ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 395 ผู้อพยพที่คลุ้มคลั่ง
บทที่ 395 ผู้อพยพที่คลุ้มคลั่ง
บทที่ 395 ผู้อพยพที่คลุ้มคลั่ง
“พวกเจ้าจะทำอะไร?”
“อย่าคิดว่าจะปล้นกันได้!”
หลังเห็นสถานการณ์ ทั้งลั่วหยางและลั่วเยวี่ยต่างออกมายืนขวางหน้ารถลาก เพื่อกันกลุ่มคนที่คิดเข้ามาปล้นชิง
แต่ผู้คนเหล่านี้ที่หิวโหยกันจนแทบตาย ตอนนี้เมื่อพบอาหารอยู่ตรงหน้าย่อมไม่มีทางอดใจคว้าเอามากินได้ ดังนั้นมีหรือจะสนใจคำเตือนของลั่วเยวี่ยและลั่วหยาง
กลุ่มผู้อพยพต่างแห่แหนกันเข้ามา ต่อหน้าความอดอยากหิวโหย พวกเขาไม่คิดสนใจเรื่องกฎหมายบ้านเมืองหรือผิดถูกอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นดังนี้ ทั้งลั่วหยางและลั่วเยวี่ยก็ไม่คิดมากมารยาทด้วย ไม่ว่าใครที่เข้ามาใกล้ ทั้งสองก็พร้อมที่จะลงมือตอบโต้เพื่อขับไล่
ทว่าเพราะผู้อพยพมีจำนวนมากมายเกินไป หลังขับไล่ไปได้คนหนึ่ง คนที่สองก็พุ่งตัวเข้ามา กระทั่งว่าจัดการจนล้มพับไปแล้ว พวกเขาเหล่านี้ก็ยังเมินเฉยต่อความเจ็บปวดที่ได้รับ พยายามกระเสือกกระสนปีนป่ายขึ้นรถลาก ผู้อพยพเหล่านี้ประหนึ่งเป็นคลื่นมนุษย์ที่ถาโถมเข้าปะทะรถลาก ในสายตาของพวกเขา ภายในรถลากคืออาหารและน้ำที่พร้อมให้ช่วงชิงเพื่อเอาชีวิตรอด
อู๋ฝานที่อยู่ด้านในรถลากกำลังมองเรื่องราวด้วยสายตาเย็นยะเยือก ไม่รู้เพราะสงสารกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้ หรือว่าโกรธท่าทีของพวกเขากันแน่ แม้เหตุผลที่พวกเขาเลือกทำก็เพราะถูกสถานการณ์บีบบังคับ แต่สิ่งของที่อยู่บนรถลากถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของชายหนุ่ม ของเหล่านี้ซื้อหามาเพื่อเตรียมใช้เดินทางไปยังเมืองหลวง ดังนั้นคงไม่อาจให้กลุ่มคนผู้หิวโหยช่วงชิงเอาไปได้ อีกทั้งหากปล่อยให้พวกเขาช่วงชิง อย่างไรเสบียงที่นำมาด้วยก็ไม่มีทางมากพอให้กลุ่มคนทั้งหมดนี้แบ่งปันกัน
“ตึง!”
อู๋ฝานเตะคนที่พยายามปีนขึ้นมาจนร่างกระเด็นออกไป ต่อด้วยเตะใส่คนที่คิดปีนขึ้นจากอีกด้านหนึ่งจนร่างกระเด็นไปเช่นเดียวกัน และความแรงนั้นทำให้คนที่ปีนตามขึ้นมาร่วงตามไปด้วย
แรงของอู๋ฝานไม่ใช่อะไรที่สามารถดูถูกได้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งทางกายภาพหากเทียบกับกลุ่มคน เพียงแค่เตะครั้งเดียวคงทำให้พวกเขาถึงแก่ความตายเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่ต้องการฆ่าใคร ชายหนุ่มจึงแค่เตะจนร่างกระเด็นและยากจะลุกขึ้นในเวลาสั้น ๆ
อู๋ฝานเพียงคนเดียวก็สามารถสกัดกั้นกลุ่มคนเอาไว้ได้ดียิ่งกว่าที่ลั่วหยางและลั่วเยวี่ยทำ อย่างไรเขาก็แข็งแกร่งกว่า รวดเร็วกว่า เมื่อคุ้มกันอยู่ในรถลาก แม้ผู้อพยพเหล่านี้จะแห่แหนกันเข้ามาหมายปล้นชิง แต่ก็ไม่อาจมีผู้ใดสามารถขึ้นไปบนรถลากได้สำเร็จ
ผู้บุกรุกคนแล้วคนเล่าถูกเตะจนร่างกระเด็น อู๋ฝานยังคงยืนอยู่ด้านบนรถลาก พร้อมเตะขับไล่ใครก็ตามที่คิดเข้ามา ด้วยพละกำลังที่แสดงออก ทำให้กลุ่มคนได้เห็นว่าความพยายามไม่อาจเป็นผล ความสงบเริ่มบังเกิดขึ้น สายตาที่พวกเขามองชายหนุ่มบนรถลากประหนึ่งมองเทพจากสวรรค์ด้วยความกลัวเกรง ขณะนี้ลังเลจนไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกเป็นครั้งที่สอง
อู๋ฝานมองกลุ่มคน จากนั้นจึงมองสองพี่น้องที่ยังคงช่วยสกัดกลุ่มคนเอาไว้ “ลั่วเยวี่ย ลั่วหยาง ขึ้นมา!”
