ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 439 สำเร็จ!
บทที่ 439 สำเร็จ!
วิธีการตีเหล็กสมัยใหม่แตกต่างจากวิธีการตีเหล็กดั้งเดิม วิธีการของสมัยใหม่จะช่วยทุ่นแรงด้วยอุปกรณ์ที่ก้าวหน้า วิธีการดั้งเดิมคือการให้ความสำคัญกับระดับความสามารถของช่างฝีมือ ทั้งสองต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยต่างกันไป และเพราะอู๋ฝานเป็นถึงมาสเตอร์ในด้านนี้จึงสามารถใช้วิธีการตีเหล็กทั้งสอง พร้อมทั้งประสานเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี เมื่อนำข้อดีของแต่ละอย่างมารวมกันจึงออกมาเป็นผลลัพธ์อันน่าทึ่ง
“โอ้! โอ้!” เหมยอวี่และเหมยเสวี่ยต่างพยักหน้ารับ
“เจ้าหอคะ ฉันหลงรักกระบี่เล่มนี้แล้ว มอบให้ฉันจริงใช่ไหมคะ?” เหมยเสวี่ยอ้อนวอนอู๋ฝานด้วยสีหน้าท่าทีน่ารัก
“เสี่ยวเสวี่ย! อย่าพูดอะไรไร้สาระแบบนั้น” เหมยอวี่ถลึงตามองแฝดน้อง
ในความเห็นของเหมยอวี่ กระบี่นี้ล้ำค่าเกินไป มีแต่เจ้าหอหรือผู้อาวุโสเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติครอบครองและใช้งาน พวกเธอที่เป็นเพียงแค่ศิษย์ทั่วไปของหอคันธะสงัด ยังไม่มีคุณสมบัติดีพอได้ใช้อาวุธที่ดีเหล่านี้ ดังนั้นคำขอของเหมยเสวี่ยจึงมากเกินไป อาจถึงขั้นทำเจ้าหอไม่สบอารมณ์ได้
เหมยเสวี่ยรู้ดีแก่ใจ หลังได้ยินคำของแฝดพี่จึงเงียบไปไม่พูดอะไรอีก
แต่อู๋ฝานกลับหัวเราะออกมา “กระบี่สองเล่มนี้เดิมก็ตั้งใจให้ทั้งสองคนอยู่แล้ว เพราะงั้นรับเอาไว้เถอะครับ”
“จริงเหรอคะ? ขอบคุณเจ้าหอค่ะ ท่านเจ้าหอยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเลย!” เหมยเสวี่ยลิงโลดด้วยอาการตื่นเต้นไม่คิดปิดบัง
“เจ้าหอ เรื่องนี้… ดูค่อนข้างไม่เหมาะสมค่ะ พวกเรารับกระบี่นี้เอาไว้ไม่ได้” แม้ใจเหมยอวี่จะชื่นชอบกระบี่เล่มนี้ แต่เหตุและผลกำลังร้องบอกเธอว่ากระบี่ที่ดีแบบนี้ สมควรมีแต่เจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสถึงมีในครอบครองได้
“ไม่เหมาะสมอะไรล่ะครับ?” อู๋ฝานหัวเราะตอบ “กระบี่เดิมก็หักไปแล้ว ไม่ต้องการหากระบี่ใหม่งั้นเหรอ?”
