ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 383 เริ่มออกเดินทาง
บทที่ 383 เริ่มออกเดินทาง
บทที่ 383 เริ่มออกเดินทาง
“ข้าน้อยก็ได้ยินเช่นเดียวกันขอรับ” ที่ปรึกษารับคำ
“มีใครนอกจากข้าในเทศมณฑลชิงหยวนที่ควรค่าพอได้รับพระราชโองการอีกงั้นหรือ?” กัวจื่อหมิงเริ่มขมวดคิ้ว
กัวจื่อหมิงคือผู้ปกครองเทศมณฑลชิงหยวน เป็นคนที่มีสถานะสูงสุดที่นี่ หากองค์เหนือหัวมีพระราชโองการมาที่นี่ก็สมควรต้องเป็นเขา ไม่น่าจะมีใครครอบครองคุณสมบัติเทียบเท่าได้
แต่เมื่อครู่มหาขันทีแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องเร่งรีบไปประกาศพระราชโองการ หลังถ่ายทอดพระราชโองการตำหนิแล้ว อีกฝ่ายก็รีบเดินทางไป เช่นนั้นนับเป็นเรื่องใดกัน?
“นายท่าน ใช่หนานเจี๋ยหรือไม่ขอรับ?” ที่ปรึกษานึกขึ้นมาได้
“หนานเจี๋ย? ใคร?” กัวจื่อหมิงเอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัว แต่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ “หรือหมายถึงอู๋ฝานอะไรนั่น?”
“นายท่านช่างปราดเปรื่อง” ที่ปรึกษาได้แต่รับคำด้วยความนอบน้อม
“ก็แค่คนดาษดื่นคนหนึ่ง องค์เหนือหัวจะมีพระราชโองการใดไปถ่ายทอด?” กัวจื่อหมิงตอบกลับ เพราะไม่เชื่อว่ามหาขันทีคนเมื่อครู่จะเตรียมไปถ่ายทอดพระราชโองการให้อู๋ฝาน
“แม้เป็นคนโง่นั่น แต่ก็ยังเป็นขุนนางคนหนึ่งสินะ” กัวจื่อหมิงพึมพำ
“เป็นแค่หนานเจี๋ยต่ำต้อยแท้ ๆ” กัวจื่อหมิงเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง ทว่าดวงตากลับเผยความริษยาเด่นชัด แม้จะเป็นหนานเจี๋ยที่บรรดาศักดิ์ต่ำต้อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ใครก็ตามสามารถครอบครองได้ อย่างน้อยก็ตัวเขา
“ขอรับ ขอรับ นายท่านกล่าวได้ชัดเจน!” ที่ปรึกษาไม่กล้าเอ่ยคำใดเพราะเกรงจะทำกัวจื่อหมิงไม่พอใจขึ้นมา
แม้กัวจื่อหมิงจะมองว่าผู้ได้รับพระราชโองการไม่น่าจะใช่อู๋ฝาน แต่ในใจก็สงสัยและคาใจอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเขายังนึกสงสัยความจริงที่ว่า ในพื้นที่แถบนี้ยังมีใครเหมาะสมที่จะได้รับพระราชโองการจากจักรพรรดิอีก ดังนั้นจึงเอ่ยกับที่ปรึกษาขึ้นมา “จงไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ขันทีคนเมื่อครู่ที่เพิ่งอ่านพระราชโองการไป ไปสืบมาว่าเขามุ่งหน้าไปที่ใด และใครเป็นผู้รับพระราชโองการ รวมถึงสืบเนื้อหาของพระราชโองการมาด้วย”
“ขอรับนายท่าน” ที่ปรึกษาตอบรับ เพราะการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ใช่งานยาก
อู๋ฝานที่ยุ่งกับจัดการเรื่องราวอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เตรียมสิ่งที่ต้องการนำไปด้วยจนครบถ้วน เพราะเป็นการเดินทางไกล อีกทั้งยังมีลั่วเยวี่ยกับลั่วหยางร่วมทางไปด้วย แม้เขาจะสามารถขนของไปได้มากมาย แต่การแสดงออกว่าสามารถเก็บของเข้ากระเป๋าหลังนั้นไม่อาจทำได้ ดังนั้นจึงต้องเตรียมฉากหน้าเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ไปซื้อรถลากจากร้านขายของชำ ก่อนคนทั้งสามจะเริ่มออกเดินทางโดยมีพวกหนิวเอ้อตามมาส่ง
