ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 334 งานเลี้ยงวันเกิด
บทที่ 334 งานเลี้ยงวันเกิด
บทที่ 334 งานเลี้ยงวันเกิด
กิจการของร้านกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่อู๋ฝานกลับได้รับข่าวร้ายจากเฉินปิงเหยา
มีคนสอบถามถึงที่มาที่ไปของวัตถุดิบที่ทางร้านนำมาใช้
สำหรับอู๋ฝาน มันไม่ใช่ข่าวดี เพราะที่มาที่ไปของวัตถุดิบนั้นไม่อาจเปิดเผยออกมาได้ มันคือความลับ และไร้ซึ่งหนทางอธิบาย แต่ชายหนุ่มก็ทราบดีว่าร้านของตนมีแต่จะใหญ่มากขึ้น ประเด็นนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความสนใจใคร่รู้ของผู้คนได้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมี ‘คนที่ใส่ใจ’ ปรากฏตัวมารวดเร็วถึงขนาดนี้
นับเป็นโชคดีที่เรื่องแหล่งวัตถุดิบของร้านมีเพียงอู๋ฝานที่ทราบ เมื่อคนนอกสอบถามเข้ามา ย่อมไม่ได้รับข้อมูลใดกลับไป ทว่าเขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ดังนั้นจึงเกิดความร่วมมือกับโหวเสี่ยวกวงขึ้นมา
โหวเสี่ยวกวงเดินทางจากเจียงโจวกลับบ้านเกิด และที่กลับไปพร้อมกัน คือเมล็ดพันธุ์วัตถุดิบกับพันธุ์สัตว์ทั้งหลาย โหวเสี่ยวกวงจะกลายเป็นฐานผลิตวัตถุดิบส่งให้กับร้านของอู๋ฝาน เมื่อใดต้องขยับขยาย ปัญหาเรื่องที่มาของวัตถุดิบซึ่งนำมาใช้งานก็จะคลี่คลายไปด้วย
จนกว่าจะถึงตอนนั้น อู๋ฝานเลือกที่จะเก็บความลับนี้เอาไว้เท่าที่จะทำได้
หลังยุ่งวุ่นวายกับทางร้าน อู๋ฝานจึงกลับมาที่บ้าน ไม่ใช่เพื่อนอนหลับ แต่เป็นการไปตรวจสอบสถานการณ์ทางฝั่งโลกแห่งเกม เพราะเมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้น จนทำให้เขาไม่ได้เทเลพอร์ตไป แต่โอกาสเทเลพอร์ตไม่ได้สูญหายไปไหน และแม้จะไม่ได้มีธุระอะไรจำเป็น เขาก็ยังต้องไปดูให้แน่ใจ
ภาพเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อู๋ฝานปรากฏตัวที่โลกแห่งเกม โลกความเป็นจริงอยู่ในช่วงเที่ยง ส่วนที่นี่อยู่ในช่วงเย็นแล้ว
จากการที่อู๋ฝานเคยสำรวจและเก็บข้อมูล เวลาของสองโลกมีความแตกต่างกัน ทุกครั้งที่เทเลพอร์ตมาโลกแห่งเกม ช่วงเวลาสองชั่วยามในโลกความเป็นจริง จะเกือบเท่าช่วงเวลาหกชั่วยามในโลกแห่งเกม แต่หลังกลับจากโลกแห่งเกมไปสู่โลกความเป็นจริง การไหลเวียนของเวลาฝั่งโลกแห่งเกมคล้ายจะเกิดเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จนเมื่อโลกความเป็นจริงผ่านไปราวสิบชั่วยาม แต่ที่โลกแห่งเกมคล้ายจะยังผ่านไปไม่ถึงหกชั่วยาม
การไหลเวียนของเวลาแปลกประหลาดมากและเปลี่ยนแปลงไปมา จนถึงตอนนี้อู๋ฝานก็ยังไม่อาจวิเคราะห์ตัวเลขที่แน่ชัดได้ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่เขาต้องใส่ใจจนเกินไป เพราะกระแสเวลาที่ไหลเวียนไม่เท่ากัน มันแทบไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเขา
ภาพการทำงานที่ค่อนข้างยุ่งวุ่นวายยังคงดำเนินไปในหมู่บ้านเร้นลับ ผู้คนกำลังขุดทรัพยากร สร้างกำแพง สร้างบ้าน และจัดการงานอื่น ๆ อีกหลากหลาย