สองพี่น้องกลับขึ้นบนรถพร้อมยืนเคียงข้างอู๋ฝาน สายตายังคงเฝ้ามองระแวดระวังกลุ่มผู้อพยพที่ยังคงรายล้อม แม้พวกเขายังมองมาทางรถลากด้วยท่าทีหิวกระหาย แต่เพราะความแตกต่างที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เห็นจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้อีก
“เดินทางต่อ” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น
ลั่วหยางนั่งลงประจำที่นั่งพลขับ ก่อนจะคว้าบังเหียนม้าขึ้นมาพร้อมตะโกน “ไป!”
รถลากเคลื่อนที่อีกครั้ง แม้ผู้อพยพทั้งหลายจะไม่ยินดี แต่พวกเขาก็ไม่มีความกล้าพอจะไปขัดขวาง ที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงแค่ดูรถลากจากไปด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อรถลากเคลื่อนผ่านฝูงชนไปได้แล้ว อู๋ฝานและลั่วเยวี่ยจึงนั่งลงได้อีกครั้งหนึ่ง
“คนพวกนี้คลุ้มคลั่งกันไปหมดแล้ว” ลั่วเยวี่ยเอ่ยขณะนั่งลงข้าง ๆ อู๋ฝาน
กลุ่มผู้อพยพนับพันที่แห่กันเข้ามาปิดล้อมทำให้ลั่วเยวี่ยหวาดกลัวไม่ใช่น้อย หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของอู๋ฝาน บางทีรถลากคันนี้อาจถูกปล้นชิงจนไม่เหลือแล้ว
“ไม่น่าแปลกใจหรอก กลุ่มคนที่หิวโหยพร้อมจะทำทุกทางนั่นแหละ” อู๋ฝานตอบรับอย่างเฉยชา
“พวกเขาจะหิวกันจนตายหรือเจ้าคะ?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถาม
“มันก็มีความเป็นไปได้” อู๋ฝานตอบกลับพลางมองลั่วเยวี่ย “อย่าได้คิดมากเกินไป แม้พวกเรามอบน้ำและอาหารบนรถลากคันนี้ให้พวกเขาจนหมด มันก็ไม่ใช่หนทางที่จะช่วยพวกเขาให้รอดไปได้อยู่ดี ลำพังแค่แบ่งปันให้ครบทุกคนก็ยังเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้แบ่งพอ มันก็เพียงแค่อาหารมื้อหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็จะหิวโหยกันอีกครั้ง เรียกว่าแทบไม่อาจเปลี่ยนโชคชะตาของพวกเขาได้เลย”
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจดี แต่การได้เห็นพวกเขา …ก็ทำข้านึกถึงอดีตที่ข้าและน้องชายเคยเผชิญมา” ลั่วเยวี่ยพยักหน้าตอบรับ “โชคดีที่พวกเราได้พบนายท่าน ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงหิวจนชีวิตก็ไม่เหลือ”
อู๋ฝานตบไหล่ลั่วเยวี่ยโดยไม่กล่าวอะไรอีก
แม้จะขับไล่กลุ่มผู้อพยพเหล่านั้นได้สำเร็จ แต่ความรู้สึกของอู๋ฝานก็ไม่ดีขึ้นมาแต่อย่างใด อย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจยอมรับ เมื่อเห็นโศกนาฏกรรมต่อหน้า หากจิตใจปกติดีย่อมไม่มีทางเฉยชาตอบ ทว่าความสามารถของเขามีอย่างจำกัด อย่างไรก็ไม่อาจช่วยเหลือทุกคนได้
‘เมื่อเดินทางกลับจากเมืองหลวง ค่อยหาทางช่วยพวกเขาให้มากเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน’ อู๋ฝานได้แต่คิดอยู่ในใจ