“นายท่าน เมืองหลวงห่างไกลจากที่นี่เพียงใดขอรับ? ที่นั่นมีคนอยู่มากมายหรือไม่? จะมีอะไรน่าสนุกให้ทำบ้างหรือไม่? องค์เหนือหัวผู้เป็นจักรพรรดิจะมีหน้าตาเช่นไรขอรับ? เล่าขานกันว่าอีกฝ่ายเป็นองค์ชายมังกร ใช่เรื่องจริงหรือไม่ขอรับ?” หลังคนทั้งสามออกเดินทาง ลั่วหยางก็ไม่อาจอดกลั้นคำถามได้ เด็กชายโพล่งความสงสัยทั้งหมดออกมาถามอู๋ฝาน
ลั่วหยางถือว่ายังเด็ก ไม่แปลกหากจะมีชีวิตชีวาเหมือนดังเช่นเสี่ยวลิ่ว ทว่าปกติมักจะอยู่เพียงลำพัง หรือไม่ก็เดินทางไปมากับหวังปิง จึงทำให้ดูสงบนิ่งและคล้ายเป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยมีโอกาสได้เผยด้านของเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวา มีแต่ทุกครั้งที่กลับมายังหมู่บ้านเร้นลับและไปเจอพี่สาว เขาจึงจะแสดงด้านความเป็นเด็กหนุ่มที่คึกคักออกมา
ตอนนี้เมื่อเดินทางโดยรถลากเพียงแค่สามคน มีเพียงตัวเขา พี่สาว และอู๋ฝาน เพราะสัมพันธ์ที่ดีกับพี่สาว อีกทั้งอู๋ฝานยังวางตัวดีเข้าถึงง่ายมาโดยตลอด เด็กชายจะผ่อนคลายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จนสุดท้ายก็เผยด้านความคึกคักอยากเห็นโลกออกมา
“ขับรถลากให้ดี จะถามอะไรมากมายนัก นายท่านต้องการพักผ่อน” ลั่วเยวี่ยที่อยู่ด้านในรถลากเอ่ยเตือนน้องชาย
“ไม่เป็นไร เด็กก็แบบนี้ มีความสงสัยอยากรู้อยากเห็น” อู๋ฝานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ลั่วเยวี่ยยิ้มตอบรับ “แต่ว่านะ ลั่วหยาง ข้าคงตอบคำถามของเจ้าไม่ได้ เพราะข้าก็เพิ่งเคยไปเมืองหลวงเป็นครั้งแรกเช่นกัน ทำให้ไม่ทราบข้อมูลของที่นั่นแม้แต่น้อย หากสงสัยเจ้าก็คงต้องรอไปพบด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลาก็สำรวจเท่าที่ใจอยากเถอะ”
อู๋ฝานไม่ใส่ใจกับท่าทีของลั่วหยาง กระทั่งรู้สึกว่าไม่เครียดดีด้วยซ้ำ เพราะลั่วเยวี่ยมักทำเหมือนเขาเป็นเจ้านายผู้สูงส่ง ทำให้บางครั้งชายหนุ่มก็รู้สึกอึดอัดใจกับสถานะอยู่พอสมควร
“นายท่าน พวกเราจะอยู่ที่เมืองหลวงนานเท่าใดขอรับ?” เมื่อลั่วหยางเห็นอู๋ฝานไม่ต่อว่า จึงยิ่งมีความกล้าเอ่ยถาม ส่วนเรื่องที่พี่สาวต่อว่า เขาไม่คิดเก็บมาใส่ใจ เพราะทราบดีว่าพี่สาวรักตนเองที่สุด เด็กน้อยเช่นเขากลัวเพียงแค่ว่าชายหนุ่มจะไม่พอใจหรือไม่
“ตอบยากเหมือนกัน เดาว่าคงขึ้นอยู่กับเรื่องที่องค์จักรพรรดิต้องการเจอข้านั่นแหละนะ” อู๋ฝานตอบกลับ ครั้งนี้เขารู้สึกว่าการที่จักรพรรดิเรียกตนเองเข้าเมืองหลวง มันจะต้องไม่ใช่แค่การพูดคุยเรื่องที่ดินศักดินา “แต่คิดว่าพวกเราคงจะไม่ต้องอยู่นานมากนักหรอก”
หมู่บ้านเร้นลับกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาครั้งใหญ่ สภาพแวดล้อมยังไม่ถือว่าปลอดภัย ในใจอู๋ฝานยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องทางฝั่งนั้น อย่างไรหมู่บ้านเร้นลับก็คือฐานของเขาในโลกฝั่งนี้ ชายหนุ่มไม่อาจยอมรับความสูญเสียดังกล่าวได้ ยังไม่กล่าวว่าที่แห่งนั้นมีสมบัติและทรัพยากรมากมาย ดังนั้นตนจะไม่มีทางทอดทิ้งที่นั่น หากการเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาก็ไม่คิดเสียเวลานานจนเกินควร
