ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 403 เป็นเธอ!?
บทที่ 403 เป็นเธอ!?
บทที่ 403 เป็นเธอ!?
อู๋ฝานพอจะมีความเข้าใจในตัวถังอวี่เฟยอยู่บ้างแล้ว ในตอนนี้ต้องไม่มองแค่ท่าทีชวนเวทนาของเธอ ที่บางทีน่าจะเป็นการแกล้งทำ ขอเพียงรับปากพาไปด้วย เมื่อนั้นก็ถือเป็นฟ้าหลังฝนสำหรับอีกฝ่ายแล้ว
ชายหนุ่มไม่คิดเปลี่ยนใจ ที่เขาต้องทำก็เพื่อตัวเธอเอง อย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว การส่งถังอวี่เฟยกลับออกไปก็เพื่อความปลอดภัย
ขณะอู๋ฝานกำลังจะพูดอะไรออกมา หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ทางนั้นมีคนต่อสู้กันอยู่ค่ะ!”
อู๋ฝานที่ได้ยินก็ชะงักไป ก่อนจะรีบปรับลมหายใจจนได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้น
“ที่ไหน? ทำไมฉันไม่ได้ยินอะไรเลยล่ะ” ถังอวี่เฟยพยายามฟังด้วยแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรหูของเธอก็ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้น
“จะไปดูไหมครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบ
เสียงการต่อสู้อยู่ในทิศทางที่พวกเขาต้องเดินไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปดูก็มีแต่ต้องถอยกลับเพื่อหาเส้นทางอื่น
“ค่ะ พวกเรารีบไปดูกันดีกว่า” ถังอวี่เฟยมีท่าทีราวกับกำลังจะได้รับชมเรื่องสนุกจึงลุกขึ้นมา
“คนที่เข้ามาที่นี่ต่างก็เป็นผู้ฝึกตน ยกเว้นแค่คุณคนเดียว ดังนั้นระวังตัว ตามพวกเรามาและไม่อนุญาตให้ออกนอกเส้นทางไปไหน ทำได้ใช่ไหมครับ?” อู๋ฝานเอ่ยอย่างเด็ดขาด
เพราะต้องการไปตรวจสอบสถานการณ์ตรงหน้า ทำให้อู๋ฝานยังไม่คิดส่งถังอวี่เฟยกลับไป การเดินทางครั้งนี้ยังไงก็ต้องใช้เวลาพอสมควรอยู่แล้ว ถ้าให้ถังอวี่เฟยกลับไปด้วยตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายใดขึ้นบ้าง สถานการณ์ตอนนี้จึงทำได้เพียงให้อีกฝ่ายร่วมทางชั่วคราว
“ค่ะ! ค่ะ!” เมื่อเห็นอู๋ฝานไม่ส่งเธอกลับไปแล้ว ถังอวี่เฟยจึงรีบพยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี เกาะติดด้านหลังของอู๋ฝานเพื่อแสดงให้เห็นว่าพร้อมทำตามที่รับปาก
อู๋ฝานที่เห็นท่าทีของเธอ ทั้งเขาและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จึงต้องมองตากันเอง เพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่อำนวย ต่อให้บังคับส่งอีกฝ่ายออกไป บางทีเธอคนนี้คงแอบตามมาอีกครั้ง ทำให้เหลือเพียงแค่ต้องพาไปด้วย
คนทั้งสามออกเดินเท้าต่อ ถังอวี่เฟยตามอู๋ฝานไม่ห่าง ตอนนี้เธอไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว แต่เป็นความสงสัยใคร่รู้และอาการตื่นเต้น
มีอู๋ฝานอยู่ข้าง ๆ เธอสามารถสงบใจลงได้ไม่น้อย
คนทั้งสามเดินทางต่อกว่าสองร้อยเมตร จนกระทั่งได้เห็นว่าด้านหน้ามีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ ทั้งสามไม่คิดแสดงตัว แต่เลือกที่จะหาพุ่มไม้หนาเพื่อหลบซ่อนและดูสถานการณ์ตรงหน้าให้กระจ่าง
แค่ได้เห็น อู๋ฝานถึงกับอุทานเสียงเบาออกมา “เป็นเธอ!?”
“ใครคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“คนที่ผมเจอเมื่อคืน” อู๋ฝานชี้ไปทางผู้หญิงชุดขาวตรงหน้าพลางตอบ “เป็นเธอคนนั้นครับ”
“เมื่อคืนไปเจอเธอเลยไม่กลับมาตลอดทั้งคืนงั้นเหรอคะ? ฉันบอกแล้วว่าคุณต้องออกไปหาผู้หญิงมาแน่ ตอนแรกไม่ยอมรับ ตอนนี้สารภาพออกมาด้วยตัวเองแล้ว!” ถังอวี่เฟยพึมพำออกมา
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองอีกฝ่ายที่กำลังต่อสู้ ก่อนจะหันกลับมามองอู๋ฝานด้วยความสงสัย หรือว่าเมื่อคืนที่เขาออกไปอีกครั้งก็เพราะไปพบผู้หญิงคนนี้?
“พูดจาเลอะเทอะแล้วครับ” อู๋ฝานดีดหน้าผากถังอวี่เฟยก่อนจะตอบ “เมื่อคืนผมไปเจอเธอกำลังต่อสู้กับคนกลุ่มหนึ่งอยู่ เพราะสถานการณ์บังคับเลยต้องแสดงตัวออกไปช่วย หลังจากนั้นก็แยกกันไป ผมบอกแล้วไงครับว่าอยู่ในห้องตลอดทั้งคืน”
ถังอวี่เฟยลูบหน้าผากพลางพึมพำเสียงเบา “ไม่เชื่อค่ะ”
เพียงแต่เธอไม่ได้พูดออกมาให้ชัด เพราะกลัวจะถูกอู๋ฝานลงโทษอีกครั้ง
“กระบวนท่าที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ น่าจะเป็นวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่พิจารณาเหตุการณ์อยู่พลันเอ่ยขึ้นมา
“วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า? มันคืออะไรครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถามด้วยความสงสัย ส่วนตอนนี้ถังอวี่เฟยหยุดบ่นพึมพำแล้ว เธอมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ด้วยความใคร่รู้เช่นเดียวกัน
“วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า ถือเป็นวิชาที่มีชื่อเสียงที่สุดของหอคันธะสงัด เล่ากันว่าหากฝึกฝนวิชากระบี่นี้จนถึงจุดสูงสุด มันจะสามารถผ่าแยกภูเขาด้วยหนึ่งกระบี่ได้ เรียกว่าไม่เป็นรองวิชาสวรรค์ใดแม้แต่วิชาเดียว โชคร้ายที่ถึงมีวิชากระบี่นี้อยู่ แต่ช่วงร้อยปีที่ผ่านมากลับไม่เคยมีใครฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดได้แม้แต่คนเดียว หลายคนจึงเชื่อว่าคำบอกเล่านี้เกินความจริงไปมาก” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์อธิบายให้ทั้งสองคนได้ฟัง
“หนึ่งกระบี่ผ่าภูเขา? ฟังดูเกินไปจริง ๆ นั่นแหละครับ” อู๋ฝานตอบกลับ “แต่ว่าชื่อหอคันธะสงัดที่พูดขึ้นมาเมื่อกี้ ผมรู้สึกว่าคุ้น ๆ อยู่ เมื่อคืนกลุ่มคนที่ล้อมเล่นงานผู้หญิงคนนั้น ก็บอกว่าเธอเป็นศิษย์ในสำนักของหอคันธะสงัดครับ ชื่อว่าเป้ยอะไรสักอย่าง”
อู๋ฝานพยายามนึกย้อนชื่อที่เธอคนนั้นถูกเรียกเมื่อคืน
“เป้ยอวี่ฉวน?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ถามขึ้นมา
“ใช่ ใช่ ชื่อนี้แหละครับ!” อู๋ฝานตอบรับ “รู้จักเหรอครับ? เธอดัง?”
