ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 231 สถานการณ์ของโหวจื่อ
บทที่ 231 สถานการณ์ของโหวจื่อ
บทที่ 231 สถานการณ์ของโหวจื่อ
“อู๋ฝาน ไปด้วยกันเถอะนะ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีผ่านมาบ่อย ตั้งแต่พวกเราเรียนจบก็ไม่เคยได้รวมตัวกันอีกเลย” เจ้าเซียวถิงพยายามเกลี้ยกล่อม “นอกจากนี้ยังได้ยินมาว่าโหวเสี่ยวกวงก็จะมาด้วยนะ”
เดิมอู๋ฝานคิดปฏิเสธ แต่พอได้ยินชื่อของโหวเสี่ยวกวงขึ้นมา เขาก็ชะงัก “เขาก็มางั้นเหรอ? แน่ใจนะ?”
“ใช่ ได้ยินหัวหน้าห้องบอกว่าแบบนั้นนะ” เจ้าเซียวถิงตอบกลับ “โหวเสี่ยวกวงบังเอิญมาทำธุรกิจที่เจียงโจวพอดี เขาบังเอิญมีเรื่องขอให้หัวหน้าห้องช่วยน่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน หัวหน้าห้องไม่ได้บอกรายละเอียด” เจ้าเซียวถิงตอบกลับ
อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ “ก็ได้ กำหนดเวลางานได้เมื่อไหร่ก็บอกฉันแล้วกัน”
“แน่นอน!” เจ้าเซียวถิงตอบรับด้วยความยินดี ราวกับว่าการที่เธอชวนอู๋ฝานไปงานปาร์ตี้ด้วยกันได้นี้ จะทำเธอรู้สึกยินดีไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากนั้นอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ออกจากร้านไป
“เหมือนคุณไม่ค่อยจะยินดีไปงานปาร์ตี้นั้นเท่าไหร่เลยนะคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ตอนผมยังเรียนมหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้มีสัมพันธ์ที่ดีอะไรกับพวกเขาสักเท่าไหร่น่ะครับ เรียกว่าเป็นเพื่อนกันก็ไม่เต็มปาก เพราะแบบนั้นก็เลยไม่ค่อยสนใจไปงานปาร์ตี้น่ะครับ” อู๋ฝานตอบรับ “เว้นแต่โหวจื่อ*[1] จะมาน่ะนะ”
“โหวจื่อ?”
“โหวเสี่ยวกวงที่เจ้าเซียวถิงพูดถึงเมื่อกี้น่ะครับ ผมติดปากเรียกเขาว่าโหวจื่อ” อู๋ฝานตอบกลับ “พวกเราสองคนมาจากชนบทเหมือนกัน พักในหอพักเดียวกัน สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพียงแต่หลังเรียนจบ ผมเลือกที่จะอยู่เจียงโจว แต่เขาเลือกกลับไปบ้านเกิด พอมาพูดตอนนี้ พวกเราก็ไม่ได้ติดต่อหากันนานมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง”
สมัยอู๋ฝานยังเรียนอยู่มาหวิทยาลัย โหวเสี่ยวกวงนับเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าเซียวถิงทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงจงใจเอ่ยชื่อโหวเสี่ยวกวงออกมา จนทำให้สุดท้ายชายหนุ่มต้องเปลี่ยนใจจนได้
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับโดยไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
เพราะอู๋ฝานยังต้องแวะไปร้านอาหารในช่วงกลางวัน ทำให้ไม่อาจอยู่ต่อกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ได้นานนัก ทางด้านหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เองก็เข้าใจดี เธอไม่ได้ตัดพ้อหรือบ่นอะไร
กิจการของร้านอาหารของอู๋ฝานก็ยังคงดีเยี่ยมอยู่ ตอนใกล้ถึงเวลาอาหาร ก็มีหลายคนแวะเวียนมาที่ร้าน แม้ว่าจะเพิ่งเปิดได้เพียงหนึ่งวัน ทว่าคำบอกเล่าจากปากต่อปากก็แพร่กระจายออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเหตุให้สามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้ามากมายให้แวะเวียนมาได้
