ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 382 กัวจื่อหมิงผิดหวัง
บทที่ 382 กัวจื่อหมิงผิดหวัง
บทที่ 382 กัวจื่อหมิงผิดหวัง
ใบหน้าของอู๋ฝานเผยรอยยิ้มเปี่ยมสุข อย่างไรพระราชโองการนี้ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา และรางวัลที่ได้รับก็ยังมากมาย อีกทั้งเมื่อใดไปเยือนเมืองหลวงจะได้รับที่ดินศักดินา ไม่แปลกหากชายหนุ่มจะรู้สึกดีใจ
แม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการในหมู่บ้านเร้นลับ ทว่ามันก็ไม่ใช่การยอมรับอย่างเป็นทางการ และกับหัวหน้าหมู่บ้าน ก็เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์เชิงร่วมมือ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ของเขา ตนแค่ครอบครองอำนาจในการพัฒนาสถานที่ แต่ไม่ใช่เจ้าของ อีกทั้งในระหว่างการพัฒนา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรที่เป็นการทำให้คนในหมู่บ้านเดือดร้อนได้
ทว่าที่ดินศักดินานั้นต่างออกไป ทุกสิ่งภายในพื้นที่ศักดินาจะขึ้นอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว แม้ที่ดินยังคงเป็นของจักรพรรดิ แต่ตนก็ไม่ต่างอะไรกับจักรพรรดิในที่ดินศักดินา ไม่ว่าคิดทำอะไรก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
เห็นได้ชัดว่าอู๋ฝานยังไม่รู้เรื่องของที่ดินศักดินาของอาณาจักรเหยียนเฟิง ทำให้มองโลกในแง่ดีไปค่อนข้างมาก
แม้จะยินดี แต่ในใจก็เกิดนึกสงสัย เขารู้สึกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่าการไปที่เมืองหลวงครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การพระราชทานที่ดินศักดินาเพียงอย่างเดียว เพราะพระราชโองการก็มาถึงที่นี่แล้ว ยังมีเหตุอะไรที่จักรพรรดิต้องการเจอเขาต่อหน้าอีก?
แต่ข้อสงสัยนี้ไม่มีใครช่วยตอบให้ได้ แม้กระทั่งมหาขันทีผู้นำพระราชโองการมามอบให้ก็ยังไม่ทราบ
ในเมื่อคาดเดาไม่ได้ อู๋ฝานจึงไม่สนใจมันอีก อย่างไรไว้ไปถึงเมืองหลวงก็ได้ทราบ และตอนนี้ที่นี่เขาก็ยังมีเวลาอีกค่อนข้างมาก ทั้งยังนึกสงสัยด้วยว่าเมืองหลวงของอาณาจักรเหยียนเฟิงเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงคิดอยากไปชมสักครั้ง
ก่อนออกเดินทาง อู๋ฝานได้เตรียมของหลายอย่างไว้ อีกทั้งยังไปจับสัตว์เลี้ยงล้ำค่ามาจากป่าด้านหลังภูเขา ชายหนุ่มนำพวกมันติดตัวร่วมทางไปด้วยจำนวนหนึ่ง เพราะมีแมวเมฆหิมะ จึงจับตัวสัตว์เลี้ยงทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย
นอกจากสัตว์เลี้ยง อู๋ฝานที่เพิ่งบ่มเหล้าองุ่นสำเร็จจึงนำไปด้วยส่วนหนึ่ง เทศมณฑลชิงหยวนอย่างไรก็เป็นเพียงเทศมณฑล แม้จะมีตลาดใหญ่โต แต่การขายเหล้าองุ่นเพียงแค่ที่นี่นั้นไม่มากพอจะขยับขยายทางการเงิน ดังนั้นเมืองหลวงของอาณาจักรเหยียนเฟิงจึงเหมาะสมกว่า เมืองใหญ่ที่มีประชากรคับคั่ง ย่อมเป็นตลาดการค้าที่ชายหนุ่มไม่คิดมองข้าม
นอกจากเหล้าองุ่นและชาตื่นรู้ อู๋ฝานก็ยังเตรียมของไว้อีกเล็กน้อย เป็นการเตรียมขายในจำนวนมากเสียด้วยซ้ำ เพราะตลาดในเมืองหลวงคือโอกาสที่ไม่อาจพลาดได้
อู๋ฝานที่ต้องจัดการเรื่องราวทั้งหลายและพกของติดตัวไปด้วย โชคดีที่ครอบครองกระเป๋าและถุงมิติ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถนำสิ่งของมากมายร่วมทางไปได้
