ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 144 รักษาอาการบาดเจ็บ
บทที่ 144 รักษาอาการบาดเจ็บ
บทที่ 144 รักษาอาการบาดเจ็บ
ในที่สุดเลเวลของอู๋ฝานก็เพิ่มจากสามเป็นสี่ แม้จะยากลำบากไปบ้างก็ตามที
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่เพิ่มหนึ่งเลเวล ทุกค่าสถานะจะเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของอู๋ฝานก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่า สาเหตุที่อู๋ฝานเอาชนะมอนสเตอร์ที่เลเวลสูงกว่าตนเองนับสิบเลเวลได้นั้น สาเหตุเป็นเพราะอุปกรณ์สวมใส่อันเลิศล้ำ มันช่วยเสริมค่าสถานะให้แก่ตัวเขาจนแข็งแกร่งขึ้นมาก หากลำพังแค่ค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นของอู๋ฝานโดยการเพิ่มเลเวล มันไม่อาจแสดงให้เห็นถึงความต่างอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้นได้
แต่อย่างไรแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาและก็ผ่านไป ภายหน้าตัวเขาย่อมต้องเพิ่มเลเวลให้มากขึ้น
อีกทั้ง การเพิ่มค่าสถานะให้แข็งแกร่งขึ้นโดยอุปกรณ์สวมใส่ บางครั้งมันก็ไม่ได้สะดวกเช่นที่คิด
โดยเฉพาะกับในโลกความเป็นจริง
ในโลกความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ที่อู๋ฝานจะสวมใส่หมวกและถืออาวุธเอาไว้ตลอดเวลาได้ บางครั้งเขายังไม่สวมแม้แต่เกราะโซ่และเกราะข้อมือเลยด้วยซ้ำ เพราะหลายสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นพละกำลังที่พึ่งพาจากเลเวลของตนเอง มันจะมีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน
“หือ นี่อะไรกัน?” หลังสังหารราชาหมาป่าเนตรสีชาดได้สำเร็จ ร่างของมันยังไม่ได้เลือนหายไป และท่ามกลางสายตาผู้คน ถ้าอู๋ฝานคิดเก็บมันเข้ากระเป๋าหลังก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับสายตาของโจวซานและคณะที่จ้องมองอยู่อย่างไม่คลาดสายตา
เพียงแต่ ข้างของร่างกายราชาหมาป่าเนตรสีชาด อู๋ฝานได้พบกับป้ายโลหะที่ปรากฏแสงสีฟ้าอ่อนจาง
ดร็อปไอเทมงั้นหรือ?!
อู๋ฝานประหลาดใจและยินดี ถึงกับเร่งรีบเก็บมันขึ้นมา ขณะที่โจวซานและคณะไม่ทันสังเกตเห็น สุดท้ายจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าหลัง โดยไม่สนแม้แต่น้อยว่าคืออะไร
อู๋ฝานสำรวจร่างกายของราชาหมาป่าเนตรสีชาดอีกครั้ง พบว่าไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว จึงปล่อยวางจากมันไป
“อู๋ฝาน เป็นอะไรหรือไม่?” โจวซานเข้ามาเอ่ยถามอาการ
“บาดเจ็บเล็กน้อยขอรับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” อู๋ฝานตอบรับ
โจวซานสำรวจมองร่างกายของอู๋ฝาน ขณะเวลานี้อู๋ฝานมีบาดแผลทั่วทั้งร่างกาย เสื้อผ้าฉีกขาดหลายตำแหน่ง ที่ฉีกขาดก็เพราะโดนหมาป่าเนตรสีชาดเล่นงาน ดังนั้นจึงยังมีรอยเลือดไหลซิบออกจากบาดแผลและเสื้อผ้าเป็นทางยาว
“เจ้าอยู่ตรงกลาง พวกเราจะคุ้มกันเจ้าออกไป” โจวซานมองร่างราชาหมาป่าเนตรสีชาดที่ตายแล้วพลางบอกกับอู๋ฝาน
