ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 406 ไปด้วยกันก็แล้วกัน
บทที่ 406 ไปด้วยกันก็แล้วกัน
บทที่ 406 ไปด้วยกันก็แล้วกัน
ซุนเจี้ยนมองอู๋ฝานอย่างโกรธแค้น ปากอ้าออกคล้ายจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่ากลับกลายเป็นการสำลักเลือดก้อนโตออกมา กระทั่งมีฟันหลุดออกมาทั้งรากซะด้วยซ้ำ
ซุนเจี้ยงเร่งรีบหุบปากลง แต่สายตาก็ยังคงจ้องมองอู๋ฝานด้วยความเคืองแค้น
อู๋ฝานไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปบอกหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และเป้ยอวี่ฉวน
“ไปกันเถอะครับ”
แม้ชายหนุ่มจะเล่นงานคนเหล่านี้จนล้มพับ แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ามาข้องเกี่ยวกับแวดวงผู้ฝึกตน ทั้งยังไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำใดต่อกัน การที่จะทำใจแข็งลงมือสังหารคนเหล่านี้ก็ยังเป็นเรื่องยาก อย่างไรเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาก็ยังเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่ออกความเห็น แต่เป้ยอวี่ฉวนมองซุนเจี้ยนและพรรคพวกด้วยดวงตาทอประกายฆ่าฟัน
สายตาของเป้ยอวี่ฉวนทำให้ซุนเจี้ยนและพรรคพวกหวาดกลัว ที่พวกเขาหวาดกลัวไม่ใช่หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บ แต่หวาดกลัวอู๋ฝาน หากอีกฝ่ายออกหน้าลงมือแทนอีกครั้ง พวกเขาคงไม่มีใครรอดชีวิตกลับไปได้
แต่เป้ยอวี่ฉวนไม่ได้เอ่ยปากร้องขอใด ๆ เธอแค่ตามอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไป ทำให้พวกซุนเจี้ยนต้องถอนหายใจโล่งอกกันออกมา
แน่นอนว่าเป้ยอวี่ฉวนคิดอยากสังหารพวกซุนเจี้ยนให้รู้แล้วรู้รอด เธอและสำนักเที่ยงยุทธ์มีความแค้นชนิดไม่ตายไม่เลิกราต่อกัน แต่มันก็เป็นปัญหาของหอคันธะสงัดของเธอกับสำนักเที่ยงยุทธ์ ไม่ใช่ของอู๋ฝานและสำนักเที่ยงยุทธ์ อีกฝ่ายช่วยเหลือตนไว้สองครั้งแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่คิดลากชายหนุ่มมาข้องเกี่ยวกับเรื่องราวซับซ้อนเหล่านี้
มันเป็นเรื่องที่เธอต้องสะสางด้วยตัวเอง มือที่จะใช้สังหารคนจากสำนักเที่ยงยุทธ์จะต้องเป็นมือของเธอ!
“อู๋ฝาน พวกคุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” ขณะทั้งสามเดินกลับมาถึงด้านหลังพุ่มไม้ ถังอวี่เฟยก็รีบสอบถาม
เมื่อครู่ตอนที่อู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์แสดงตัว พวกเขาขอให้ถังอวี่เฟยอยู่นิ่ง ๆ ตรงนี้ และตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอก็เชื่อฟังด้วยดี เพราะหญิงสาวทราบว่าหากออกจากตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับคนทั้งสอง ถ้ายังเกิดเรื่องอีก ตนคงต้องถูกส่งตัวกลับออกไปนอกป่า
เป้ยอวี่ฉวนมองถังอวี่เฟยด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอแค่มองก็บอกได้ว่าหญิงสาวเป็นเพียงคนธรรมดา อีกฝ่ายไม่มีแม้ร่องรอยออร่าของผู้ฝึกตน การมาปรากฏตัวที่นี่ได้ย่อมเป็นเรื่องชวนให้ประหลาดใจ
“ไม่เป็นไรครับ” อู๋ฝานตอบกลับ จากนั้นก็นำยาสมานแผลออกมาจากกระเป๋าที่เป็นฉากหน้า ก่อนจะส่งให้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟย “ช่วยทำแผลให้เธอหน่อยนะครับ”
การสู้ศึกครั้งนี้ทำให้เป้ยอวี่ฉวนได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายของเธอแทบจะไร้เรี่ยวแรงใช้ยืนซะด้วยซ้ำ และระหว่างชายหญิงก็มีเรื่องของความเหมาะสม อู๋ฝานทราบดีว่าตนเองไม่ควรทำอะไร ดังนั้นจึงต้องรบกวนถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
