ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 137 เห็นอกเห็นใจ
บทที่ 137 เห็นอกเห็นใจ
บทที่ 137 เห็นอกเห็นใจ
“เหล่าหลี่ ที่พบเห็นโลกอีกใบของภาพวาดและภาพคัดลายมือนี่ไม่ใช่ผม แต่เป็นเขา! เขาชื่อว่าอู๋ฝาน” หวังจื่อหมิงไม่คิดละโมบรับหน้าตาส่วนนี้
เหล่าหลี่มองอู๋ฝานด้วยความประหลาดใจ
เหล่าหลี่รู้จักหวังจื่อหมิงดี แม้หวังจื่อหมิงค่อนข้างชื่นชอบในของเก่าไปบ้าง แต่ระดับความรู้ก็ถือว่าทั่วไป ดังนั้นแล้วเขาจึงยังนึกสงสัย ว่าเหตุใดหวังจื่อหมิงค้นพบความแปลกประหลาดของภาพวาดนี้เข้า ไม่คาดคิดเลยว่าคนหนุ่มข้างกายหวังจื่อหมิงต่างหากที่พบเจอ
“นายน้อยอู๋มีสายตายอดเยี่ยมนัก” เหล่าหลี่กล่าวคำด้วยความนึกนับถือ “ผมกล้าที่จะยืนยันได้ว่าอุบายซ่อนภาพวาดและภาพคัดลายมือนี้ น้อยคนในโลกจะพบเห็นมันได้”
เหล่าหลี่กล่าวถึงประเด็นนี้อย่างมั่นใจ ตัวเขายังไม่อาจพบเห็นแต่แรกด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงยิ่งมีน้อยคนที่จะพบเห็นมันได้
ไม่ว่าด้วยอะไร มันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงระดับในด้านความรู้ทางโบราณวัตถุของอู๋ฝาน
“เหล่าหลี่กล่าวชมเกินไปแล้ว” อู๋ฝานถ่อมตัว “ผมเพียงแค่เคยอ่านตำราที่เกี่ยวข้องมาบ้าง หากคิดกล่าวถึงความสามารถทางด้านโบราณวัตถุ ก็ยังห่างจากเหล่าหลี่ไกลมากนัก ผมก็เพียงคาดเดาถูกเท่านั้นเองครับ”
“นายน้อยอู๋ถ่อมตัวเกินไปแล้ว” พบเห็นอู๋ฝานถ่อมตัวไม่ยอมรับ เหล่าหลี่จึงค่อนข้างประทับใจอู๋ฝาน “หากมีโอกาส หวังว่าพวกเราจะได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องของโบราณต่อกัน”
การประเมินวัตถุโบราณ มันต้องอาศัยประสบการณ์ สายตา และฝีมือ ดังนั้นแล้วหากปรมาจารย์ประเมินวัตถุโบราณสองคนได้หารือพูดคุยต่อกัน มันย่อมเป็นประโยชน์เปิดโลกในส่วนที่ไม่เคยพบเห็นกันและกันมาก่อน
“ครับ ได้ครับ” อู๋ฝานตอบรับอย่างหาญกล้า
เรื่องในวงการคนในวงการย่อมทราบดี อู๋ฝานทราบดีว่าตนเองไม่มีความสามารถในด้านโบราณวัตถุ ทว่ามีวิชาตรวจสอบให้พึ่งพาอาศัย หากว่าได้พูดคุยกับนักประเมินระดับปรมาจารย์เช่นเหล่าหลี่ ความลับก็คงถูกเปิดเผยออกโดยง่ายแล้ว
หวังจื่อหมิงส่งเหล่าหลี่เดินทางกลับ พร้อมกับบอกให้เหล่าคนรับใช้ถอยเว้นระยะออกไป ทั้งห้องโถงที่กว้างขวาง จึงเหลือเพียงตัวเขาและอู๋ฝาน บนโต๊ะตรงหน้าคือผลงานชิ้นเอกที่ลบล้างการปิดซ่อน จนเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว
“อู๋ฝาน ผมยิ่งรู้สึกว่าไม่เข้าใจคุณมากและมากยิ่งขึ้น” หวังจื่อหมิงเอ่ยคำขึ้น “เท่าที่ผมทราบ คุณไม่ได้ร่ำรวย พูดว่าเงินขาดมือยังไม่ผิดด้วยซ้ำ แต่แล้วก็ยังไม่ยอมรับภาพวาดและภาพคัดลายมือนี้จากผม กระทั่งบอกถึงความลับ ฝีมือการประเมินของคุณน่าทึ่งเกินไปแล้ว”
