ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 223 วิชามุดดิน
บทที่ 223 วิชามุดดิน
บทที่ 223 วิชามุดดิน
ทันทีที่สิ้นคำของอู๋ฝาน รูก็ปรากฏบริเวณเท้าของเจิ้งเสี่ยวลิ่วทันที จากนั้นหนูดวงตาอสูรก็มุดออกมาพร้อมกระโจนเข้าหาเขา หมายจะใช้กรงเล็บทิ่มแทงใส่
นับเป็นโชคดีที่เจิ้งเสี่ยวลิ่วคอยระมัดระวังอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งร่างกายยังปราดเปรียว ทันทีที่หนูดวงตาอสูรบุกโจมตีใส่ เขาจึงทราบได้ในทันทีพร้อมกับกระโจนหลบการโจมตีของมันไปทางด้านข้าง จากนั้นเขาก็เหวี่ยงสะบัดดาบเล่มใหญ่ในมืออย่างรุนแรง เสียง “ฟึ่บ” ดังขึ้นจากการฟันร่างของหนูดวงตาอสูรจนร่วงลงกับพื้น
ขณะที่เจิ้งเสี่ยวลิ่วต่อสู้กับหนูดวงตาอสูร พวกมันส่วนที่เหลือซึ่งมุดดินไปก่อนหน้าก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นเรื่อย ๆ พวกมันโจมตีสมาชิกหน่วยที่ยังเหลือของอู๋ฝาน ก่อนหน้านี้ ทุกคนแทบไม่ทราบข้อมูลอะไรของหนูดวงตาอสูรเลย พวกเขาจึงไม่ทราบทิศทางการโจมตีของพวกมันและเผชิญกับความวิตกกังวลที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ แต่ภายหลัง เมื่อพวกมันปรากฏตัวให้เห็น กลุ่มหน่วยรักษาการณ์ก็เปิดฉากต่อสู้รับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภัยคุกคามจากหนูดวงตาอสูรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการบุกโจมตีอย่างกะทันหันและการเคลื่อนไหวอย่างว่องไว แม้ภัยคุกคามนั้นจะลดน้อยลงตอนที่มันปรากฏตัวจากใต้พื้นไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นปัญหาในระดับหนึ่งอยู่ดี
“ฟึ่บ!”
อู๋ฝานแทงร่างของหนูดวงตาอสูรด้วยกระบี่ เขาจบชีวิตของพวกมันลง รวม ๆ แล้วมีหนูดวงตาอสูรทั้งสิ้นหกตัวที่ตายด้วยกระบี่ของเขา
“หือ? มีอุปกรณ์ดร็อปเหรอ?”
ตอนที่หนูดวงตาอสูรตัวสุดท้ายถูกสังหาร ร่างกายของมันก็เลือนหาย ทันใดนั้น ตำแหน่งที่ร่างของมันเคยอยู่ก็มีตำราเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมแสงสีเทาเรืองรองที่ส่องประกายออกมา ยอมรับเลยว่านั่นดึงดูดสายตาอู๋ฝานไม่ใช่น้อย
ชายหนุ่มหันไปมองทางพวกหนิวเอ้อ พบว่าพวกเขาคล้ายจะไม่เห็นของดังกล่าว หากว่าเห็นแสงที่โดดเด่นขนาดนั้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะมองข้าม คำอธิบายจึงมีเพียงหนึ่งเดียว ตำราเล่มนั้นคือของที่คนในโลกแห่งนี้ไม่อาจมองเห็น เป็นไอเทมที่ดร็อปจากมอนสเตอร์นั่นเอง
อู๋ฝานก้าวเข้าไปหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นจากพื้น ขณะเดียวกันก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาของเขาเผยความเปล่งประกายมากกว่าปกติ
“ตำราทักษะ?!” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเสียงดังยามเห็นเนื้อหาในตำรา
หลังจากหนูดวงตาอสูรถูกสังหารหมดสิ้น อู๋ฝานถึงกับได้ตำราทักษะมาเล่มหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ตำราทักษะด้วยซ้ำ ไอเทมประเภททักษะวิชาไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เก็บของ มันนับเป็นของดี เพียงแต่นอกจากการเรียนรู้ทักษะทั้งหลายผ่านหมู่บ้านเร้นลับและหัวหน้าหมู่บ้าน เขาก็เคยได้เรียนรู้ทักษะวิชาจากโจวซานเท่านั้น ชายหนุ่มไม่เคยได้รับอะไรเพิ่มเติมอีก
จนกระทั่งถึงวันนี้ อู๋ฝานไม่คาดคิดมาก่อนว่าการสังหารมอนสเตอร์จะทำให้ได้มาซึ่งตำราทักษะ
ชื่อของตำราทักษะคือ “วิชาดำดิน” ดู ๆ ไปแล้วอาจเป็นวิชาระดับที่สูงกว่าวิชามุดดินของพวกหนูก่อนหน้านี้
อู๋ฝานรีบเรียนทักษะจากตำราโดยไม่ลังเล ตำราทักษะสีเทากลายเป็นกระแสแสงตรงเข้าจิตสำนึกของเขา
[วิชาดำดิน ใช้สำหรับเดินทางใต้ดิน สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ห้านาที]
ทักษะดีเลยนี่!