ถังอวี่เฟยรับยาสมานแผลจากมือของอู๋ฝานพลางตอบรับ “หันไปก่อนค่ะ อย่าแอบมองด้วยนะคะ”
การรักษาบาดแผลจำเป็นต้องปลดชุดของเป้ยอวี่ฉวนออก ดังนั้นถังอวี่เฟยจึงไม่คิดปล่อยให้อู๋ฝานใช้โอกาสนี้ลวนลามทางสายตา
“ผมไปรอทางนั้นก่อนแล้วกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็เรียกนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับโดยไม่หันกลับไปมอง แม้เป้ยอวี่ฉวนถือได้ว่าเป็นสาวงาม แต่การฉวยโอกาสกับคนที่อ่อนแรง มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำอยู่แล้ว
อู๋ฝานเดินไปอีกด้านของพุ่มไม้ หลังเดินอยู่หลายก้าวก็ไปหยุดตรงหน้าทิศทางที่เหล่าศิษย์สำนักเที่ยงยุทธ์นอนกองกันอยู่
ซุนเจี้ยนและศิษย์จากสำนักเที่ยงยุทธ์ เมื่อเห็นอู๋ฝานเดินมาหาอีกครั้งจึงเกิดตื่นตระหนก พวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนใจคิดสังหารทิ้งซะให้สิ้นเรื่องราว แต่พอเห็นเขาหยุดเดิน พวกเขาจึงโล่งอกกันอีกครั้ง
อย่างไรที่นี่ก็อันตราย หากอู๋ฝานยังคงวนเวียน พวกเขาก็ยิ่งมีแต่จะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นแม้จะเจ็บปวดเจียนตาย พวกซุนเจี้ยนก็ยังพยายามดิ้นรนลุกขึ้น หลังถลึงตามองอีกฝ่าย จึงประคองกันจากไป
อู๋ฝานไม่คิดขัดขวางคนเหล่านี้ เพราะหากเขาต้องการสังหารก็คงลงมือไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอจนถึงตอนนี้
ส่วนสายตาของกลุ่มคนที่เดินจากไปนั้น อู๋ฝานก็ทราบเช่นกัน แต่ไม่คิดเก็บมาใส่ใจ อย่างไรคนก็ยังไม่ตาย ความแค้นจึงต้องชำระ หากพวกเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่คิดมากมารยาทด้วย ครั้งนี้แค่ไม่สังหาร แต่ไม่ใช่เขาไม่กล้าลงมือ
“เรียบร้อย กลับมาได้ค่ะ” จนกระทั่งผ่านไปเกือบสิบนาที ถังอวี่เฟยจึงตะโกนบอกอู๋ฝาน
ตอนนี้เองที่อู๋ฝานหันหลังกลับเดินไปยังอีกด้านของพุ่มไม้ บาดแผลของเป้ยอวี่ฉวนได้รับการห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงคราบเลือดซึ่งเปรอะเปื้อนตามเสื้อผ้า
“แล้วนี่จะไปไหนครับ? ทำไมถึงมาที่นี่แค่คนเดียว?” อู๋ฝานเอ่ยถามเป้ยอวี่ฉวน
“ฉันมากับคนจากสำนักค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนตอบกลับ น้ำเสียงนี้แม้อ่อนแรง ทว่าดีกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด “ฉันแอบทิ้งพวกเขาออกมาหาพวกสำนักเที่ยงยุทธ์”
“คุณมีปัญหาอะไรกับสำนักเที่ยงยุทธ์เหรอครับ? ผมเห็นเมื่อคืนพวกคุณก็สู้กันไปครั้งหนึ่ง วันนี้คุณยังไม่ทันหายดีก็มาสู้กับพวกเขาอีกครั้งแล้ว” อู๋ฝานเอ่ยถาม
ร่องรอยความเกลียดชังและแค้นเคืองแสดงออกทางสีหน้าของเป้ยอวี่ฉวน “พวกสารเลวสำนักเที่ยงยุทธ์ พวกมันข่มเหงและหยามเกียรติศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักของฉัน อาจารย์ของฉันเลยไปเคาะประตูบ้านพวกมันเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง …แต่สุดท้ายกลับถูกพวกมันจัดฉากลวงสังหาร พวกมันต้องการวิชาของสำนักเรา สุดท้าย… วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าก็ถูกชิงเอาไป”
“ไอ้พวกสารเลว!” หลังได้ฟังเรื่องราวจากเป้ยอวี่ฉวน ถังอวี่เฟยถึงกับเผยสีหน้าแค้นเคืองของผู้ผดุงธรรมออกมา “อู๋ฝาน คุณไม่ควรปล่อยพวกมันรอดไปเลยค่ะ น่าจะฆ่าให้หมด!”
