ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 400 จำแนกระดับการฝึกฝน
บทที่ 400 จำแนกระดับการฝึกฝน
บทที่ 400 จำแนกระดับการฝึกฝน
หลังบอกกับเกิ่งหย่าเฟย อู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จึงหลบเลี่ยงกลุ่มคนไปยังทางเข้าพื้นที่หวงห้าม โดยมีที่กั้นขวางเอาไว้พร้อมป้ายที่อ่านได้ว่า ‘ห้ามนักท่องเที่ยวผ่าน’ และยังมีคำอธิบายถึงอันตรายของพื้นที่หวงห้ามเขียนเอาไว้
“ดูจากร่องรอยบนพื้น น่าจะมีคนข้ามที่กั้นนี้ไปไม่น้อยแล้วนะครับ” อู๋ฝานเอ่ยพลางมองรอยเท้าบนพื้นที่ยังไม่ทันจางหาย
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับ “พวกเราก็จะเข้าไปเหมือนกันค่ะ”
อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเลื่อนที่กั้นซึ่งขวางทางอยู่ขึ้น และเหยียบย่ำสู่พื้นที่หวงห้ามของภูเขาเทียนเหลียงอย่างเป็นทางการ
บริเวณพื้นที่แห่งนี้หนาแน่นไปด้วยต้นไม้และวัชพืช บนพื้นไม่มีร่องรอยทางเดินที่เด่นชัดแต่อย่างใด บรรยากาศรอบด้านค่อนข้างชื้นชวนอึดอัดและลำบากต่อการหายใจ
“แดนลับอยู่ไกลจากที่นี่ขนาดไหนครับ?” อู๋ฝานถามกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
“น่าจะสักสองถึงสามกิโลเมตรค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ
สองถึงสามกิโลเมตร หากเป็นทางเดินธรรมดา ใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมงก็ควรจะไปถึง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กับที่นี่ เพราะหนทางยากลำบาก ทั้งยังมีดินโคลนบางตำแหน่ง หากไม่ระมัดระวังและหลบเลี่ยงให้ดีจะยิ่งทำให้เดินทางยากลำบากขึ้น
“ในเมื่อระหว่างทางไม่มีอะไรมาก พอจะบอกให้ผมรู้เรื่องแวดวงผู้ฝึกตนให้มากขึ้นหน่อยได้ไหมครับ?” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น
“อยากรู้เรื่องอะไรเหรอคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ถามกลับ
อู๋ฝานครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “เอาเป็นระดับการฝึกฝนก่อนก็ได้ครับ ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการแบ่งระดับสักเท่าไหร่”
ชายหนุ่มเรียกได้ว่าไม่ต่างจากคนเพิ่งออกจากป่าสู่โลกภายนอก ดังนั้นแม้เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของแวดวงผู้ฝึกตนก็ยังไม่ทราบ
เมื่อเห็นอู๋ฝานถามเรื่องพื้นฐานที่สุดออกมา หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ถึงกับต้องมองตอบด้วยอาการประหลาดใจ ตอนนี้เธอยิ่งสงสัยอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
อู๋ฝานเป็นเพียงคนธรรมดา ประเด็นนี้ยังคาใจหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ แต่ไม่นานเขาก็กลับเป็นผู้ฝึกตน ทำให้เธอคิดได้แค่ว่าอีกฝ่ายได้รับการเล็งเห็นค่าโดยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือบางทีอาจได้เป็นศิษย์ของใครสักคนจนกลายเป็นผู้ฝึกตน แต่ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์อะไร เรื่องระดับการฝึกตนอันเป็นพื้นฐานที่สุดของวงการนี้ ชายหนุ่มที่ควรทราบกลับไม่ทราบเสียอย่างนั้น
แม้ในใจของเธอจะสงสัย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป อย่างไรผู้ฝึกตนแต่ละคนต่างก็มีความลับเป็นของตนเอง ถามมากไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม
“ระดับการฝึกฝนไม่ได้แบ่งซับซ้อนอะไรมากค่ะ เมื่อสำเร็จขั้นต้นของขอบเขตสว่างก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนแล้ว หลังขอบเขตสว่างก็เป็นขอบเขตมืด และหลังขอบเขตมืดก็จะเป็นขอบเขตแปรสภาพ สามขอบเขตใหญ่ประกอบด้วยสี่ขั้นย่อย ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสูงสุด” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับมา “ตอนนี้ฉันอยู่ขอบเขตสว่างขั้นสูงสุด ห่างจากขอบเขตมืดเพียงแค่หนึ่งก้าว”
อู๋ฝานพยักหน้ารับ สถานการณ์ของตนค่อนข้างพิเศษและแตกต่างไปจากผู้ฝึกตนคนอื่น ดังนั้นจึงไม่อาจพิจารณาได้แน่ชัดว่าจะเทียบกับระดับใดได้ แต่จากการวิเคราะห์ส่วนตัว รวมกับสถานการณ์ที่ได้ใช้ต่อสู้จริง พละกำลังปัจจุบันของเขาน่าจะเป็นขอบเขตมืดขั้นสูง หรือไม่ก็ขั้นสูงสุด
“ขอบเขตแปรสภาพคือจุดสูงสุดที่ผู้ฝึกตนจะไปถึงได้เหรอครับ? มีอะไรที่เกินกว่านั้นไปอีกไหม?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“มีค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ “ขอบเขตมืด ขอบเขตสว่าง ขอบเขตแปรสภาพ สามขอบเขตนี้เรียกโดยรวมว่าเขตแดนพ้นสวรรค์ หลังข้ามผ่านขอบเขตแปรสภาพขั้นสูงสุด เมื่อนั้นจะเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดสวรรค์”
กล่าวถึงตรงนี้ หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็เผยดวงตาเป็นประกายแรงกล้า
“ขอบเขตกำเนิดสวรรค์? เป็นการแบบไหนครับ?” นับเป็นครั้งแรกที่อู๋ฝานได้ทราบข้อมูลเหล่านี้ ดังนั้นจึงเกิดความสงสัย
“เขตแดนพ้นสวรรค์นั้น อธิบายคร่าว ๆ แล้วก็คือการขัดเกลาร่างกาย เพิ่มพูนศักยภาพโดยการฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้งหลาย มันยังเป็นการต่อสู้ด้วยร่างกายอยู่ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ “แต่ขอบเขตกำเนิดสวรรค์จะแตกต่างออกไป กล่าวคือสามารถใช้ปราณภายในร่างกายได้ ทำให้ร่างกายเปรียบเสมือนบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ ใช้พลังปราณที่มีอยู่ในธรรมชาติขัดเกลาร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มพูนความสามารถทั้งการโจมตีและป้องกันให้ผู้ฝึกฝน สำหรับผู้ที่สำเร็จขอบเขตกำเนิดสวรรค์จะสามารถเอาชนะยอดฝีมือขอบเขตแปรสภาพขั้นสูงสุดแบบหนึ่งต่อห้าหรือว่าหกได้ค่ะ และการสำเร็จขอบเขตกำเนิดสวรรค์ อาวุธกับกระสุนปืนธรรมดาแทบจะไม่นับเป็นภัยคุกคามอีกต่อไป รวมถึงการสำเร็จขอบเขตกำเนิดสวรรค์จะช่วยชะลออายุของร่างกาย เป็นการเพิ่มอายุขัยค่ะ”
“ยอดฝีมือกำเนิดสวรรค์แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” อู๋ฝานประหลาดใจ
แม้อู๋ฝานในตอนนี้จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่กระสุนปืนก็ยังนับเป็นภัยคุกคาม จากข้อมูลที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์บอกให้ทราบ ว่าหลังจากสำเร็จขอบเขตกำเนิดสวรรค์จะสามารถมองข้ามภัยคุกคามจากกระสุนปืนได้ เรื่องนี้นับเป็นการเปิดความรู้ใหม่ให้กับเขา
“แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ฉันอธิบายไปด้วยซ้ำค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับ “สำหรับขอบเขตกำเนิดสวรรค์ ใช้แค่ใบไม้ก็สามารถสังหารคนได้ค่ะ!”