แน่นอนว่ามันยังไกลห่างจากคำว่าเต็มแน่นร้านอยู่พอสมควร
อู๋ฝานยังคงรับหน้าที่ทำอาหารมื้อกลางวันด้วยตัวเอง ขณะที่หลิวอี้เตากับเชฟคนอื่นจะคอยจัดเตรียมและเรียนรู้อยู่ด้านข้าง เพียงแต่เขาตั้งใจสอนหลิวอี้เตาเป็นพิเศษ หากเปรียบเทียบกับเชฟคนอื่นแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าหลิวอี้เตาคู่ควรได้รับการสอนมากกว่า เพราะอย่างน้อยตนก็ไม่ได้ต้องการฝึกเชฟระดับสูงหรือมาสเตอร์ขึ้นมาอีก ไม่เช่นนั้นแล้วร้านอื่นอาจมาแย่งชิงเอาตัวไปได้
หลังยุ่งกับงานอยู่หลายชั่วโมง อู๋ฝานจึงได้พัก ขณะนี้เองที่เขาได้มีเวลาติดต่อหาโหวจื่อ
ตั้งแต่ได้ยินชื่อของโหวจื่อจากปากของเจ้าเซียวถิง อู๋ฝานก็คิดอยากติดต่อหาอีกฝ่ายขึ้นมา โดยเฉพาะตอนที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายคล้ายจะเกิดปัญหา เขาจึงยิ่งอยากติดต่อหาเพื่อพูดคุย
สายโทรถูกตอบรับอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้อู๋ฝานจึงได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ยินมาเกือบจะปี
“ฝานจื่อ? ตอนนี้เพิ่งนึกได้ว่าจะต้องโทรหาฉันรึไง?” เสียงของโหวจื่อดูค่อนข้างประหลาดใจและยินดีพอสมควร เห็นได้ชัดว่าไม่มีทีท่าของความห่างเหิน
แม้ว่าไม่ได้ติดต่อหากันเกือบหนึ่งปี แต่สัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองก็ไม่ได้ลดเลือน
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรฉันติดต่อหานายไม่ได้หรือยังไง?” อู๋ฝานหัวเราะ
“ก็นะ” โหวจื่อตอบรับ “ก่อนหน้านี้ฉันอยากจะติดต่อหานายอยู่ แต่เพราะรอบตัวฉันมีแต่เรื่องบ้าบอ ทำให้ไม่มีหน้ากล้าไปเล่าให้นายฟัง”
“ระหว่างพวกเรา ยังเหลือหน้าอะไรกันอีก?” อู๋ฝานแสร้งทำเป็นโกรธ
แท้จริงแล้วอู๋ฝานไม่ได้ติดต่อหาโหวจื่อมานานพอสมควร ก็เพราะมีความคิดเช่นเดียวกับอีกฝ่าย เขาต้องใช้เวลาอย่างยากลำบากอยู่ในเจียงโจว สูญเสียงานไปงานแล้วงานเล่า เพียงแค่คิดว่าตนจะอยู่ในเจียงโจวแต่ละวันต่อไปอย่างไร ก็แทบไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องอื่นแล้ว อีกทั้งตนก็ไม่อยากให้โหวจื่อต้องกังวลกับเรื่องของเขาไปด้วย
“ก็ต้องไม่เหลืออยู่แล้ว” โหวจื่อหัวเราะตอบ
“ได้ยินว่านายมาเจียงโจวงั้นเหรอ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“รู้แล้วเหรอ? ฉันกะว่าจะเซอร์ไพรส์นายในงานปาร์ตี้ซะหน่อย” โหวเสี่ยวกวงตอบกลับ “อันที่จริงก็มาได้หลายวันแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยเจอกันอีกครั้งก็แล้วกัน คงวางเรื่องราวทั้งหลายและดื่มผ่อนคลายกันได้ พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันเกือบหนึ่งปี ทำเอาฉันสงสัยเลยว่าตอนนี้นายยังคอแข็งอยู่รึเปล่า”
“ฉันจะไปดื่มกับนายแน่” อู๋ฝานตอบรับ “แล้วที่มาเจียงโจวนี่มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“ก็มีเรื่องอยู่” โหวเสี่ยวกวงเกิดลังเลขึ้นมา “ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันขอให้หัวหน้าห้องช่วยแล้ว น่าจะคลี่คลายได้ด้วยดี”
“เรื่องอะไรกัน ทำไมต้องปิดบังฉันด้วย?” อู๋ฝานยังคงถาม
“ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ตอนฉันกลับไปบ้านเกิด ฉันไปติดต่อเช่าที่ดินในหมู่บ้านเพื่อทำไร่ทำสวนน่ะ แล้วก็หาแนวร่วมเป็นคนในหมู่บ้านมาช่วยกันปลูก ผลผลิตที่ได้น่ะงอกงามด้วยดีเลยทีเดียว แต่ฉันหาตลาดที่เหมาะสมไม่ได้ ต่อให้มีคนมาซื้อ พวกเขาก็ให้ราคาต่ำ ถ้าพวกเราขายราคานั้นออกไป ก็คงได้เงินไม่คุ้มกับที่เสียไปเกือบปี เพราะแบบนั้นฉันก็เลยมาเจียงโจว ขอให้หัวหน้าห้องช่วยดูว่าพอจะมีช่องทางขายบ้างไหม” โหวเสี่ยวกวงบอกกับอู๋ฝาน
ถ้ามีเพียงโหวเสี่ยวกวงที่เพาะปลูกก็คงไม่เร่งร้อนอะไรมากนัก แต่ปัญหาคือเขาไปเจรจากับชาวบ้านให้มาช่วยกันเพาะปลูกทำไร่ทำสวน ทุกคนเชื่อในตัวเขา แต่แล้วสุดท้ายกลับไม่อาจทำเงินได้ โหวเสี่ยวกวงจึงรู้สึกผิดต่อทุกคน ทำให้ต้องออกมาหาช่องทางจัดจำหน่าย
เดิมโหวเสี่ยวกวงมาจากชนบท ก่อนหน้านี้เขาเคยอยู่ที่เจียงโจวระยะหนึ่ง และได้รู้จักคนในเจียงโจว ตอนนี้จึงคิดว่าน่าจะพอมีหนทาง นั่นจึงทำให้เขาเดินทางมาที่นี่
“แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่บอกฉันล่ะ?” อู๋ฝานเอ่ยถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“ฉันไม่อยากทำให้นายลำบากใจ” โหวเสี่ยวกวงตอบกลับ
หลังจากที่อู๋ฝานเอ่ยคำถามออกไปแล้ว เขาจึงรับรู้ได้ถึงเหตุผลนั้น
โหวเสี่ยวกวงทราบดีว่าตัวอู๋ฝานก็มาจากชนบท ไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร ใช้ชีวิตในเจียงโจวก็ยากลำบากมากพอแล้ว เช่นนั้นจะไปขอให้เขาช่วยเหลือได้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่ติดต่อหา เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมาร่วมกังวลไปด้วย
“แล้วหัวหน้าห้องหาตลาดให้ได้ไหม?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ยังไม่ได้ แต่หัวหน้าห้องบอกว่าจะลองหาทางดู ฉันเองก็มาเจียงโจวหลายวันแล้ว กำลังมองหาลู่ทางอยู่เหมือนกัน” โหวเสี่ยวกวงกล่าวตอบ
“งั้นมาทางนี้ คิดว่าตอนนี้ฉันน่าจะช่วยนายได้นะ” อู๋ฝานตอบรับ
สถานการณ์ปัจจุบันของอู๋ฝานแตกต่างไปจากสมัยเพิ่งเรียนจบอย่างมหาศาล โหวเสี่ยวกวงไม่ทราบเรื่องนี้ และชายหนุ่มก็จงใจไม่บอกผ่านทางโทรศัพท์
“ฝานจื่อ นายก้าวหน้าขึ้นแล้วเหรอ?” โหวเสี่ยวกวงหัวเราะเสียงเบา เพียงแต่น้ำเสียงนั้นราวกับไม่ได้เชื่ออะไรมากมายนัก คิดเพียงว่าอีกฝ่ายกำลังปลอบตนเอง
อย่างไรแล้ว พวกเขาก็เรียนจบมาพร้อมกัน ด้วยพื้นเพของอู๋ฝาน มันยากที่จะเชื่อได้ว่าเวลาเพียงหนึ่งปีจะก้าวหน้าจนไม่อาจจำได้
“นายคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว เอาแบบนี้เป็นไง ลองมาขอความช่วยเหลือจากฉันก็แล้วกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” อู๋ฝานหัวเราะ
“ก็ได้ คงต้องขอให้นายเลี้ยงกินดื่มจนหนำใจแล้ว” โหวเสี่ยวกวงหัวเราะตอบ “คงต้องรบกวนเถ้าแก่ใหญ่อู๋ ขอให้ต่อไปช่วยดูแลฉันด้วยก็แล้วกัน”
[1] โหวจื่อ เป็นการเล่นคำจากชื่อของ โหวเสี่ยวกวง คำว่า โหว ดั้งเดิมของ โหวเสี่ยวกวง เป็นชื่อตำแหน่งขุนนาง แต่ก็พ้องเสียงกับคำว่า โหว ที่แปลว่าลิงด้วยเช่นกัน ดังนั้นโหวเสี่ยวที่แปลว่า โหวน้อย จึงถูกเล่นคำเป็น โหวจื่อ ที่แปลว่า ลิงน้อย