“เป้ยอวี่ฉวนมีชื่อเสียงในแวดวงผู้ฝึกตนอยู่พอสมควรค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ “หอคันธะสงัดเป็นสำนักที่ค่อนข้างพิเศษ ความแข็งแกร่งของสำนัก ถ้าเทียบทั้งประเทศ ก็ถือว่าเป็นสำนักชั้นสอง และยังเป็นจุดล่างสุดของชั้นสองด้วย แต่สำนักนี้มีความพิเศษอย่างหนึ่งค่ะ นั่นคือเจ้าหอตัดสินใจที่จะรับแค่ศิษย์ผู้หญิง ไม่มีศิษย์ผู้ชาย ดังนั้นหอคันธะสงัดในแวดวงของผู้ฝึกตนจึงถือว่ามีตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษพอสมควร เป้ยอวี่ฉวนเป็นศิษย์ใกล้ชิดของเจ้าหอคันธะสงัด พรสวรรค์และความงามเป็นที่เล่าลือ ถึงหอคันธะสงัดจะมีสาวงามไม่น้อย แต่เธอก็ยังโดดเด่นที่สุด ทำให้ผู้ฝึกตนหลายคนหมายตาเธอค่ะ”
อู๋นฝานครุ่นคิดถึงฉากที่ตนพบเป้ยอวี่ฉวนเมื่อคืน สุดท้ายจึงพยักหน้ารับ “เธอก็สวยจริง ๆ นั่นแหละครับ”
ความเห็นที่ตรงไปตรงมาของอู๋ฝาน ทำให้ได้รับสายตามองค้อนจากทั้งถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
ชายหนุ่มต้องรีบกระแอมไอหาทางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมื่อคืนผมได้ยินเป้ยอวี่ฉวนบอกว่าเจ้าหอคันธะสงัดถูกดักเล่นงาน พี่น้องในสำนักของเธอถูกข่มเหง และการที่เธอถูกล้อมเล่นงานก็น่าจะเกี่ยวข้องกัน”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นเรื่องจริงนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในแวดวงผู้ฝึกตนอยู่พอสมควรเลยค่ะ”
แม้หอคันธะสงัดจะเป็นเพียงสำนักชั้นสอง นับได้ว่ามีความห่างจากสำนักชั้นหนึ่งค่อนข้างมาก ยิ่งกับสำนักชั้นนำยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง แต่สถานะของหอคันธะสงัดค่อนข้างพิเศษ หากเจ้าหอถูกลอบสังหาร อย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
ขณะคนทั้งสามกำลังซ่อนตัวพลางพูดคุยกันอยู่นั้น การต่อสู้ตรงหน้าก็คล้ายใกล้ดำเนินถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เป้ยอวี่ฉวนมีสภาพเหมือนเมื่อคืน นั่นคือการถูกปิดล้อมเล่นงาน อาการบาดเจ็บตามร่างกายที่ยังไม่ฟื้นคืน ส่งผลกระทบต่อกำลังสู้รบอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้เธอกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อไหร่ที่หมดเรี่ยวแรงจะไม่มีทางตอบโต้กลับได้ แม้เธอจะพยายามปัดป้องการโจมตีแต่ก็เป็นไปอย่างฝืนทน กลุ่มคนที่ปิดล้อมเล่นงานมักจะสบโอกาสเล่นงาน อาการบาดเจ็บของหญิงสาวมีแต่จะยิ่งเลวร้าย
“เป้ยอวี่ฉวน ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ!” หนึ่งในกลุ่มคนที่ปิดล้อมเล่นงานเป้ยอวี่ฉวนตะโกนขึ้น คำพูดนั้นเปี่ยมด้วยความมั่นใจในชัยชนะ