จุดประสงค์การบุกเข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อสังหารราชาหมาป่าเนตรสีชาด ขณะนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว พวกเขาสามารถถอยทัพได้
“ข้าไหวขอรับ” อู๋ฝานทราบอาการของตัวเองดี
ด้วยฐานะผู้เล่น ตราบเท่าที่หลอดเลือดไม่เท่ากับศูนย์ ตัวเขาจะไม่มีทางตาย ต่อให้บาดเจ็บอย่างไร ผลกระทบทางร่างกายก็ไม่ได้รุนแรงดังเช่นคนอื่น ตัวเขาปัจจุบันเหลือหลอดเลือดราวครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีทางตายได้
เพียงแต่ เป็นไปไม่ได้ที่โจวซานจะทราบเรื่องราวนี้ เมื่อเห็นอู๋ฝานมีบาดแผลมากมาย จึงเกิดกังวลห่วงหาอาการบาดเจ็บ ดังนั้นจึงยืนกรานให้อู๋ฝานอยู่กลางกลุ่ม เพื่อให้คนอื่นที่เหลือช่วยตีกันฝ่าออกไป
แม้ว่ายังมีหมาป่าเนตรสีชาดอยู่อีกมาก แต่เพราะไม่มีค่าสถานะเสริมจากทักษะของราชาหมาป่า ความแข็งแกร่งของพวกมันจึงลดเลือนลงไป นอกจากนี้ เพราะไม่มีจ่าฝูงคอยนำทัพ การโจมตีและการถอยทัพของพวกมันก็ยุ่งเหยิงไม่มีชิ้นดี ทุกคนจึงสามารถร่วมมือกันจัดการกับพวกมันได้โดยไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนก่อนหน้านี้
โจวซานและคณะตีฝ่าฝูงหมาป่าออกมาได้สำเร็จ ภายหลังจึงส่งอู๋ฝานไปรักษาตัว โดยมีแพทย์ที่ร่วมทางมากับค่ายให้การดูแลรักษา รวมถึงพันผ้าพันแผลให้
หลังเห็นแพทย์ที่ร่วมทางมาด้วยทำแผลอย่างงุ่มง่าม อู๋ฝานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “ข้าทำเองก็ได้”
สิ้นคำ อู๋ฝานจึงเริ่มล้างบาดแผลของตัวเอง ทำแผลอย่างชำนิชำนาญ รวมถึงใส่ยาเรียบร้อย
“เจ้าเองก็เป็นหมองั้นหรือ?” แพทย์เอ่ยคำถามกับอู๋ฝานอย่างประหลาดใจ เพราะเขาพบว่าการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตนเองอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าได้เรียนรู้เรื่องการแพทย์มาบ้างน่ะขอรับ” อู๋ฝานตอบรับ
เป็นที่รู้กันว่าอาจารย์ปรุงยาหลี่เป็นปรมาจารย์นักปรุงยา ความแข็งแกร่งไม่ใช่อะไรที่ควรจะต้องสงสัย ความรู้ทางด้านยาของเขาก้าวล้ำเกินกว่าที่ใครอื่นจะเทียบเปรียบ
แม้ว่าอาจารย์ปรุงยาหลี่จะสอนอู๋ฝานเพียงแค่การปรุงยา แต่ก็ยังคอยบอกเรื่องการดูแลรักษาแผลอย่างง่าย เพียงแต่คำว่าอย่างง่ายนั้น มันไม่ใช่อย่างง่ายเหมือนดังเช่นอาจารย์ปรุงยาคนอื่น ขณะนี้เห็นได้ชัด ว่ามันดีเสียยิ่งกว่าแพทย์ตรงหน้าที่ให้การรักษาเสียอีก
อาจารย์ปรุงยาและแพทย์ถือเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากในยุคสมัยนี้ อู๋ฝานและหน่วยของตนในค่ายวิหคเป็นเพียงกองทัพสำรอง ดังนั้นแพทย์สนามที่ส่งมาเข้าร่วมค่ายออกเดินทางจึงไม่ได้ดีเยี่ยมอะไรนัก ส่วนอาจารย์ปรุงยาที่มีศักดิ์สูงกว่าแพทย์นั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมทางมา
“ระดับของเจ้าสูงส่งกว่าข้า เจ้าน่าจะดูแลตัวเองได้ดีกว่าข้าด้วยซ้ำ” แพทย์กล่าวกับอู๋ฝานอย่างนึกละอาย ทว่าก็นับถือด้วยเช่นกัน