“นายน้อยหวัง ผมนึกเสียใจตอนนี้ คิดว่ายังทันไหมครับ?” อู๋ฝานเผยยิ้ม
“สายเกินไปมาก” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “สถานการณ์เช่นตอนนี้ ต่อให้คุณนำภาพวาดทั้งสองนี้กลับไป เดิมมันก็เป็นของที่ผมมอบให้คุณไปแล้ว ขณะนี้ไม่ใช่ของผมเป็นของคุณ ไม่ว่าด้วยอะไร ต่อให้เป็นผลงานชิ้นเอกไม่อาจประเมินราคา หรือภาพวาดห่วยแตกก็ถือว่ามันเป็นเหมือนที่เคยเป็น”
หวังจื่อหมิงพูดตรงไปตรงมา ไม่คิดหยอกล้อเล่นกับอู๋ฝานแต่อย่างใด
อู๋ฝานจึงพูดอย่างจริงจังเช่นกัน “นายน้อยหวัง การกระทำของคุณมีแต่เรื่องชวนให้น่าประหลาดใจเสียจริง”
คนทั้งสองมองหน้ากันเอง ขณะที่ในใจก็เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันและกัน
“อู๋ฝาน ผมไม่ได้พูดเล่น คุณนำผลงานสองชิ้นนี้กลับไปจัดการด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าจะเก็บสะสมหรือประมูลขาย ผมก็ไม่มีปัญหากับการตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น” หวังจื่อหมิงกล่าวตอบ
“ผมบอกไปแล้ว ผมรับเอาไว้ไม่ได้” อู๋ฝานตอบกลับ “ผมเองก็มีหลักที่ยึดมั่น หากไม่ทราบความลับนี้แต่แรก ผมก็คงรับเอาไว้แล้ว แต่ในเมื่อรู้แต่แรกว่ามันไม่ใช่ของธรรมดา ทำให้ไม่อาจรับได้ มันมีค่ามากเกินไป”
คนทั้งสองต่างก็มีหลักการของตนเอง หนึ่งมอบให้แล้วไม่ยินดีรับคืน อีกหนึ่งไม่ยินดีรับของขวัญอันล้ำค่าเช่นนี้เอาไว้ ทำให้ผลงานอันล้ำค่านี้กลับกลายเป็นไร้ซึ่งเจ้าของ
“ในเมื่อคุณและผมไม่ต้องการมัน งั้นส่งต่อให้โรงประมูลที่กำลังจะเริ่มงานประมูลฤดูร้อนในอีกสามวันเป็นยังไง เงินที่ได้พวกเราแบ่งกันอย่างเท่าเทียม คิดเห็นยังไง?” หวังจื่อหมิงเสนอทางออก
“เรื่องนี้…” อู๋ฝานยังคิดปฏิเสธ เพราะต่อให้แบ่งอย่างเท่าเทียม มันก็ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยอยู่ดี
“ห้ามปฏิเสธ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณ ผมก็คงไม่ได้ซื้อภาพวาดนี้มา ทำให้ไม่มีวันได้ทราบว่าภาพวาดนี้มีความลับซุกซ่อน ดังนั้นคุณถือเป็นผู้มีส่วนร่วมในการได้รับมันมาอย่างเท่าเทียม”
“ตกลงก็ได้ครับ” อู๋ฝานถูกหวังจื่อหมิงยืนกรานเพียงนี้ จึงต้องยอมรับ
“ไม่ต้องเครียดไป” หวังจื่อหมิงพบเห็นอู๋ฝานตอบตกลง สุดท้ายจึงหัวเราะออกมา “พูดไปแล้ว ผมเหมือนเอาเปรียบด้วยซ้ำไป อยู่เฉย ๆ กลับได้เงินหลายสิบล้านมาเสียอย่างนั้น สำหรับผมหลายสิบล้านก็ไม่ใช่จำนวนที่เล็กน้อยเลย ทั้งที่ถ้าคุณไม่พูด ก็เป็นของคุณทั้งหมดแล้ว”
“ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ
“อู๋ฝาน ผมอ่านคุณไม่ออกเลยสักนิด คุณเป็นคนที่ควรค่าให้ตีสนิทด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย” หวังจื่อหมิงมองอู๋ฝานด้วยสายตาจริงจังพลางพูดไป “ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน แต่เพราะนิสัยตัวตน”
