาไม่มีความคิดเห็นอื่นใด เพียงต้องการทราบข้อมูลของวัตถุพวกนี้ให้มากขึ้น เพื่อดูว่าที่พิธีกรพูดมานั้นถูกหรือว่าไม่ถูกกันแน่
มันเป็นการกระทำเพราะรู้สึกว่าเบื่อ จึงหาอะไรแก้เบื่อทำฆ่าเวลา
เพียงแต่ครั้งนี้ ตัวเขากลับได้รับผลลัพธ์อันเกินคาด
[ภาพวิหคและบุปผา (ปลอม) นักกวีในช่วงปลายยุคราชวงศ์ชิงได้สร้างมันขึ้นในช่วงปลายของอายุ ทักษะการวาดธรรมดา ระดับลายมือธรรมดา เป็นผลงานหยาบกระด้าง
จินเฟย เป็นนักกวีในช่วงปลายของยุคราชวงศ์ชิง เป็นเจ้าของผลงาน “สายลมฤดูใบไม้ผลิ” ถือกำเนิดขึ้นที่…]
[ส่งแขกกลับ (จริง) เขียนขึ้นโดยหลี่ซูจือ คัดลายมือขึ้นในช่วงต้นราชวงศ์สุย เป็นผลงานอันสมบูรณ์แบบ เป็นสุดยอดผลงานของหลี่ซูจือ ผลงานนี้หลี่ซูจือทำขึ้นเพราะต้องการอวดแก่ผองเพื่อน เป็นผลงานที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อผองเพื่อน และความกังวลต่ออนาคตของผองเพื่อน เพราะระดับฝีมืออันสูงล้ำ มันจึงเป็นผลงานที่บรรดานักคัดลายมือทุกยุคทุกสมัยชื่นชอบ
หลี่ซูจือ นักคัดลายมือในช่วงยุคต้นราชวงศ์สุย รู้จักกันในชื่อ หลี่ซูเซิ่ง ในชั่วชีวิตสร้างผลงานขึ้นมากมาย แต่มีจำนวนเพียน้อยนิดที่ส่งต่อสืบทอดมา ผลงานแต่ละชิ้นมีค่าในวงการของสะสมอย่างยิ่งใหญ่…]
เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร?
อู๋ฝานจ้องมองงานคัดลายมือและภาพวาด พวกมันถูกนำมาคู่กันเป็นหนึ่งเดียว แล้วทำไมผลการประเมินแบ่งออกเป็นสอง? อีกทั้ง หนึ่งยังเป็นของจริง ขณะที่อีกหนึ่งเป็นของปลอม
กับผลการประเมินงานคัดลายมือและภาพวาดของจินเฟย อู๋ฝานไม่แปลกใจ เพียงแต่หลี่ซูจือคืออะไร? เขาเป็นใคร? และอะไรคือ [ส่งแขกกลับ] เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร?
หลายความสงสัยประดังเข้ามาในความคิดของอู๋ฝาน
ผลลัพธ์จากวิชาตรวจสอบ มันทำอู๋ฝานนึกสับสนและสงสัย โดยเฉพาะข้อมูลของหลี่ซูจือที่ค่อนข้างละเอียดยิบ เพียงแต่อู๋ฝานก็ไม่อาจทราบได้ว่าอะไรคือ ‘ส่งแขกกลับ’ ของหลี่ซูจือ
“หรือว่างานคัดลายมือกับภาพวาดนี้จะยังมีอะไรอื่นอีก?” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง
อู๋ฝานเชื่อในวิชาตรวจสอบค่อนข้างมาก มันไม่เคยผิดพลาดมาก่อน เพียงแต่ครั้งนี้ ในเมื่อวิชาตรวจสอบได้แสดงสิ่งที่เรียกว่า [ส่งแขกกลับ] จากผลงานคัดลายมือและภาพวาด เช่นนั้นมันก็ต้องเป็นอะไรที่มีอยู่จริง เพียงแต่ยังไม่ถูกค้นพบ