ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 429 สับสนอลหม่าน
บทที่ 429 สับสนอลหม่าน
บทที่ 429 สับสนอลหม่าน
แมวเมฆหิมะลงมือสำเร็จแต่ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ มันกระโดดไปมาระหว่างกลุ่มคนด้วยความไวประดุจแสง สิ่งเดียวที่ทหารส่วนตัวเหล่านี้ทำได้คือการพยายามกวัดแกว่งอาวุธโดยหวังว่าจะโดนแมวเมฆหิมะสักครั้งหนึ่ง
ทว่าการกระทำของพวกเขากลับไร้ผล อาวุธที่ตวัดออกไปเต็มแรงกลับไม่อาจแตะต้องแม้ปลายขนแมวเมฆหิมะ ตอนนี้พวกเขาตระหนักว่าก่อนหน้าประเมินความเร็วของแมวเมฆหิมะต่ำเกินไป แม้ก่อนหน้านี้แมวเมฆหิมะไล่พวกเขาจนออกมาจากป่าด้วยสภาพน่าอนาถ ทั้งยังไม่อาจทำอะไรมันได้ ขณะนี้ได้ตระหนักว่าครั้งก่อนยังไม่ใช่ความเร็วสูงสุดที่แมวเมฆหิมะทำได้
ไม่นานกลุ่มทหารส่วนตัวก็โดนแมวเมฆหิมะเล่นงานกันอีกครั้ง ร่างกายที่บาดเจ็บอยู่แล้วยิ่งเกิดรอยแผลหนักมากขึ้น พวกเขาแต่ละคนต่างก็แผดเสียงร้องดังออกมา
ที่ปรึกษามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นพลางหางตากระตุก เขาไม่คาดว่าแมวเมฆหิมะจะยังแข็งแกร่งแม้เผชิญหน้ากลุ่มทหารเหล่านี้ที่ร่วมแรงร่วมใจกัน
ขณะที่ปรึกษากำลังพึมพำถึงความแข็งแกร่งของแมวเมฆหิมะ ทันใดนั้นเองที่ร่างเงาสีดำพุ่งเข้ามาใกล้จากตรงหน้า ที่ปรึกษาถึงขั้นสะดุ้งหวาดเกรงพลางเร่งหลบเลี่ยง เพียงแต่การตอบสนองนี้ช้าเกินไป แมวเมฆหิมะถีบยอดหน้าพร้อมกางเล็บคมข่วนใบหน้าจนเข้าเนื้อเป็นที่เรียบร้อย
“อ๊าก หน้าข้า!”
ที่ปรึกษาแผดร้องโหยหวนเสียงดังขณะใช้สองมือกุมใบหน้า และที่สัมผัสได้นั้นก็คือของเหลวสีแดงชาด
“เลือด เลือด! เจ็บจะตายแล้ว ช่วยข้าที!” เมื่อเห็นเลือดท่วมเต็มมือ ที่ปรึกษาจึงหวาดกลัวจนเสียอาการพลางตะโกนออกมาอย่างขวัญเสีย
แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้ไร้ผู้ใดตอบรับ เหล่าทหารส่วนตัวที่เข้าป่าไปก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากัน ตามเนื้อตัวหลายส่วนปรากฏรอยข่วนกรีดเข้าเนื้อ อีกทั้งหลายคนก็ยังโดนข่วนเลือดโชกใบหน้าเหมือนดังที่ปรึกษา
“ท่านที่ปรึกษา พวกเราต้องหนีขอรับ!” ผู้นำกลุ่มทหารส่วนตัวร้องตะโกนขึ้น
“ไป ไป หนีก็หนี! หนีเร็วเข้า!” ที่ปรึกษารีบตอบรับไม่คิดทักท้วง สองมือยังกุมใบหน้าขณะก้มศีรษะลงต่ำพลางหันหลังกลับหลบหนี
ทหารส่วนตัวคนอื่นที่เหลือต่างก็รีบหลบหนีด้วยสภาพทุลักทุเลไม่ต่างกัน
แมวเมฆหิมะหยุดไล่ตาม มันกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของไม้ใหญ่พลางชมที่ปรึกษาและคณะหลบหนีอย่างสุขสันต์
“รองหัวหน้า พวกมันกลับมาแล้ว!” เจิ้งเสี่ยวลิ่วที่เห็นพวกที่ปรึกษาหลบหนี จึงรีบกลับไปรายงานที่ทางเข้าออกหมู่บ้าน
“เร่งมือ ทุกคนเตรียมพร้อม พวกเราจะไม่ปล่อยให้ไอ้เวรพวกนั้นเอาอะไรไปจากหมู่บ้าน!” หลังหนิวเอ้อได้ยินคำของเจิ้งเสี่ยวลิ่ว จึงตะโกนสั่งการทุกคนในหน่วยรักษาการณ์ให้พร้อมลงมือ
หน่วยรักษาการณ์ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาต่างก็รวมตัวกันพร้อมอาวุธในมือ ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบอง ธนู ลูกธนู สารพัดอาวุธเตรียมพร้อมใช้งาน ด้านหลังกระทั่งมีการขุดกับดักเตรียมรอเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย
เมื่อได้ยินคำสั่งการของหนิวเอ้อ ทุกคนในหน่วยรักษาการณ์ต่างก็เผยสีหน้ามุ่งมั่นพลางกระชับอาวุธในมือแน่นเพื่อเตรียมรับศึก
“เสี่ยวลิ่ว พวกมันเข้าหมู่บ้านเรามาทำอะไรกันแน่?” หวังปิงเดินไปถามเรื่องที่คาใจ
“พวกมันผ่านหมู่บ้านมุ่งตรงไปทางป่าด้านหลังของภูเขา ราวกับกำลังตามหาอะไรบางอย่าง ส่วนเป็นอะไรนั้นข้าไม่ทราบ” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบกลับ
“ป่าด้านหลังภูเขา?” หนิวเอ้อและหวังปิงต่างมองหน้ากันเอง “นั่นมันทรัพย์สินส่วนตัวของนายท่าน!”