นี่เป็นทักษะที่ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะใช้เพื่อลอบโจมตีหรือว่าหลบหนี ก็สร้างผลลัพธ์อันไม่คาดคิดขึ้นได้ เหมือนอย่างที่พวกหนูดวงตาอสูรโจมตีพวกเขาก่อนหน้านี้ แรกเริ่มพวกมันทำให้พวกหนิวเอ้อว้าวุ่นใจกันพอสมควร หากพวกหนูก่อนหน้านี้มุดดินได้อย่างปราดเปรียวยิ่งกว่าที่เคย เกรงว่าพวกหนิวเอ้อคงสังหารพวกมันไม่ได้ง่าย ๆ แบบตอนนี้
หลังจากรับคำแนะนำทักษะ อู๋ฝานคิดอยากจะลองใช้มันเสียเดี๋ยวนี้ เพียงแต่พวกหนิวเอ้อยังคงอยู่ใกล้เคียง เขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นความอยากนั้นเอาไว้ก่อน ไว้หลังกลับไปแล้วอยู่คนเดียวค่อยทดลอง ถึงตอนนั้นก็ยังไม่สาย
นอกจากดร็อปตำราทักษะไว้ให้อู๋ฝานแล้ว หนูดวงตาอสูรยังเหลือร่างไว้สองร่างอีกด้วย แน่นอนว่าชายหนุ่มรุดเข้าไปชำแหละพวกมันทันที งานแบบนี้คนอื่นยังไม่สามารถทำได้ มีเพียงแค่ตัวเขาคนเดียวเท่านั้น คนอื่น ๆ ยังไม่ทราบวิธีการชำแหละ หากว่าฝืนชำแหละไปแบบผิดวิธี โอกาสที่จะได้รับวัตถุดิบอาจถูกทำลายลงแทน ถ้าเป็นเช่นนั้น มูลค่าของมันจะต่ำลง
หลังจัดการที่ตรงนี้เรียบร้อย ทุกคนก็มุ่งหน้าเข้าป่ากันต่อ พวกเขาไม่ได้ตรงเข้าไปด้านในของป่า แต่เลือกที่จะวนพื้นที่บริเวณชายขอบรอบนอกเพื่อสังหารพวกมอนสเตอร์เลเวลต่ำที่อยู่แถวนี้เสียก่อน
ดูเหมือนเลเวลของมอนสเตอร์จะไม่ได้สูงกว่าครั้งก่อนที่อู๋ฝานมามากนัก พวกมันยังมีเลเวลน้อยกว่าสิบ ตราบใดที่จำนวนไม่ได้มากมายจนเกินไป ทุกคนก็รับมือได้ โดยเฉพาะตอนที่มีอู๋ฝานอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ สถานการณ์ในตอนนี้จึงอันตรายน้อยกว่าก่อนหน้าพอสมควร
ในขณะที่จำนวนศึกปะทะมอนสเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งผ่านไปนาน พวกเขายิ่งใช้วิชายอดดาบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อำนาจการสู้รบของทั้งหน่วยจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกัน ลั่วเยวี่ยก็ยังทำอู๋ฝานประหลาดใจไม่หยุด
ตอนแรกนางทำให้เขาประหลาดใจกับความสามารถในการสู้รบที่เหนือกว่าพวกหนิวเอ้อ ขณะต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อู๋ฝานก็ยิ่งทึ่งมากขึ้น
แม้จะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ดุร้าย แต่ลั่วเยวี่ยกลับไม่เผยอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางเป็นแนวหน้าบุกเข้าโจมตีทุกครั้งที่เผชิญกับเหล่ามอนสเตอร์ แม้ดาบเล่มใหญ่ในมือจะกวัดแกว่งอย่างยากลำยากไปบ้าง แต่มันก็สร้างความเสียหายให้กับมอนสเตอร์ได้ทุกครั้ง