“นายท่าน ช่วงหลังมานี้ท่านเหนื่อยล้ามากแล้ว ให้ข้านวดไหล่ให้ดีหรือไม่ขอรับ” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่เป็นไร” อู๋ฝานตอบกลับ
“นายท่าน อย่างไรในรถลากนี่ก็ไม่มีอะไรให้ข้าทำ ให้ข้านวดผ่อนคลายก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะเจ้าคะ” ลั่วเยวี่ยยังคงยืนกราน
“อา… ก็ได้” อู๋ฝานลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ
เมื่อเห็นอู๋ฝานตอบรับ ลั่วเยวี่ยจึงไปนั่งด้านหลังของชายหนุ่มด้วยสีหน้ายินดี ก่อนจะเริ่มวางมือของตนบนไหล่อีกฝ่ายเพื่อนวดคลึง
“นายท่านรู้สึกสบายหรือไม่? หากต้องการให้ออกแรงเพิ่มก็บอกนะเจ้าคะ” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถาม
“แรงดีแล้ว …กำลังดีเลย” อู๋ฝานตอบรับ
ลั่วเยวี่ยออกแรงได้กำลังดีเป็นเรื่องจริง ทำให้ตอนนี้อู๋ฝานรู้สึกผ่อนคลายสบายมาก กระทั่งอดไม่ได้ที่จะต้องหลับตาดื่มด่ำกับประสบการณ์ถูกนวด
อู๋ฝานได้ตระหนักก็ตอนนี้ ว่าลั่วเยวี่ยมีพรสวรรค์รอบด้าน นางสามารถใช้งานดาบใหญ่ สังหารศัตรู รวมถึงทำงานเป็นคนรับใช้ได้ การนำนางร่วมทางมาด้วยนับเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด
รถลากยังคงมุ่งหน้าไปต่อโดยไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด ลั่วหยางสามารถควบคุมรถลากเพียงลำพังได้ ส่วนตอนนี้อู๋ฝานรับการนวดโดยลั่วเยวี่ยอยู่ด้านใน
ขณะดวงตะวันใกล้จะตกดินทางตะวันตก พวกอู๋ฝานทั้งสามจึงเดินทางเข้าเทศมณฑลชิงหยวน โดยคืนนี้จะไปพักค้างคืนที่จวนด้านในเทศมณฑล พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยเริ่มออกเดินทางต่อ
“นายท่าน มาถึงแล้ว” เมื่อพวกอู๋ฝานมาถึงจวน ซุนเลี่ยงและพวกถังซานที่ทราบข่าวอยู่ก่อนแล้วจึงมาเตรียมตัวรอรับ
“อืม” อู๋ฝานตอบรับขณะนำเข้าไปในจวน
หากเทียบกับครั้งก่อนที่ออกเดินทางจากเทศมณฑล จวนในตอนนี้สะอาดสะอ้านกว่ามาก ทั้งยังได้รับการตกแต่งใหม่ ไม่มีสภาพบรรยากาศทรุดโทรมเช่นที่เคยเป็น บรรยากาศภายในก็ตกแต่งได้ดี ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น นับเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยม
มันคือผลงานความหมั่นเพียรของพวกซุนเลี่ยงทั้งสาม ที่พยายามรักษาความสะอาดและตกแต่งจวนใหม่มาโดยตลอด
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?” อู๋ฝานเอ่ยถามขณะเดินเข้าไปเรื่อย ๆ
“ไม่มีเรื่องใดเป็นพิเศษขอรับ ทางสำนักงานเทศมณฑลกับพวกเราที่อยู่ที่นี่ เป็นเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง พวกเราไม่ได้พูดคุยอะไรกัน กระทั่งพวกเขาเองก็ดูไม่ค่อยสื่อสารกันด้วยซ้ำ แค่เรื่องผู้อพยพนอกเมืองยังแทบจะทำให้ตะลึงกันหมดแล้วขอรับ” ซุนเลี่ยงตอบกลับมา
พยายามติดต่อทางเทศมณฑลให้น้อย คือสิ่งที่อู๋ฝานย้ำกับพวกซุนเลี่ยงหลายครั้ง ส่วนทางด้านกัวจื่อหมิง ชายหนุ่มไม่เคยมีความประทับใจที่ดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว อันที่จริงกัวจื่อหมิงก็น่าจะคิดคล้ายคลึงกัน ซึ่งก็นับได้ว่าตรงกับความต้องการของเขาพอดี