ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 349 ความร่วมมือที่สมบูรณ์แบบ
บทที่ 349 ความร่วมมือที่สมบูรณ์แบบ
บทที่ 349 ความร่วมมือที่สมบูรณ์แบบ
ความแข็งแกร่งของอู๋ฝานไม่ใช่อะไรที่เจ้าเสวี่ยอี๋จะเทียบได้ เขาออกแรงเพิ่มอีกเล็กน้อย ก็หลุดพ้นจากมือของหญิงสาวได้แล้ว อีกทั้งระยะการเคลื่อนไหวก็ไม่ได้กว้างมากแต่อย่างใด
เจ้าเสวี่ยอี๋ยังคงยิ้มแย้ม ประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ขณะที่อู๋ฝานอดรู้สึกในใจไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เก่งการแสดงจนเกินไปแล้ว
การกระทำของอู๋ฝานนั้นผู้อื่นย่อมเห็นเช่นเดียวกัน เขาที่ลำบากใจเล็กน้อย จึงยิ้มกลบเกลื่อนออกมา
อู๋ฝานรู้ดีว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เพราะเจ้าเสวี่ยอี๋เพิ่งแนะนำเพื่อนร่วมรุ่นคนนี้เป็นมั่นเป็นเหมาะ จะให้เขาพูดออกมาว่าไม่ใช่เพื่อนร่วมรุ่นของเธอได้อย่างไร?
“เสวี่ยอี๋ ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีอดีตเพื่อนร่วมชั้นเป็นคนหนุ่มดาวรุ่งขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ในบริษัทมีคนตามจีบเธอตั้งมากขนาดนั้น กลับเฉยชาใส่ได้ซะทุกคน”
“ใช่แล้ว เป็นทั้งเถ้าแก่ร้านโลกในแหวนและยังหล่อเหลาขนาดนี้ เสวี่ยอี๋โชคดีจนน่าอิจฉาจริง ๆ”
กลุ่มเพื่อนร่วมงานต่างเอ่ยชมเจ้าเสวี่ยอี๋ คำพูดของพวกเขาที่ผ่านหูของอู๋ฝานย่อมดูผิดแปลกไป พร้อมทั้งยังรู้สึกว่ากำลังเข้าใจผิดบานปลาย
ขณะที่เจ้าเสวี่ยอี๋ทำเพียงแต่ยิ้มตอบรับคำพูดเหล่านั้น ทั้งยังไม่โต้แย้งอะไร ราวกับกำลังเห็นว่ามันก็เป็นอย่างที่ว่ามา
“คุณหนูเจ้า ไม่คิดเลยว่าเธอกับเถ้าแก่อู๋จะมีสัมพันธ์กันแบบนี้ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่บอกให้รู้บ้างเลยล่ะ” ตอนนี้เองที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนร่วมงานของเจ้าเสวี่ยอี๋ พูดขึ้นมา แม้คำพูดนั้นราวกับจะตำหนิหญิงสาว แต่สีหน้าท่าทีกลับกำลังยกยอปอปั้น
“ผู้จัดการหลิวรู้จักอู๋ฝานด้วยเหรอคะ?” เจ้าเสวี่ยอี๋เกิดประหลาดใจขึ้นมา
“แน่นอนอยู่แล้วครับ สถานะของนายน้อยอู๋ในเจียงโจวเป็นยังไง ทุกวันนี้น้อยคนที่จะไม่รู้จักนายน้อยอู๋” ชายวัยกลางคนตอบกลับ หลังจากนั้น เขาจึงเป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามาสานสัมพันธ์กับอู๋ฝาน “ยินดีที่ได้พบนายน้อยอู๋ครับ ผมหลิวเฟย เป็นผู้จัดการของเครือถงรุ่ย”
“สวัสดีครับ” เมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาทักทายตามมารยาทแล้ว อู๋ฝานย่อมไม่อาจปฏิเสธ
เครือถงรุ่ย อู๋ฝานเคยได้ยินมาก่อน อีกฝ่ายเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในเจียงโจว ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหลากหลายวงการ แต่อู๋ฝานไม่เคยได้เกี่ยวข้องกับใครในเครือบริษัทนี้มาก่อน
หลังหลิวเฟยและอู๋ฝานจับมือกันแล้ว หลิวเฟยจึงมองเจ้าเสวี่ยอี๋พร้อมเอ่ยคำ “คุณหนูเจ้า ในเมื่อเธอกับนายน้อยอู๋มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขนาดนี้ ดังนั้นเรื่องความร่วมมือก็ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวล พรุ่งนี้พวกเราสามารถทำสัญญากันได้เลย นำสัญญามาที่บริษัทของเราในวันพรุ่งนี้ก็พอ”