ทหารส่วนตัวของอู๋ฝานทราบเรื่องสัญญาเช่าเหมาด้านหลังภูเขาของหมู่บ้าน ทุกสิ่งถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนายท่านของพวกเขา อีกฝ่ายจะคอยเฝ้าระวังและหวงแหนพื้นที่ส่วนนั้นเอาไว้เป็นอย่างดี การสร้างบ้านเรือนและกำแพงเมือง ไม่ว่าจะความต้องการด้านแร่ ไม้ หรือว่าหิน ทั้งหมดจะหามาจากด้านหน้าของหมู่บ้าน เนื่องจากอู๋ฝานไม่ต้องการให้ใครก็ตามย่างกรายเข้าไปยังด้านหลังของภูเขา มันมากพอแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญมากถึงเพียงใด
ตอนนี้ที่ปรึกษาและคณะถึงขั้นบุกไปยังด้านหลังของภูเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายตามหาอะไรยามนี้ก็เท่ากับปล้นชิงทรัพย์สินส่วนตัวกันซึ่งหน้า หากอู๋ฝานทราบมีหรือจะไม่โกรธ?
เมื่อคิดได้ดังนั้น หนิวเอ้อจึงตะโกนเสียงดังบอกกลุ่มคน “ทุกคนจงฟังให้ดี ไอ้เวรพวกนั้นมาเพราะต้องการช่วงชิงสิ่งของของนายท่าน พวกมันเหิมเกริมจนเกินไป นับจากนี้พวกเราจะสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก และจะไม่ปล่อยให้พวกมันได้อะไรกลับไปแม้แต่อย่างเดียว!”
“ขอรับ!” หน่วยรักษาการณ์ขานตอบรับ
“รองหัวหน้า ข้ายังเล่าไม่หมด พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้ขอรับ เนื่องจากพวกมันไม่ได้อะไรกลับมาทั้งนั้น” เจิ้งเสี่ยวลิ่วเอ่ยคำบอกออกมา
“หมายความว่ายังไงกัน?” หนิวเอ้อ หวังปิง รวมถึงคนอื่นต่างมองเจิ้งเสี่ยวลิ่ว
ขณะเจิ้งเสี่ยวลิ่วคิดจะอธิบายออกมา กลุ่มคนกลับได้ยินเสียงฝีเท้าอันวุ่นวายดังขึ้น มันมาจากทางด้านในหมู่บ้าน ไม่นานก็ได้เห็นที่ปรึกษาและคณะได้รับบาดเจ็บสภาพชวนน่าสังเวชพร้อมขี่ม้าออกมาจากทางหมู่บ้าน แต่ละคนต่างมีสีหน้าแตกตื่น ตกใจ และหวาดกลัว
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
หลังเห็นที่ปรึกษาและคณะได้รับบาดเจ็บ หนิวเอ้อและพรรคพวกจึงต้องมองหน้ากันเองราวไม่เชื่อสายตา กระทั่งนึกสงสัยว่าพวกเขาเหล่านี้ไปเจออะไรมา
“หลีกทาง หลีกทางไปให้พ้น!” ที่ปรึกษาซึ่งควบม้ามาอยู่ เมื่อเห็นพวกหนิวเอ้อขวางเส้นทางเอาไว้จึงตะโกนบอกเสียงดัง ราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่างที่ตามไล่ล่า
หนิวเอ้อมองหวังปิง อีกฝ่ายพยักหน้าให้ ที่ปรึกษาและคณะไม่ได้นำอะไรกลับออกมายกเว้นแต่ได้รับบาดเจ็บ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเปิดฉากต่อสู้ อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลาย เนื่องจากอู๋ฝานไม่อยู่ พวกเขาจึงต้องเน้นรักษาความสงบเท่าที่จะทำได้
เมื่อเห็นหวังปิงพยักหน้า หนิวเอ้อจึงส่งสัญญาณให้หน่วยรักษาการณ์เปิดทางปล่อยที่ปรึกษาและคณะเดินทางกันออกไป
ที่ปรึกษาและพรรคพวกไม่สนใจจะหาเรื่องหนิวเอ้อแม้แต่น้อย พวกเขาทำเพียงเร่งควบม้าเพื่อหนีไปให้พ้นจากที่นี่
“เดี๋ยว!” ทันใดนั้นเองที่หวังปิงตะโกนเสียงดังขึ้นมา
แต่ที่ปรึกษาและคณะราวกับไม่เห็นพวกหนิวเอ้อและหวังปิงในสายตา เมื่อรวมกับความหวาดกลัวที่มีต่อแมวเมฆหิมะ พวกเขามีหรือจะฟังคำเรียกทักท้วงของหวังปิง?