“นายท่าน การเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงครั้งนี้คงไม่ง่ายนัก ดังนั้นพวกเราขอติดตามท่านไปด้วยขอรับ” หนิวเอ้อเอ่ยขึ้น
ระยะห่างจากที่นี่จนถึงเมืองหลวงไม่ใช่ใกล้ ๆ อีกทั้งตอนนี้อาณาจักรเหยียนเฟิงก็กำลังโกลาหลเพราะกองทัพกบฏ จึงเป็นไปไม่ได้ที่อู๋ฝานจะสามารถหลบเลี่ยงไปตลอดการเดินทางได้ ซ้ำร้ายยังมีหน่วยลาดตระเวนของโลกอสูรอยู่ด้วย พวกมันอันตรายกว่าทัพกบฏหลายเท่า
“ไม่เป็นไร ทุกคนอยู่ที่นี่และคอยเฝ้าระวังแทนข้าด้วย ที่นี่คือบ้านของพวกเรา ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น” อู๋ฝานปฏิเสธกลับไป
อู๋ฝานไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของตน เพราะมีไพ่ในมือให้ใช้มากมาย การรักษาเอาชีวิตรอดจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกทั้งต่อให้เจออุบัติเหตุใดเข้า เขาก็ยังมีสถานะผู้เล่นที่เป็นไพ่ใบสุดท้าย ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นอะไร
หากพูดถึงเรื่องความปลอดภัยแล้ว อู๋ฝานกังวลเกี่ยวกับหมู่บ้านเร้นลับมากกว่า หากจะกล่าวว่าที่นี่เป็นฐานของเขาก็ไม่ผิด ดังนั้นตนจึงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่ โดยเฉพาะกับตอนที่ตนเองไม่อยู่ การคุ้มกันและเฝ้าระวังหมู่บ้านเร้นลับจึงมีความสำคัญมากที่สุด
“แต่ว่า นายท่าน…” เสี่ยวลิ่วเผยความกังวลออกมา
“ข้าไม่เป็นไร” อู๋ฝานตอบกลับ
“นายท่าน เหตุใดไม่ให้ลั่วหยางกับลั่วเยวี่ยติดตามไปด้วยล่ะขอรับ เดินทางด้วยกันสามคนย่อมดีกว่า อย่างน้อยนายท่านก็มีคนให้เรียกใช้งานได้” หวังปิงเอ่ยขึ้น
“ข้าเห็นด้วยขอรับ พวกคนของทางการที่เทศมณฑลมักมีผู้ใต้บัญชาร่วมทางไปไหนมาไหนด้วย ครั้งนี้นายท่านเดินทางไปเมืองหลวง ทั้งยังมีสถานะเป็นจื่อเจวี๋ย หากไม่มีผู้ติดตาม เกรงว่าจะเป็นการทำตัวไม่สมสถานะขอรับ” เสี่ยวลิ่วร่วมเห็นพ้อง
ลั่วเยวี่ยกับลั่วหยางต่างก็มองอู๋ฝานด้วยความคาดหวัง เห็นได้ชัดว่าต้องการติดตามร่วมทางไปกับชายหนุ่ม ขณะครุ่นคิด เขาก็พบว่าคำพูดเหล่านั้นสมเหตุสมผล การมีคนร่วมทางไปด้วยและคอยจัดการงานเล็กน้อยให้ อย่างไรก็สบายกว่าไม่ใช่หรือ?
“ก็ได้ ให้ลั่วหยางกับลั่วเยวี่ยร่วมทางไปเมืองหลวงด้วยก็แล้วกัน” อู๋ฝานรับคำ
“รับบัญชานายท่าน!” ลั่วหยางและลั่วเยวี่ยต่างรับคำด้วยสีหน้าสดใส
ขณะฝั่งอู๋ฝานกำลังช่วยจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางไปเมืองหลวงด้วยความยินดีอยู่นั้น กัวจื่อหมิงผู้ปกครองเทศมณฑลชิงหยวนกลับเผยสีหน้าดำมืด
นับตั้งแต่ส่งภาพคัดลายมือเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่องค์หญิงเจ็ด กัวจื่อหมิงก็รอข่าวจากเมืองหลวงมาโดยตลอด เขาค่อนข้างพอใจกับของขวัญที่จัดเตรียมครั้งนี้ไม่น้อย ทั้งยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจได้
และวันนี้ ทางเมืองหลวงก็ส่งข่าวกลับมา เป็นมหาขันทีและหน่วยทหารม้าที่มาส่งข่าว กัวจื่อหมิงที่ได้ทราบจึงกระวีกระวาดด้วยความเร่งร้อน หลังอาบน้ำชำระกายจนสะอาดผุดผ่อง เขาก็เผยสีหน้ายิ้มแย้มออกไปต้อนรับคณะเดินทางที่นำพระราชโองการมาจากเมืองหลวง
ทว่าเขากลับต้องผิดหวังและประหลาดใจ ที่คณะเดินทางไม่ได้นำพระราชโองการมาที่นี่!