“จริงเหรอคะ? ขอบคุณผู้จัดการหลิวมากค่ะ” เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเฟย เจ้าเสวี่ยอี๋จึงแสดงสีหน้ายินดีออกมา เพื่อนร่วมงานของเธอเองก็แสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาไม่ต่างกัน
เพื่อการลงนามสัญญาที่สำคัญครั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาพวกเธอจำเป็นต้องแวะเวียนไปเครือถงรุ่ยอยู่บ่อยครั้ง หลิวเฟยเป็นคนที่ดูแลรับผิดชอบโครงการที่เกี่ยวข้องในเครือถงรุ่ย พวกเธอจึงต้องติดต่อกับอีกฝ่ายอยู่หลายครั้งครา แม้เขาจะพูดคุยด้วยดีมาตลอด แต่กลับไม่มีทีท่าสนใจทำสัญญา เจ้าเสวี่ยอี๋และคนอื่นก็พอเข้าใจเรื่องได้ อย่างไรแล้วก็ไม่ได้มีบริษัทที่อยากร่วมมือกับเครือถงรุ่ยเพียงแค่หนึ่งแห่ง ถ้าพวกเขาก้าวเข้าหา บริษัทอื่นก็ก้าวเข้าหาเช่นเดียวกัน หลิวเฟยที่เป็นตัวแทนเครือถงรุ่ยจึงไม่ได้เร่งรีบตัดสินใจแต่อย่างใด
เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่การได้เห็นว่าความร่วมมือยังไม่คืบหน้า เจ้าเสวี่ยอี๋และเพื่อนร่วมงานต่างก็ร้อนใจ แต่ก็ไม่คิดมาก่อนว่าตอนนี้หลิวเฟยจะเป็นฝ่ายออกปากพูดเรื่องสัญญาขึ้นมาด้วยตัวเอง ทั้งยังแสดงท่าทีชัดว่าพร้อมลงนามทำสัญญา อย่างนั้นแล้วจะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไรไหว
แต่ในใจของกลุ่มคนทราบดีว่าสาเหตุที่หลิวเฟยเปลี่ยนท่าทีถึงขนาดนี้ มันเกี่ยวข้องกับอู๋ฝาน ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาพยายามอย่างหนักขนาดไหน ก็ยังเป็นเรื่องยากด้วยซ้ำที่จะคาดหวังให้โครงการนี้ได้ไปต่อ
เจ้าเสวี่ยอี๋มองอู๋ฝานด้วยสายตาซับซ้อน สาเหตุที่เลือกทานมื้อค่ำที่นี่วันนี้ ก็เป็นการจัดเตรียมของเธอเอง เธอมองว่าการที่อีกฝ่ายสามารถเปิดร้านที่ใหญ่ขนาดนี้ในเจียงโจวได้ ย่อมต้องมีเส้นสายประมาณหนึ่ง ตนต้องการใช้สายสัมพันธ์ที่มีกับชายหนุ่มและอยากลองดูว่ามันจะได้ผลอะไรกับหลิวเฟยหรือไม่ ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงพยายามเชิญอู๋ฝานมาร่วมทานอาหารเย็นหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาก็จะปฏิเสธตลอดเพราะว่ามีเรื่องยุ่งต้องจัดการ
เธอไม่ได้คาดว่าที่นี่วันนี้จะได้พบกับอู๋ฝาน อีกทั้งชายหนุ่มยังช่วยให้เธอทำสัญญาได้สำเร็จจริง ๆ ที่ทำเธอตกใจยิ่งกว่าคือการที่เขาแค่แสดงตัว ไม่ได้ช่วยพูดอะไรแม้แต่น้อย หลิวเฟยที่แห้งแล้งมาตลอด กลับเป็นฝ่ายออกปากเรื่องทำสัญญากับพวกเขาซะเอง มันมากพอแสดงให้เห็นความสามารถอันแข็งแกร่งของอู๋ฝาน และน้ำหนักที่มีผลมากต่อการตัดสินใจ
‘นี่ยังใช่อู๋ฝานคนที่เคยรู้จักรึเปล่า? เวลาเพียงแค่หนึ่งปี ทำไมเขาก้าวหน้าได้ขนาดนี้?’ เจ้าเสวี่ยอี๋กำลังสงสัยอู๋ฝานอยู่ในใจ เธอยังจำได้ว่าหลังพยายามโทรหาหลายครั้ง อีกฝ่ายกลับไม่คิดสนใจจะตอบหรือพูดคุยด้วย หญิงสาวย่อมรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังจงใจเว้นระยะห่าง