“ฟุ่บ!”
“ตึง!”
เพียงสิ้นเสียงหวังปิงได้แค่ชั่วพริบตา ม้าของที่ปรึกษาและเหล่าทหารต่างตกลงไปในหลุมกับดักที่พวกหนิวเอ้อขุดขึ้นอย่างเร่งด่วน จนทำให้เกิดเสียงทั้งคนและม้าร้องโอดโอยดังออกมาจากหลุม
“บอกแล้วว่าเดี๋ยว ไม่ฟังเองนี่นะ” หวังปิงบ่นพึมพำออกมา
“สารเลว! ใครใช้ให้พวกแกมาขุดหลุมกันแถวนี้!” หลังที่ปรึกษาปีนป่ายขึ้นมาจากหลุมกับดักด้วยสภาพทุลักทุเล เขาก็ตะโกนสบถใส่พวกหนิวเอ้อ
แต่สภาพของที่ปรึกษาและคณะถึงขั้นทำพวกหนิวเอ้อต้องหลุดหัวเราะออกมา ใบหน้าที่โดนแมวเมฆหิมะข่วนลากเป็นทางยาวเลือดไหลท่วม อีกทั้งขณะนี้ยังร่วงหล่นลงไปในหลุมกับดัก ทั้งโคลนทั้งเลือดผสมปนเปจนแยกไม่ออก เสื้อผ้าขาดวิ่นเพราะเจ้าตัวน้อย สภาพในยามนี้เรียกได้ว่าขอทานก็อาจจะยังดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ความอาจหาญยิ่งใหญ่เมื่อครั้งบุกมาหายไปที่ใดแล้ว?
“ใต้เท้า ข้าเตือนแล้วท่านไม่ฟังเอง” หวังปิงเก็บรอยยิ้มขณะตอบกลับอีกฝ่าย “ไม่นานมานี้มีกลุ่มโจรร้ายออกอาละวาด หน่วยรักษาการณ์ของหมู่บ้านจึงต้องหาทางรับมือเพื่อความปลอดภัย การขุดหลุมกับดักถือเป็นเรื่องปกติเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ใต้เท้าบังเอิญร่วงลงไปก็เท่านั้นเอง แล้วจะมากล่าวโทษพวกเราได้อย่างไร? อีกทั้งข้าก็ยังตะโกนเรียกขอให้หยุดแล้ว แต่พวกท่านเลือกไม่ฟัง จะยังกล่าวโทษผู้ใดได้?”
“เจ้า… วาจาร้ายกาจนัก!” ที่ปรึกษาราวกับคิดไม่ออกว่าจะตอบโต้อย่างไร
แต่พอโกรธจนเลือดลมพลุ่งพล่าน ปากแผลตามร่างกายจึงฉีกออกอีกครั้งหนึ่ง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านขณะตัวคนต้องสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด เขาไม่อาจเสียเวลาโต้เถียงกับพวกหวังปิงได้ ตอนนี้จึงหันไปตะโกนบอกเหล่าทหารส่วนตัวของกัวจื่อหมิง “พวกเรากลับ!”
เห็นได้ชัดว่าสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือการเดินทางกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อน
ทว่าเพราะหล่นลงหลุมกับดัก อีกทั้งม้าก็ยังร่วงลงไปด้วยจนได้รับบาดเจ็บจึงยากที่จะเดินทางไปต่อ ที่ปรึกษาจึงต้องละทิ้งม้าพร้อมสั่งให้กลับเทศมณฑลเป็นการด่วน โดยเขาขี่ซ้อนม้าตัวอื่นที่ไม่ได้ร่วงหล่นเพื่อเดินทาง