“ฟังจากที่คุณเล่าแล้ว เหมือนผู้ที่สำเร็จขอบเขตกำเนิดสวรรค์จะเป็นยอดฝีมือในนิยายกำลังภายในเลยนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
“เข้าใจแบบนั้นก็ไม่ผิดค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับ “เขตแดนพ้นสวรรค์ถือเป็นยอดฝีมือกำลังภายนอก ส่วนขอบเขตกำเนิดสวรรค์คือยอดฝีมือกำลังภายใน พวกเขาจะสามารถใช้พลังปราณในธรรมชาติชักนำเข้าสู่ร่างกายเพื่อนำมาเป็นกำลังภายในได้ค่ะ”
“ในแวดวงผู้ฝึกตน มีคนสำเร็จขอบเขตกำเนิดสวรรค์กันกี่คนครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“น้อยค่ะ น้อยมาก!” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ “ในบรรดาผู้ฝึกตนมากมาย ส่วนใหญ่แล้วจะติดอยู่ที่เขตแดนพ้นสวรรค์กันค่ะ ต่อให้ไปถึงขอบเขตแปรสภาพขั้นสูงสุดได้ แต่ก็มีแค่ผู้มากล้นด้วยพรสวรรค์เท่านั้น ถึงสามารถข้ามผ่านเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดสวรรค์ได้ ตัวตนเหล่านั้นในสิบปีอาจไม่มีแม้สักคนด้วยซ้ำค่ะ ปัจจุบันในแวดวงผู้ฝึกตนมีขอบเขตกำเนิดสวรรค์ที่ได้รับการยืนยันแล้วไม่เกินกว่ายี่สิบคนค่ะ”
“ยี่สิบคน? น้อยมากเลยนะครับ” อู๋ฝานประหลาดใจ
แม้อู๋ฝานไม่ค่อยรู้เรื่องของแวดวงผู้ฝึกตนทั้งหลาย แต่ก็พอทราบว่าจำนวนคนในวงการนี้มีไม่ใช่น้อยเลย อย่างไรก็ต้องเกินกว่าหลักหมื่น เพียงแค่สำนักล้ำสวรรค์ก็มีคนเกินกว่าหนึ่งร้อยแล้ว และจำนวนนั้นยังเป็นแค่ศิษย์ในของสำนักล้ำสวรรค์ หากรวมศิษย์นอกเข้าไปด้วย จำนวนจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งสำนักล้ำสวรรค์ยังเป็นเพียงแค่สำนักในท้องถิ่นของเจียงโจว หากเมื่อ่ใดนำไปเทียบภาพรวมระดับประเทศอาจจะกลายเป็นไม่คู่ควรซะด้วยซ้ำ
“ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ยอดฝีมือขอบเขตกำเนิดสวรรค์แต่ละคนต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าแห่งสำนัก พวกเขาจะนั่งบัลลังก์คอยคุ้มกันของสำคัญ และคอยมอบการตัดสินใจให้แก่สำนักชั้นแนวหน้าค่ะ”
ขอบเขตกำเนิดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องที่เขาเกินเอื้อมถึง อู๋ฝานคิดในใจ
สำหรับคนอื่นนั้นมีปัจจัยด้านข้อจำกัดทางเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนและพรสวรรค์ หลายคนตลอดชั่วชีวิตอับจนหนทางจะก้าวสู่ขอบเขตกำเนิดสวรรค์ซะด้วยซ้ำ ผู้คนมากมายจะติดเพียงแค่ก้าวเดียวดังกล่าว อย่างไรทุกการข้ามผ่านก็เกี่ยวข้องกับความรู้ ความเข้าใจ และโอกาสที่มาถึง ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะสามารถข้ามผ่านไปได้ง่าย ๆ
แต่ไม่ใช่กับอู๋ฝาน ความแข็งแกร่งของเขามาจากค่าสถานะ อุปกรณ์ และทักษะ
ตราบใดที่เพิ่มเลเวลอย่างต่อเนื่อง ค่าสถานะของเขาก็มีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นตามเลเวล การได้สังหารมอนสเตอร์เลเวลสูง รวมถึงการได้ใส่อาวุธแสนวิเศษรวมกับทักษะ ทุกอย่างคือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนทั้งสิ้น
ดังนั้นหากอู๋ฝานต้องการข้ามผ่ามเขตแดน เขาก็ไม่ได้จำเป็นต้องฝึกฝนบากบั่นแลกชีวิตเหมือนคนอื่น แค่อาจจะต้องอาศัยโอกาสอยู่บ้าง เพราะมันต้องแลกมาด้วยการสังหารมอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวล
เมื่อคิดได้ดังนี้ ชายหนุ่มจึงยิ่งได้เหตุผลการฆ่าล้างบางมอนสเตอร์