‘เว้นระยะห่าง? ฉันจะเปลี่ยนความคิดนายเอง!’ เจ้าเสวี่ยอี๋ตัดสินใจอย่างหนักแน่นอยู่ในใจ
“ขอบคุณอะไรกัน ยังไงสัญญานี้ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับ หวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้ร่วมมือกันด้วยดีก็พอแล้ว” หลิวเฟยเผยยิ้มรับคำ
เจ้าเสวี่ยอี๋และคนอื่นลอบสบถอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะอู๋ฝานก็คงไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่
“ต้องร่วมมือต่อกันด้วยดีแน่ค่ะ” เจ้าเสวี่ยอี๋เอ่ยตอบรับ
“นายน้อยอู๋ ผมยังมีธุระอื่นต้องไปจัดการ ดังนั้นขอตัวก่อนครับ” หลิวเฟยบอกกับอู๋ฝานด้วยความสุภาพ น้ำเสียงที่พูดนอบน้อมอย่างเห็นได้ชัด มันแตกต่างจากที่ใช้พูดคุยกับพวกเจ้าเสวี่ยอี๋อย่างสิ้นเชิง
“ครับ” อู๋ฝานตอบรับสั้น ๆ
อู๋ฝานไม่ใช่คนโง่ ในใจเขาพอเดาได้แล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แต่เขาไม่ได้อธิบายออกไป เพราะมันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย
หลิวเฟยมองทางเจ้าเสวี่ยอี๋ ก่อนจะรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ สุดท้ายจึงหันกลับและจากไป
จริง ๆ แล้ว ข้อมูลที่พวกเจ้าเสวี่ยอี๋ได้มานั้นถูกต้องแล้ว นอกจากบริษัทของพวกเขา ก็ยังมีบริษัทอื่นพยายามแย่งข้อตกลงทางธุรกิจครั้งนี้ บริษัทอื่นพยายามเสนอตัวคว้าความร่วมมือกับเครือถงรุ่ยเอาไว้ เงื่อนไขที่พวกเขาเสนอมาย่อมคล้ายคลึงกัน แต่เพราะมีบริษัทมากมาย ข้อเสนอที่ได้รับจึงมีส่วนเล็กน้อยที่แตกต่างออกไปบ้าง แน่นอนว่ายังมีบริษัทอื่นที่ให้ข้อเสนอดีกว่าของพวกหญิงสาว
สำหรับหลิวเฟย การร่วมมือกับบริษัทใดก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ที่จริงร่วมมือกับบริษัทใดก็ได้ทั้งนั้น สาเหตุที่เขาเลือกเฉยเมยกับกลุ่มของเจ้าเสวี่ยอี๋ ก็เพราะต้องการดูว่าจะสามารถรีดผลประโยชน์ใดเพิ่มขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะกับหญิงสาวที่เป็นคนสวย และมีรูปร่างที่ดูดี หากใช้โอกาสนี้หาเศษหาเลยจากอีกฝ่าย ทั้งมีอะไรด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีกว่าเหรอ?
แต่หลังจากได้เห็นว่าเจ้าเสวี่ยอี๋และอู๋ฝานมีสัมพันธ์ต่อกันเช่นไร ความคิดเหล่านั้นของเขาจึงมอดดับลง ชายหนุ่มคือใคร เขารู้ดี เพียงแค่เส้นสายทั้งหลายในเจียงโจวก็ไม่ใช่อะไรที่เขาจะเปรียบเทียบได้แล้ว กระทั่งเถ้าแก่ของเครือถงรุ่ย หากเจออีกฝ่ายก็ยังต้องไว้หน้าซะด้วยซ้ำ พวกเขาที่คิดอยากมีอะไรกับผู้หญิงของอู๋ฝาน ก็แทบไม่ต่างอะไรกับแส่หาความตาย
เรื่องที่ดีก็คือเขายังไม่ได้ทำอะไรลงไป ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจรอดชีวิตแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหลิวเฟยเข้าใจความสัมพันธ์ของอู๋ฝานและเจ้าเสวี่ยอี๋ผิดไป ทว่าหญิงสาวจงใจทำให้มันดูเป็นแบบนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
หลังหลิวเฟยกลับไปแล้ว กลุ่มเพื่อนร่วมงานของเจ้าเสวี่ยอี๋ต่างก็หาข้ออ้างแยกย้ายกันไป เหลือทิ้งไว้เพียงหญิงสาว ตอนพวกเขากลับกันไป ยังขยิบตาให้เธอด้วยซ้ำ
——————————