“แต่กระบี่ทั้งสองเล่มนี้ดีเกินไป มอบให้พวกเรามีแต่จะเสียของนะคะ” เหมยอวี่ตอบกลับ
“ไม่เสียของหรอกครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรแล้วครับ และไม่ใช่แค่พวกคุณ แต่ผมจะสร้างกระบี่ให้ทุกคนในสำนัก”
“ทุกคน?!” ทุกคนในที่นี้ต่างอุทานเป็นเสียงเดียวกัน
ท่ามกลางสายตาของกลุ่มคน กระบี่ทั้งสองเล่มเป็นของดีอย่างไร้ข้อกังขา กระทั่งว่าดียิ่งกว่ากระบี่ที่อดีตเจ้าหอเคยได้รับจากสำนักหลอมกระบี่ซะด้วยซ้ำ และกระบี่เช่นนี้ไม่มีทางสร้างขึ้นได้ง่าย ๆ อีกทั้งอู๋ฝานบอกว่าจะสร้างให้ทุกคนในหอคันธะสงัด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่กลุ่มคนตรงนี้จะรู้สึกหวาดเกรงกันขึ้นมา
“ใช่ครับ ทุกคนเลย” อู๋ฝานยิ้มตอบ “ผมคือเจ้าหอคันธะสงัด อาวุธของพวกคุณทุกคนคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร ถือเป็นความเสื่อมเสียถึงตัวผมด้วยเหมือนกัน จริงไหมครับ? คนอื่นอาจจะคิดว่าพวกเราหอคันธะสงัดไม่รู้วิธีการตีเหล็กที่ดีเอาได้”
แม้แร่อุกกาบาตดวงดาวจะมีมูลค่าสูง แต่อู๋ฝานผู้เป็นเจ้าหอคันธะสงัดยังต้องคิดถึงเหล่าศิษย์ กระทั่งว่าต้องทุ่มเทค่าใช้จ่ายไปบ้าง ดังนั้นก็ยังถือว่าเป็นการลงทุนอันคุ้มค่า
คำพูดของเขาทำให้เหล่าศิษย์ในโรงตีเหล็กแห่งนี้เกิดความอับอาย ฝีมือการตีเหล็กของพวกเธอไม่สูงส่ง อาวุธที่สร้างให้ศิษย์สำนักใช้งานไม่ได้ดีเด่นก็จริง แต่พออู๋ฝานหยิบยกขึ้นมาพูด ก็ทำพวกเธอรับรู้ได้ว่าเป็นจุดด่างพร้อยของสำนักจริง
“ไม่ต้องเสียใจไปนะครับ หลังจากนี้ผมจะสอนให้ด้วยตัวเอง ตอนนี้อาจจะยังไม่สามารถข้ามผ่านสำนักหลอมกระบี่ได้ แต่อนาคตก็ไม่แน่ครับ” อู๋ฝานบอกเหล่าศิษย์ในโรงตีเหล็กเพื่อให้กำลังใจ
“ขอบคุณเจ้าหอค่ะ!” เหล่าศิษย์ต่างรีบขอบคุณกันออกมา
การจะเหนือไปกว่าสำนักหลอมกระบี่ เรียกได้ว่าไม่เคยเป็นอะไรที่พวกเธอเคยนึกฝันมาก่อน แต่หลังได้เห็นฝีมือของอู๋ฝาน พวกเธอจึงเกิดความคาดหวังขึ้นมาในใจ
หลังออกจากโรงตีเหล็กก็พบว่าเป็นช่วงฟ้าเริ่มมืดแล้ว ในสถานที่ห่างไกลและลึกในป่าภูเขาเช่นที่นี่ที่ไร้ซึ่งความบันเทิงใดให้รับชม เมื่ออู๋ฝานทานอาหารเรียบร้อยจึงนอนอยู่บนเตียงขณะครุ่นคิดไปเรื่อย จนกระทั่งช่วงเที่ยงคืนจึงเทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกม
ที่โลกแห่งเกม อู๋ฝานยังคงอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยม แต่เวลานี้ยังไม่คิดเร่งร้อนเดินทางต่อ แต่ขอให้บริกรของโรงเตี๊ยมนำปากกาและกระดาษมาให้ เพื่อเตรียมคัดลอกความทรงจำจากวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าออกมา
“จะสำเร็จหรือว่าล้มเหลวกันนะ” หลังอู๋ฝานจดเนื้อหาของวิชาลงไปบนกระดาษ จากนั้นจึงปิดผนึกมันและเริ่มภาวนาอยู่ในใจ
[ติ๊ง ได้รับวิชาระดับสวรรค์ วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า!]