สิ่งที่เขารอคอยคือพระราชโองการจากจักรพรรดิ ทว่าพระราชโองการฉบับนี้ไม่ใช่คำชื่นชม แต่เป็นคำตำหนิติเตียน กล่าวว่าฝีมือไม่ได้เรื่อง ภาพคัดลายมือแย่ยิ่งกว่าไก่เขี่ย อีกทั้งยังต่อว่าที่ไม่ใส่ใจคิดหาของขวัญที่จะทำให้องค์หญิงเจ็ดพึงพอใจได้
กระทั่งว่าเป็นการดูหมิ่นไม่ให้เกียรติต่อราชวงศ์ ท้ายที่สุดก็สั่งลงโทษงดเงินเดือนครึ่งปี
ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้?
กัวจื่อหมิงที่เผชิญหน้ากับคำตำหนิจากจักรพรรดิ กลายเป็นรูปปั้นแข็งทื่อยืนมึนงง เขาไม่ทราบว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าของขวัญนั้นควรจะทำให้องค์หญิงเจ็ดพึงพอใจหรอกหรือ ตนคิดอยู่นานด้วยซ้ำว่าจะส่งของขวัญอะไรไปให้ สุดท้ายจึงตัดสินใจเป็นภาพคัดลายมือ มันไม่ใช่แสดงถึงความจริงใจและตั้งใจหรอกหรือ?
อีกทั้ง เพราะเหตุใดพระราชโองการจึงตำหนิภาพคัดลายมือของเขาเสียเลวร้าย ไม่ใช่ว่ามันต้องยอดเยี่ยมหรืออย่างไร?
กัวจื่อหมิงที่คุกเข่ารับพระราชโองการตัวนิ่งแข็งค้าง ขันทีที่อ่านพระราชโองการจากไปโดยไม่สนใจท่าทีตอบรับ ประหนึ่งมองข้ามก็ไม่ปาน
หลังผ่านไปนาน กัวจื่อหมิงจึงหันกลับไปมองที่ปรึกษาของตน “ที่ปรึกษา ภาพคัดลายมือของข้าเลวร้ายงั้นหรือ?”
“เรื่องนั้น…” คำถามนี้แม้เป็นที่ปรึกษาก็ยากเกินจะตอบได้ ทว่าสุดท้ายแม้ลังเลก็ยังกล่าวออกมา “บางทีอาจเป็นเพราะองค์หญิงเจ็ดไม่ทราบถึงความงดงามของผลงานขอรับ อย่างไรองค์หญิงเจ็ดก็เป็นสตรี อาจไม่ได้ให้ความสนใจกับภาพคัดลายมือขอรับ”
“ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่!” คำพูดของที่ปรึกษาทำให้กัวจื่อหมิงกระจ่าง ราวกับความมั่นใจฟื้นกลับคืนมาเต็มร้อย “ข้ามันโง่เอง น่าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้ สตรีเช่นองค์หญิงเจ็ดไฉนเลยจะชื่นชอบการอ่านเขียน? การที่ข้าส่งผลงานชิ้นเอกเช่นนั้นไปให้ คงทำให้องค์หญิงนึกรำคาญใจเสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุนั้นจึงไม่พอใจจนต่อว่าสาดเสียเทเสียใส่ผลงานของข้า!”
ยิ่งกัวจื่อหมิงกล่าวออกมามากเท่าใด เสียงก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น ทั้งร่างราวกับกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ที่ปรึกษาจึงยืนเฉย กระทั่งลอบปาดเหงื่อจากหน้าผาก เพราะในที่สุดเรื่องชวนลำบากใจก็ผ่านพ้นไปได้
“จะว่าไปแล้ว… เหมือนเมื่อครู่ข้าได้ยิน ขันทีผู้นั้นกล่าวว่าจะรีบไปประกาศพระราชโองการต่องั้นหรือ?” ขณะที่ปรึกษาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก กัวจื่อหมิงที่นึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม