ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 340 มีนัยซ่อนเร้น
บทที่ 340 มีนัยซ่อนเร้น
บทที่ 340 มีนัยซ่อนเร้น
“เรื่องใดกันเพคะ?” องค์หญิงเจ็ดเอ่ยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“ดูลูกสิ ลูกก็โตแล้ว พี่ชายพี่หญิงทั้งหลายของลูกที่โตกันแล้วต่างก็แต่งงาน กระทั่งมีบุตร ตอนนี้เหลือเพียงลูกที่ยังไม่ได้แต่งงาน พ่อเลยอยากใช้โอกาสในงานวันนี้ เพื่อให้ลูกพิจารณามองหาราชบุตรเขยที่คู่ควร” จักรพรรดิชราเอ่ยคำขึ้น
เมื่อองค์หญิงเจ็ดได้ยินคำพูดของจักรพรรดิชรา นางถึงกับเงยหน้าขึ้นอย่างรุนแรงพร้อมจ้องตาอีกฝ่าย “เสด็จพ่อ ลูกจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้นเพคะ!”
“ไม่ได้!” จักรพรรดิชราตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นสตรีไม่แต่งงานได้อย่างไร? ไม่เช่นนั้นแล้ว ภายหน้าผู้ใดจะคอยดูแลลูก?”
“ข้าก็แค่อยู่กับเสด็จพ่อต่อไป เสด็จพ่อก็ดูแลข้าต่อไปสิเพคะ” องค์หญิงเจ็ดกล่าวตอบ
จักรพรรดิที่เผยสีหน้าขึงขังเปลี่ยนเป็นโอนอ่อนลง เขายื่นมือไปลูบศีรษะองค์หญิงเจ็ดพลางกล่าว “เด็กโง่ พ่อของลูกคนนี้ ไม่สามารถอยู่ดูแลเจ้าไปตลอดได้หรอกนะ มนุษย์เราเกิดมาต้องแก่ เจ็บ และตายไป แม้แต่พ่อของลูกเป็นโอรสสวรรค์ก็ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมดังกล่าวได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะอยู่กับลูกได้ตลอดไป”
“เสด็จพ่อ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้เพคะ?” องค์หญิงเจ็ดเอ่ยถามขณะมองจักรพรรดิชราด้วยความสับสน
จักรพรรดิชราเพียงยิ้มตอบรับ “ไม่มีอะไร พ่อของลูกแค่หวังให้ลูกได้พบราชบุตรเขยในเร็ววันเท่านั้น”
องค์หญิงเจ็ดไม่เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิจึงกล่าวเช่นนี้ ทว่าผู้อื่นนั้นราวกับเข้าใจความหมายนั้น
ได้ยินมาว่าสุขภาพของจักรพรรดิชรานับวันยิ่งเลวร้ายลง ทว่าผู้คนก็ยังได้เห็นว่าจักรพรรดิยังอยู่ดีมีสุขในทุกวัน ลมหายใจยังมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เชื่อข่าวลือทั้งหลายเหล่านั้น
แต่แล้ว ตอนนี้เมื่อได้เห็นจักรพรรดิชราเร่งเสาะหาราชบุตรเขยให้แก่องค์หญิงเจ็ด อีกทั้งยังกล่าวถึงเพียงนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องครุ่นคิดกันอีกครา
หรือข่าวลือก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องโกหก? สุขภาพของจักรพรรดิไม่ได้ดีดังเช่นที่เคยเป็น จึงทำให้ต้องเร่งเฟ้นหาราชบุตรเขยแก่องค์หญิงเจ็ดงั้นหรือ?