แท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัดคนหนึ่งที่ยังอยู่ระหว่างร่ำเรียน ขณะนี้ถูกส่งเข้าร่วมหน่วยขนส่งเสบียง จึงคิดไปว่าไม่น่ามีเหตุการณ์อะไรให้ต้องลงมือ แต่ก็ผิดคาดที่วันนี้กลับเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น
“ข้าเองก็มีความรู้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น” อู๋ฝานตอบรับ
มันเป็นเรื่องจริง ตัวเขาไม่ได้มีความรู้ลงลึกถึงรายละเอียดระดับนั้น การรักษาแผลทั่วไปไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่หากเป็นอาการที่ซับซ้อนกว่านี้ก็ยากที่จะรับมือได้
คิดได้ดังนั้น อู๋ฝานจึงยิ่งอยากเรียนรู้จากอาจารย์ปรุงยาหลี่ ทำความเข้าใจเรื่องราวด้านการปรุงยาให้ลึกล้ำกว่านี้ ในยุคสมัยอาวุธเย็นเช่นที่กำลังเผชิญ การเรียนรู้วิชาปรุงยาให้เก่งขึ้น ย่อมสามารถช่วยเหลือผู้คน ตนเอง และพรรคพวกในสนามรบได้
ขณะอู๋ฝานกำลังพักผ่อน การต่อสู้ทางด้านนอกก็ดำเนินถึงจุดสิ้นสุด ภายหลังฝูงหมาป่าเนตรสีชาดสูญเสียจ่าฝูง พละกำลังของพวกมันก็ลดลงมหาศาล สุดท้ายจึงพ่ายแพ้ให้แก่ทุกคน บางส่วนก็ตกตาย บางส่วนก็หลบหนีไป
วิกฤตของทั้งค่ายวิหคจึงคลี่คลาย
ถัดจากนั้นคือการเก็บกวาดพื้นที่สู้รบ
ครั้งนี้หมาป่าเนตรสีชาดมากมายตกตาย สำหรับบรรดาผู้ที่มีพื้นเพข้นแค้น มันเป็นโอกาสดีที่จะได้ทานเนื้อสักมื้อหนึ่ง ดังนั้นทุกคนจึงให้ความสนใจอย่างแรงกล้า และราวกับพวกเขาไม่คิดสนใจร่างบางส่วนของหมาป่าที่หายไปอย่างกะทันหัน คล้ายกับคุ้นเคยหรือชินแล้วอย่างไรอย่างนั้น
อู๋ฝานในตอนนี้ลุกขึ้นยืน และก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังร่างของอดีตราชาหมาป่าเนตรสีชาด ที่ซึ่งตัวเขาครุ่นคิดมาโดยตลอด
อู๋ฝานเดินไปยังร่างของราชาหมาป่าเนตรสีชาดต่อหน้าผู้คนมากมาย ก่อนจะแตะมันด้วยมือ สุดท้ายร่างนั้นจึงเลือนหาย ส่งเข้ากระเป๋าด้านหลังไป
เมื่อเสร็จสิ้นอู๋ฝานก็หันกลับมาราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นและเดินจากไป ส่วนร่างของหมาป่าเนตรสีชาดตัวอื่น เขาไม่คิดไปแข่งขันแย่งชิงกับผู้อื่นแต่อย่างใด
“หืม ร่างของราชาหมาป่าเนตรสีชาดล่ะ? เมื่อกี้เห็นอยู่ตรงนี้ แต่กลับหายไปไหนแล้วไม่รู้” ทางด้านหลังของอู๋ฝานปรากฏเสียงดังขึ้น
“บางทีพวกหมาป่าเนตรสีชาดอาจนำร่างของมันกลับไปตอนถอนตัวก็เป็นได้” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ก็คงงั้นล่ะมั้ง”
เพราะไม่อาจหาร่างของราชาหมาป่าเนตรสีชาดพบ คนทั้งสองจึงปล่อยวาง และเริ่มค้นหาพร้อมทั้งเก็บกวาดร่างของหมาป่าเนตรสีชาดตัวอื่นต่อไป
อู๋ฝานเผยยิ้มบางเบาให้กับบทสนทนาของคนทั้งสอง เขาไม่คิดเข้าไปมีส่วนร่วม เพียงแค่เดินถอยกลับไปยังสถานที่ซึ่งหน่วยของตนเองใช้พักแรม
หลังศึกที่เกิดขึ้น คนจากแต่ละกองพันจึงมารวมตัวและพักฟื้นในค่าย และตอนนี้เองที่ปรากฏความแตกต่างแสดงให้เห็น