รถลากยังคงเดินทางอย่างต่อเนื่อง ระหว่างทางก็ได้พบผู้อพยพจำนวนมากพอสมควร เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พวกอู๋ฝานจึงไม่คิดหยุด แต่เลือกที่จะเดินทางมุ่งหน้าต่อ ตอนนี้พวกเขาไม่อาจทราบว่ากลุ่มผู้อพยพเหล่านี้กำลังเดินทางไปที่ใด และบางทีแม้แต่ตัวผู้อพยพเหล่านี้เองก็คงไม่ทราบเช่นกันว่าจะเดินทางไปที่ใด พวกเขาอาจต้องการแค่สถานที่ที่พอจะช่วยให้ชีวิตรอดได้ ส่วนจะเป็นที่ใดนั้นก็ไม่อาจทราบ ทั้งยังไม่คิดใส่ใจ อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว ไม่ว่าไปที่ใดก็ไม่ใช่บ้านของตนเองอีกต่อไป ดังนั้นจึงมองว่าไปที่ใดก็ไม่แตกต่าง
ขณะที่พวกอู๋ฝานเดินทาง ที่ปรึกษาของกัวจื่อหมิงก็มาถึงหมู่บ้านเร้นลับพร้อมกับกลุ่มคนแล้ว แต่พวกเขาไม่อาจเข้าไปด้านในหมู่บ้านได้ ทำได้เพียงหยุดที่ด้านนอกของหมู่บ้าน
“หลีกทาง!” ที่ปรึกษาของกัวจื่อหมิงควบม้ารุกคืบเข้าใกล้ พร้อมตะโกนใส่หน่วยรักษาการณ์ที่พยายามขวางทาง
“นายท่านออกคำสั่งไว้ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามเข้าหมู่บ้านหากปราศจากซึ่งคำอนุญาต” ทหารรักษาการณ์ตอบกลับที่ปรึกษาที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยใจประหม่า เพียงแต่เขาก็ยังคงรักษาคำสั่งที่ได้รับเอาไว้อย่างเข้มงวด
“ตาบอดหรือ! กล้าดียังไงถึงขวางทางพวกเรา? พวกเราเป็นคนของสำนักปกครอง!” อีกฝ่ายตอบโต้กลับมา
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายว่ามาจากสำนักปกครอง ทหารรักษาการณ์ทั้งสองที่รับหน้าที่ขวางเส้นทางเอาไว้ต่างเผยสีหน้าหวาดกลัว กระทั่งลอบถอยหลังกลับโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก่อนหน้านี้พวกเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา ต่อหน้าคนของทางการมีแต่จะไร้ซึ่งอำนาจ
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวและท่าทีของทหารรักษาการณ์ทั้งสอง สีหน้าของกลุ่มคนบนหลังม้านับสิบจึงทั้งภาคภูมิและเหยียดหยัน หน่วยรักษาการณ์เหล่านี้ในสายตาของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพลเรือนทั่วไป เผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ พวกเขามีแต่จะเหนือกว่าประหนึ่งอยู่บนฟากฟ้า
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจคือการที่ทหารรักษาการณ์ทั้งสองคนหยุดถอย แม้สีหน้าท่าทียังดูหวาดเกรง ทว่ากลับไม่ถอยหลบเลี่ยง กระทั่งมองตอบและเอ่ยว่า “นายท่านของพวกเราออกคำสั่งเอาไว้ว่าหากปราศจากคำสั่งของนายท่านก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าหมู่บ้านทั้งสิ้น”
คณะคนนับสิบจากสำนักปกครองที่ได้ยินต่างชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยโทสะอันพลุ่งพล่าน
เศษเดนสองคนตรงหน้านี้กล้าดีอย่างไรขวางทางพวกเขา? กล้าดีอย่างไรปฏิเสธพวกเขา?
นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ประสบกับสถานการณ์เช่นนี้
“พวกเจ้ากำลังต่อต้านหรือ! กล้าดีอย่างไรหยุดพวกเรา? เรียกหาความตายแท้ ๆ!” คนบนหลังม้าด้านหน้าเผยวาจาเปี่ยมด้วยโทสะ ยกแส้ในมือขึ้นเตรียมจะตวัดโจมตีใส่ทหารรักษาการณ์ทั้งสองคนตรงหน้า
“ข้าก็อยากเห็นนักว่าใครมันกล้าดีทำร้ายคนของข้า!” ตอนนี้เองที่เสียงตะโกนดังมาจากทางเข้าหมู่บ้าน