ด้านพวกหนิวเอ้อที่เป็นทหารส่วนตัวของอู๋ฝาน ได้รับหน้าที่นำหน่วยรักษาการณ์กว่าร้อยคนไปฝึกซ้อม ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้แจ้งไว้ชัดเจนว่าหน่วยรักษาการณ์จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานใช้แรงงาน ให้มุ่งเน้นไปที่การฝึกซ้อม แต่หลังจากการสู้รบครั้งล่าสุด ท่าทีของหน่วยรักษาการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสังเกตเห็นได้ แม้จะยังไม่ดีเทียบเท่าทหารประจำการของราชสำนัก แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ อย่างน้อย เขาก็ได้เห็นร่างกายและเงาของพวกเขาที่มีความคล้ายทหารที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น
อู๋ฝานเรียกตัวลั่วหยางมาสอบถามสถานการณ์ทางด้านเทศมณฑล
ตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างไม่มั่นคง อู๋ฝานจึงต้องจับตาดูพื้นที่ใกล้เคียงเอาไว้ทุกวัน เพราะมันอาจมีภัยอันตรายอื่นคุกคามเข้ามา
ตามข้อมูลที่ลั่วหยางรายงาน จวนผู้ปกครองเทศมณฑลยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง ทว่าพวกผู้อพยพนอกเมือง ปัจจุบันกำลังรวมตัวกันมากขึ้นไม่หยุด แม้ภัยคุกคามเช่นกองทัพกบฏจะพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่กัวจื่อหมิงกลับยังคงปิดประตูเมืองเอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ไม่ใช่เพื่อป้องกันทหารทัพกบฏ แต่เป็นการกีดกันผู้อพยพเอาไว้นอกเมือง
แม้อู๋ฝานจะไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจทำอะไรอื่นได้ ผู้ปกครองเทศมณฑลไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของเขา ไม่มีเหตุอะไรที่อีกฝ่ายจะต้องฟังคำสั่งตน
“มีข่าวคราวจากทางกองทัพโลกอสูรหรือไม่?” อู๋ฝานที่หวั่นใจเรื่องนี้จึงเอ่ยถามกับลั่วหยาง
“ยังไม่มีขอรับ” ลั่วหยางกล่าวตอบ
“ถังซานได้ส่งคนไปตรวจสอบการเคลื่อนไหวของกองทัพโลกอสูรแล้วกระมัง” อู๋ฝานเอ่ยถามต่อ
กองทัพโลกอสูรที่ลงแรงครั้งใหญ่ จนสามารถคว้าเอาที่มั่นในโลกมนุษย์มาได้นั้น อีกฝ่ายย่อมไม่ยึดครองที่ดินเพื่อชมนกชมไม้แน่ ด้วยนิสัยและความโหดเหี้ยมของพวกมัน รวมถึงความสามารถสู้รบอันแข็งแกร่ง หากเคลื่อนไหวเมื่อใด พวกมันจะต้องสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้โลกมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าที่อู๋ฝานและพรรคพวกเผชิญหน้าไม่ใช่กองทัพกบฏของโฉวหย่งเชา แต่เป็นกองทัพโลกอสูร ผลลัพธ์ย่อมคาดเดาได้ว่าฝั่งชายหนุ่มจะต้องพ่ายแพ้อย่างไร้ข้อกังขา อำนาจการสู้รบของกองทัพโลกอสูร เหนือกว่ากองทัพกบฏอย่างไม่อาจเทียบได้
“ขอรับ” ลั่วหยางตอบรับ
อู๋ฝานพยักหน้าตอบ ขณะกำลังจะเดินกลับไป เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเอ่ยถามกับลั่วเยวี่ยที่เดินติดตาม “วันนี้วันอะไรนะ?”