ยิ่งกลุ่มคนครุ่นคิดเท่าใด ก็พบว่าเรื่องราวดูเป็นไปได้มากเท่านั้น
ประเด็นนี้ทำให้ในใจของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ที่เดิมต้องการแค่ชมเรื่องราวเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวากันขึ้นมา
หากสุขภาพของจักรพรรดิชราเลวร้ายลง จนกระทั่งเกิดเรื่องเกินคาดขึ้น อาณาจักรอันยิ่งใหญ่เช่นเหยียนเฟิง ก็จำเป็นต้องมีจักรพรรดิคนใหม่เพื่อควบคุมภาพรวมของอาณาจักร ทว่าปัจจุบันจักรพรรดิยังไม่ได้แต่งตั้งองค์ชายผู้ใดเป็นรัชทายาท หมายความว่าไม่ว่าองค์ชายคนใดก็มีโอกาส
สำหรับบรรดาขุนนางทั้งหลาย มันเป็นทั้งโอกาสและวิกฤต
หากพวกเขาเลือกเดินได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นก็ย่อมได้โบยบินขึ้นสวรรค์ สถานะและตำแหน่งของพวกเขาจะก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ แต่ถ้ายืนผิดที่ผิดทาง ก็อาจจะหมดสิ้นทุกสิ่ง กระทั่งชีวิตก็คงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้
ไม่เลือกข้างก็สามารถทำได้ แต่หากไม่เลือก ก็จำเป็นต้องมีอำนาจยิ่งใหญ่ สามารถครองความยิ่งใหญ่ได้เพียงลำพัง หากไม่แล้ว ก็มีแต่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง หากว่าไม่เข้าหาองค์ชายเหล่านั้น ตัวองค์ชายเหล่านั้นเสียเองที่จะเข้าหาพวกเขาเพื่อหาทางเสริมอำนาจบารมีของตนเอง อีกทั้ง หากว่าไม่ต้องการเลือกข้าง เพื่อรอคอยเก็บเกี่ยวผลลัพธ์หลังจบศึก ก่อนจะถึงเวลานั้นก็อาจถูกสังหารทิ้ง ผู้อื่นที่เลือกยืนหยัดข้างที่ถูกต้อง จึงสามารถคว้าทุกสิ่งไปครอบครองได้
ดังนั้น การเปลี่ยนราชบัลลังก์จึงถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เบื้องบนของราชสำนักจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เรื่องราวใหญ่เพียงนี้ ย่อมไม่มีใครกล้าขาดซึ่งความระวัง อย่างไรแล้ว มันก็เกี่ยวพันถึงชีวิตของทั้งวงศ์ตระกูล
บรรดาองค์ชายทั้งหลาย หลังได้ยินคำพูดของจักรพรรดิชรา ไม่มากก็น้อยเริ่มคาดเดากันไปเรียบร้อยแล้ว ใจพวกเขากำลังเต้นเร็ว โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่คิดอยากครองราชบัลลังก์ตั้งแต่ต้น พวกเขายิ่งเลือดลมสูบฉีด กระทั่งเกิดความรู้สึกที่ร้องบอก ว่าในที่สุดช่วงเวลาที่รอคอยก็มาถึงเสียที
เพราะตอนนี้ยังไร้ซึ่งรัชทายาท ดังนั้นไม่ว่าใครในพวกเขาก็มีโอกาสทั้งสิ้น ทว่าบัลลังก์มีเพียงหนึ่งเดียว แค่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ก็สามารถอยู่เหนือผู้คนนับหมื่นแสนได้ ผู้ใดบ้างจะยินดีปล่อยโอกาสนี้ไป?
ในช่วงเวลาสั้น ๆ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างเกิดความคิดมากมายขึ้นในใจ จิตใจของพวกเขาตอนนี้ไม่ได้จดจ่อกับงานเลี้ยงอีกต่อไป แต่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า ส่วนเรื่องของอู๋ฝานที่ได้รับการอวยยศหนึ่งขั้นจากหนานเจี๋ยเป็นจื่อเจวี๋ยก่อนหน้านี้ พวกเขาลืมเลือนกันหมดสิ้นแล้ว
จื่อเจวี๋ยคนหนึ่งก็เป็นได้แค่นั้น ทั้งยังไม่ใช่คนที่อยู่เมืองหลวง หากเทียบกับเรื่องการผลัดเปลี่ยนราชบัลลังก์ มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจแม้แต่น้อย
แม้จักรพรรดิชราจะเกลี้ยกล่อมองค์หญิงเจ็ดอยู่ แต่หางตานั้นคอยมองสำรวจผู้คนอยู่ตลอด เขาคือจักรพรรดิผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี สายตาจึงไม่ได้ฝ้าฟาง ความคิดของบุตรชาย เขาเข้าใจดียิ่งกว่าผู้ใด ทว่ายามดูผู้คนที่ดวงตาทอประกายและเปลี่ยนการแสดงออกทางสีหน้า จักรพรรดิชราก็เดาได้ว่าในใจพวกเขากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