เงินหลายสิบล้านไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยแม้กับหวังจื่อหมิง แต่มันก็ไม่ถึงขนาดต้องทำให้เขาต้องมองคนอื่นเปลี่ยนไป สิ่งที่เขาเห็นคุณค่าคืออู๋ฝานที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวครั้งนี้
หวังจื่อหมิงเชื่อว่าหากเป็นคนอื่น ก็คงไม่ตัดสินใจเหมือนดังเช่นที่อู๋ฝานกระทำให้ได้เห็น อย่างไรแล้วอู๋ฝานก็กำลังต้องการเงิน การที่จะสามารถตัดใจจากเงินก้อนโตมหาศาลอย่างเด็ดเดี่ยวได้ เรียกได้ว่าไม่ใช่การกระทำที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ อาศัยเพียงเรื่องนี้ ก็พอให้ได้เห็นจิตใจของอู๋ฝานแล้ว บุคคลเช่นนี้จึงควรค่าให้หวังจื่อหมิงเก็บสัมพันธ์ฉันท์มิตรเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
“ผมจะพยายามหาทางทำให้ข่งไห่หลินประนีประนอมด้วยก็แล้วกัน” หวังจื่อหมิงในปัจจุบันมองอู๋ฝานเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่ง ดังนั้นจึงร่วมพิจารณาถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับอู๋ฝาน
“ขอบคุณนายน้อยหวังล่วงหน้า” อู๋ฝานกล่าวคำขอบคุณ
“เลิกเรียกนายน้อยหวังได้แล้ว ห่างเหินเกินไป เรียกชื่อก็พอ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
“คุณดูมีอายุกว่าผมนะ ผมเรียกเป็นพี่หวังก็แล้วกัน” อู๋ฝานตอบรับ
“ก็ได้” หวังจื่อหมิงไม่โต้แย้งและเริ่มตีสนิท “พูดไป เรื่องของข่งไห่หลินยังจำเป็นต้องระมัดระวังและใส่ใจ แม้ฉันพยายามจัดการเท่าที่จะทำได้ แต่เขาไม่ใช่คนที่จะพูดคุยแล้วรู้เรื่องถึงขนาดนั้น นายเองก็ควรระมัดระวังเอาไว้ ถ้าหากว่ามีข่าวคราวอะไรจากฝั่งนั้นฉันจะบอกให้นายรู้ก็แล้วกัน”
“อืม รบกวนพี่หวังแล้ว” อู๋ฝานตอบรับ
อู๋ฝานยังคงอยู่ที่บ้านของหวังจื่อหมิงนานพอสมควร ทั้งสองพูดคุยหลากหลายเรื่องราวต่อกัน จนกระทั่งช่วงดึกหวังจื่อหมิงจึงจัดแจงส่งคนไปส่งเขาถึงบ้าน ส่วนเรื่องผลงานภาพวาดและภาพคัดลายมือ หวังจื่อหมิงจะเก็บเอาไว้ และจะนำส่งโรงประมูลอีกทีหนึ่ง และคนทั้งสองยังนัดหมายเข้าร่วมงานประมูลฤดูร้อนในอีกสามวันที่ใกล้มาถึง
อู๋ฝานค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ของวันนี้ ต่อให้ไม่ได้ไปตั้งร้านแผงลอย ก็ยังมีโชคหล่นทับอย่างกะทันหัน หากว่าผลงานทั้งสองขายได้ราคาสูง เขาก็อาจมีเงินทุนสำหรับใช้ซื้อร้านที่ต้องการ
ขณะโชคลาภหล่นทับ อู๋ฝานยังได้ผูกมิตรกับหวังจื่อหมิงอย่างใกล้ชิด อู๋ฝานตระหนักทราบดีว่าท่าทีที่หวังจื่อหมิงมีให้ตอนนี้แตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง ขณะนี้เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนต่อกัน ไม่ใช่คนที่น่าสนใจลองเชิงเหมือนดังก่อนหน้านี้
มูลค่าการได้เป็นเพื่อนกับหวังจื่อหมิง ย่อมไม่น้อยไปกว่าหลายสิบล้านที่แบ่งไป