อีกทั้งตอนที่ลั่วเยวี่ยต่อสู้กับมอนสเตอร์ อีกฝ่ายก็ดูเยือกเย็นเสมือนมือสังหารซึ่งไร้อารมณ์ความรู้สึก นางทราบดีว่าตนเองยังขาดพละกำลังและเรี่ยวแรง จึงมองหาจุดอ่อนของมอนสเตอร์ ทำให้ทุกการโจมตีสร้างความเสียหายที่รุนแรงมากขึ้นและลดทอนจำนวนครั้งที่ต้องลงมือไปในตัว
นี่ถือเป็นส่วนที่ชวนสะพรึง แม้จะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ที่เพิ่งได้พบเจอเป็นครั้งแรก ลั่วเยวี่ยกลับคงสติค้นหาจุดอ่อนของมอนสเตอร์ในเวลาอันสั้นและลงมือโจมตีอย่างแม่นยำได้ มิหนำซ้ำการลงมือของนางยังสร้างความเสียหายหนักแก่ศัตรูได้อีก
อาจกล่าวได้ว่า การต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนั้นทำให้อำนาจการสู้รบของลั่วเยวี่ยพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งกว่าผู้อื่น แม้กระทั่งพวกหนิวเอ้อก็ไม่อาจเทียบได้ บ่อยครั้งหนิวเอ้อมักจะพึ่งพาพละกำลังที่มากกว่าเพื่อเอาชนะ ไม่ว่าเป็นมอนสเตอร์ชนิดใด เขาก็จะพุ่งเข้าเผชิญหน้าและเอาชนะด้วยวิธีการที่ทื่อตรง เพียงแต่วิธีการนี้ไม่เหมาะกับลั่วเยวี่ย ทำให้นางไม่อาจลอกเลียนรูปแบบการต่อสู้ของหนิวเอ้อได้
แต่เดิมนั้น อู๋ฝานคิดว่าลั่วเยวี่ยต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อสั่งสมประสบการณ์ จึงจะสามารถก้าวข้ามหนิวเอ้อ แต่การเดินทางครั้งนี้เพียงครั้งเดียว กลับทำให้ลั่วเยวี่ยที่เคยอ่อนแอมีประสิทธิภาพการสู้รบเหนือหนิวเอ้อไปเสียแล้ว
หนทางการแสดงอำนาจการต่อสู้ที่ดีที่สุดย่อมเป็นความเร็วที่ใช้สังหารศัตรูและความสามารถยามเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง วิธีการโจมตีของลั่วเยวี่ยคือการมองหาจุดอ่อนที่ชวนสะพรึง ทำให้อำนาจการต่อสู้ของนางค่อนข้างแข็งแกร่ง ตราบเท่าที่ความสามารถด้านนี้ยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง การที่ความสามารถทางการสู้รบจะก้าวข้ามหนิวเอ้อก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก
หนิวเอ้อก็คล้ายจะเห็นเช่นเดียวกัน เขาไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับผู้หญิง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตนเอง ดังนั้นในตอนต่อสู้ เขาจึงเสริมความกล้าหาญในการบุกทะลวงยิ่งขึ้น