เมื่อเห็นท่าทีของกลุ่มคนเปลี่ยนแปลงไป จักรพรรดิจึงแค่นเสียงเย้ยหยันเย็นยะเยือกอยู่ในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
ตอนที่เขากล่าวคำพูดเหล่านั้นกับองค์หญิงเจ็ด นอกจากบอกกับนางแล้ว ยังเป็นการบอกผู้อื่นในที่นี้ด้วย เห็นได้ว่าเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่รวมถึงเหล่าองค์ชาย ต่างก็เข้าใจความหมายในประโยคที่เขากล่าวออกไปทั้งสิ้น
จักรพรรดิทราบสภาพร่างกายของตัวเองดี และเกรงว่าจะทนอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานซะด้วยซ้ำ ทว่าในบรรดาองค์ชายทั้งหมด กลับไม่มีผู้ใดที่ทำให้เขาพอใจได้สักคน ดังนั้นประเด็นเรื่องการกำหนดตัวรัชทายาทจึงล่าช้าเรื่อยมา
ตอนนี้เขาได้เตรียมเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการคัดเลือกตำแหน่งรัชทายาท รวมถึงตำแหน่งจักรพรรดิในภายหน้าแล้ว เขาจะทำให้เหล่าองค์ชายที่มีความคิดอยากครองบัลลังก์ต้องสู้กันเพื่อแย่งชิงมา และเจตนารมณ์นั้นได้ถ่ายทอดออกไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้วว่าจะมีความสามารถคว้าเอาการสนับสนุนมาได้เพียงใด ในการแข่งขัน ความสามารถ ตัวบุคคล และบุคลิกนิสัยของเหล่าองค์ชายจะถูกพิจารณาและไตร่ตรอง ทำให้เหล่าข้าราชบริพารได้รู้อย่างชัดเจนว่าควรต้องเลือกรับใช้ผู้ใด
ส่วนจักรพรรดิเช่นเขาจะคอยชมอยู่หลังม่านการแสดง คอยควบคุมสภาพความเป็นไปโดยรวม ประคองสถานการณ์บ้านเมือง ให้เหล่าองค์ชายแข่งขันกันเอง แต่มันก็จะต้องไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายกับอาณาจักร เนื่องจากตอนนี้อาณาจักรเหยียนเฟิงไม่ได้สงบสุขเช่นอดีต ปัญหาภายในและภายนอกต่างก็มีทั้งนั้น จักรพรรดิชราที่รู้เรื่องนี้ดี ย่อมไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วราชสำนักอาจไม่สามารถรองรับได้ไหว
“เสด็จพ่อเพคะ ไม่ใช่ท่านรับปากลูกเอาไว้แล้วหรือ ว่าการจะแต่งงานหรือไม่นั้น มันจะเป็นสิทธิ์ของตัวลูกเอง?” ภายในโถงกว้างใหญ่แห่งนี้ องค์หญิงเจ็ดกลับเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังไม่เข้าใจเจตนาและความหมายของจักรพรรดิชรา นางยังคงตัดพ้อกับเรื่องที่จักรพรรดิจะเลือกพระสวามีให้
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญว่าเหตุใดจักรพรรดิชราจึงโปรดปรานองค์หญิงเจ็ด แม้ค่อนข้างจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่นางก็มีจิตใจและความคิดอันเรียบง่าย นางเกิดในวังหลวง ได้รับการทะนุถนอมจิตใจอันบริสุทธิ์เอาไว้ เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย นางหาได้เหมือนองค์ชายองค์หญิงผู้อื่นที่เรียกร้องความสนใจและระดมสมองคิดอ่านวางแผนการทุกวิธีทาง
“พ่อรับปากลูกไว้แล้ว ดังนั้นจะไม่กลับคำพูดอย่างแน่นอน” จักรพรรดิชราเผยเสียงอ่อนโยนตอบรับ “เพราะเช่นนั้น พ่อเลยขอให้เหล่าขุนนางที่มาร่วมงานในวันนี้และมีความคิดเรื่องแต่งงาน พาคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์แต่ละตระกูลทว่ายังไม่ได้แต่งงานมาเข้าร่วมด้วย เพื่อให้ลูกได้เลือกด้วยตัวเอง ขอเพียงลูกชอบ เขาจะได้เป็นราชบุตรเขย!”
จักรพรรดิชรากล่าวออกมา เป็นการบอกให้เหล่าคนหนุ่มที่อยากจะเป็นพระสวามีขององค์หญิงเจ็ดในห้องโถงใหญ่ลุกขึ้นมายืน พร้อมเรียงแถวกันเข้ามาให้องค์หญิงเจ็ดคัดเลือกด้วยตัวเอง