“วันที่ห้าเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยตอบรับโดยทันที
“วันที่ห้า? เร็วขนาดนี้?” อู๋ฝานเริ่มพึมพำกับตัวเอง “ไม่รู้เลยว่าของขวัญที่ส่งให้ ฝ่าบาทกับองค์หญิงเจ็ดได้รับแล้วพึงพอใจหรือไม่”
ค่ำคืนมาเยือน แสงไฟเริ่มส่องสว่าง
วังหลวงจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงในวันนี้ค่อนข้างคึกคัก ทั้งภายในและภายนอกต่างก็มีบรรยากาศของงานรื่นเริง ข้ารับใช้และขันทีประจำราชวังทั้งหลายต่างเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มกันออกมา
วันนี้เป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดรอบที่สิบแปดขององค์หญิงเจ็ดแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง ผู้มีนามว่าเจ้าฉี แม้งานเลี้ยงวันเกิดจะมีกำหนดเริ่มตั้งแต่ช่วงเย็น แต่บรรยากาศภายในวังก็ค่อนข้างวุ่นวายตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงเวลามื้อเย็น
จักรพรรดิชราแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง เพราะเป็นวันเกิดของบุตรสาวอันเป็นที่รัก จึงจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางในเมืองหลวงที่ตำแหน่งสูงกว่าขั้นห้า ต่างก็ได้รับคำเชิญให้มาเข้าร่วม นอกจากนี้ยังมีเหล่าขุนนางในเมืองหลวง เชื้อพระวงศ์ และอีกหลายคนที่ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมงาน
“ใต้เท้าหลี่ ของขวัญในครั้งนี้คัดเลือกสิ่งใดมาหรือขอรับ?”
“ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงหรอกขอรับ ไม่คู่ควร”
“คิดเก็บงำงั้นหรือ? ใช่แผนการที่คิดทำให้องค์หญิงเจ็ดประหลาดใจหรือไม่?”
“หากองค์หญิงเจ็ดโปรดปรานของขวัญ ย่อมถือเป็นเกียรติของข้า”
ขุนนางบางส่วนที่มาถึงเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างจับกลุ่มสองถึงสามคนพูดคุยกัน หัวข้อสนทนาย่อมไม่พ้นองค์หญิงเจ็ด ของขวัญที่มอบให้แก่องค์หญิงในงานวันเกิดเช่นนี้ ย่อมถือเป็นประเด็นของเกียรติยศและศักดิ์ศรี
เพราะองค์หญิงเจ็ดเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ และได้รับการเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเด็ก จึงได้เห็นทุกสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าดีเลิศล้ำ ของขวัญที่นางได้รับในทุกปีจึงกลายเป็นประเด็นที่เหล่าขุนนางปวดเศียรเวียนเกล้า พวกเขาต้องระดมสมองเฟ้นหาและคัดเลือก ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าของขวัญนี้ดีเยี่ยมพอให้องค์หญิงเจ็ดประทับใจหรือไม่ อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ได้รับความเกลียดชัง
หากของขวัญนั้นสามารถเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงเจ็ดได้ เมื่อนั้นสายตาที่มองมายังพวกเขาย่อมเปลี่ยนแปลงไป จักรพรรดิย่อมโปรดปรานพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน กระทั่งว่าจะมอบรางวัลให้เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น แม้การจัดเตรียมของขวัญเป็นเรื่องยากเพียงใด แต่ทุกปีเหล่าขุนนางต่างก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจคัดเลือกเฟ้นหามา เพื่อทำให้องค์หญิงเจ็ดยอมรับในตัวพวกตน
เพียงแต่เรื่องราวย่อมไม่ง่าย
“ได้ยินมาว่าองค์เหนือหัวพระประสงค์จะเฟ้นหาราชบุตรเขยให้แก่องค์หญิงเจ็ดในงานเลี้ยงคืนนี้ สงสัยนักว่าใช่เรื่องจริงหรือไม่” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยกระซิบกระซาบ
“ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นเดียวกัน เรื่องนี้สายลมคงไม่ได้ก่อตัวขึ้นเองเป็นแน่ ข้าเดาว่าต้องมีมูลความจริง”
“ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน ลองหันมองเสนาบดีโจวและเสนาบดีหลี่ รวมถึงพวกคนอื่นที่เหลือสิ พวกเขาต่างก็นำพาบุตรชายของจวนตนเองมา อีกทั้งยังเป็นคุณชายที่ยังไม่มีคู่ครองกันทั้งสิ้น” ขุนนางอีกคนหนึ่งกวาดตามองโถงหลัก พร้อมบอกกลุ่มคนที่ร่วมสนทนา
หลายคนต่างหันมองตาม และพบว่าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น