เพียงอู๋ฝานปิดผนึกกระดาษ เสียงจักรกลอันคุ้นเคยพลันดังขึ้นมาให้ได้ยิน
ตอนแรกนั้นเขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยอาการยินดีพร้อมตะโกนในใจดังลั่น
เมื่ออู๋ฝานวางมือลงบนกระดาษที่เพิ่งเขียนวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า มันก็กลายเป็นลำแสงไหลเวียนเข้าสู่สมองและห้วงความคิด
ชั่วพริบตา ภายในจิตใจของเขาจึงเริ่มปรากฏคำอธิบายและเนื้อหาของวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า ส่วนที่ไม่เข้าใจก่อนหน้านี้กลับกระจ่างแจ้ง มันเป็นความรู้สึกราวกับได้ตื่นรู้
อู๋ฝานรีบตรวจสอบหน้าต่างสถานะของตนเอง และพบว่าได้เรียนรู้วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังเป็นแค่ขั้นที่หนึ่ง ดังนั้นกระบวนท่าที่เรียนรู้จึงมีเพียงหนึ่ง ในภายหน้า ขอเพียงใช้งานมันต่อเนื่องพร้อมทั้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เมื่อใดค่าประสบการณ์ของขั้นที่หนึ่งเต็มแล้วก็จะสามารถก้าวสู่ขั้นที่สองได้อย่างราบรื่น เรียกได้ว่าเร็วยิ่งกว่าการเสาะหาเส้นทางด้วยตัวเองในโลกความเป็นจริงอีก ทั้งยังไม่มีปัจจัยอื่นเช่นการไม่เข้าใจด้วย
‘ในเมื่อวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าได้ผล ทุกวิชาของสำนักก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน ขอแค่ทำความเข้าใจที่นี่ ความรู้และความเข้าใจของเราจะก้าวหน้ากว่าทุกคนภายในสำนัก เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสามารถชี้แนะการฝึกฝนให้พวกเธอคืบหน้าได้เร็วกว่าที่เคยเป็น’ อู๋ฝานเริ่มครุ่นคิดถึงแผนการอยู่ในใจ
ยิ่งคิดเท่าไหร่ในใจของเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ด้วยฐานะเจ้าหอคันธะสงัด เขาย่อมคาดหวังให้เหล่าศิษย์ในสำนักมีกำลังและแข็งแกร่งมากขึ้น จากนั้นเขาจะได้ไปจากสำนักได้อย่างวางใจ กระทั่งส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักแก่คนที่เหมาะสม
หลังข้อสงสัยได้รับการยืนยัน อู๋ฝานที่อารมณ์ดีจึงเรียกหาลั่วหยางและลั่วเยวี่ยเพื่อเริ่มเดินทางต่อ
ช่วงกลางวันภายในเกมยังคงเป็นการรีบเร่งเดินทาง เพราะไม่มีอะไรอื่นให้ทำเขาจึงตัดสินใจฝึกฝนการปรุงยาภายในรถลาก ในเมื่อว่างจนไม่รู้จะทำอะไรก็จำเป็นต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
เมื่ออู๋ฝานเทเลพอร์ตกลับสู่โลกความเป็นจริง เขาก็ไม่ได้นอนอีกสักงีบ แต่หาปากกาและกระดาษมาเขียนความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าที่อยู่ในใจออกมา
เพียงอู๋ฝานเขียนเสร็จ ก็พบว่าฟ้าเริ่มส่องสว่างขึ้นมาแล้ว ขณะนี้จึงเปิดประตูห้องออกไป และบอกกับสองแฝดที่เฝ้าประตูอยู่ก่อน “เรียกสวีฮุ่ยมาพบหน่อยนะครับ”
“ค่ะ” เหมยอวี่รับคำก่อนจะส่งคนไปจัดการต่อ
ด้านเหมยเสวี่ยเดินเข้าห้องมาพร้อมอุปกรณ์ในช่วงเช้า เพื่อช่วยอู๋ฝานล้างหน้า
หลังอู๋ฝานล้างหน้าเสร็จก็ได้ทราบว่าสวีฮุ่ยมาถึงแล้ว
“เจ้าหอเรียกหามีอะไรเหรอคะ” สวีฮุ่ยโค้งกายให้อู๋ฝาน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสุภาพและนอบน้อม
“นั่งก่อนครับ” อู๋ฝานแสดงท่าทีบอกให้เธอนั่งลงก่อน จากนั้นจึงส่งบันทึกความเข้าใจของตนเกี่ยวกับวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าที่เพิ่งเขียนออกไป “ลองอ่านดูครับ”
สวีฮุ่ยรับเอาไว้ด้วยความสงสัย แต่หลังได้อ่านไม่กี่บรรทัดในช่วงแรก ทั้งร่างของเธอก็สะท้านก่อนดวงตาจะทอประกายขึ้นมา กระทั่งไม่สนแล้วด้วยซ้ำว่าอู๋ฝานจะยังอยู่ในห้อง เธอรีบนั่งลงพร้อมจ้องกระดาษในมือแทบไม่กะพริบตาซะด้วยซ้ำ