“ทำไมสำนักเที่ยงยุทธ์มุ่งเป้ามาที่หอคันธะสงัดล่ะครับ ก่อนหน้านี้มีเรื่องพิพาทอะไรกัน?” อู๋ฝานเมินคำถามของถังอวี่เฟย และเลือกที่จะถามเป้ยอวี่ฉวนแทน
“ไม่มีค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนส่ายศีรษะ “หอคันธะสงัดของพวกเรามุ่งเน้นที่การฝึกฝน ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางโลก ตลอดมาไม่เคยมีข้อพิพาทใหญ่โตอะไรกับสำนักอื่นด้วยซ้ำค่ะ”
อู๋ฝานขมวดคิ้ว ในเมื่อไม่มีข้อพิพาท แล้วเพราะอะไรคนของสำนักเที่ยงยุทธ์จึงลงมือกับหอคันธะสงัด กระทั่งสังหารคนระดับเจ้าหอ เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางใช่แค่เรื่องเข้าใจผิด
ชายหนุ่มมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ก่อนจะเห็นว่าเธอส่ายหน้าตอบกลับมา เป็นการบอกว่าไม่ทราบเช่นกัน ส่วนถังอวี่เฟยนั้นไม่น่าจะรู้อยู่แล้ว นอกจากครั้งนี้ที่ติดสอยห้อยตามมา เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของโลกผู้ฝึกตนเหมือนเขา
“แล้วครั้งนี้ที่คนของหอคันธะสงัดเดินทางมาที่นี่ ก็เพราะมาทวงหนี้แค้นจากสำนักเที่ยงยุทธ์เหรอครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนตอบรับ “แต่เจ้าสำนักเที่ยงยุทธ์ปฏิเสธที่จะเจอพวกเรา คนของสำนักฉันพยายามหาทางสืบว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เพราะฉันโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เลยบุกเข้าพื้นที่สำนักเที่ยงยุทธ์เพื่อลอบสังหารเจ้าสำนักของพวกมัน สุดท้ายฉันทำพลาดก็เลยถูกตามไล่ล่าแบบนี้ ระหว่างนั้นก็เสียช่องทางติดต่อกับคนของสำนักตัวเองไปด้วยค่ะ”
อู๋ฝานครุ่นคิดตาม “ถ้าเป็นแบบที่ว่า ช่วงนี้ก็เดินทางไปกับพวกเราก่อนแล้วกันครับ ในเมื่อคนจากสำนักเที่ยงยุทธ์ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ พวกเขาก็คงมีเป้าหมายเป็นแดนลับ คนของหอคันธะสงัดที่ต้องการถามพวกเขาก็คงตามไปด้วย และบังเอิญว่าพวกเราเองก็กำลังจะไปที่แดนลับนั่นเหมือนกัน เพราะงั้นร่วมทางกันไปก่อนก็น่าจะได้ครับ”
หลังครุ่นคิด เป้ยอวี่ฉวนก็พยักหน้ารับ “ขอบคุณค่ะ”
มันแทบจะเป็นทางเดียวที่เธอจะไปต่อได้ เพราะสภาพตอนนี้ที่ไร้เรี่ยวแรงและอ่อนล้า เธอทราบดีว่าไม่มีทางที่จะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย