ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 451 แข็งแกร่งถึงขนาดนี้?
บทที่ 451 แข็งแกร่งถึงขนาดนี้?
“อู๋ฝานแข็งแกร่งถึงขนาดนี้?” ขณะผู้นำกลุ่มคนประหลาดใจเพราะฝีมือของชายหนุ่ม เจ้าฉีที่หลบอยู่ด้านหลังก็มองด้วยท่าทีตกใจเช่นเดียวกัน
นางทราบถึงความแข็งแกร่งของคนกลุ่มนี้ดี แต่ละคนรับมือกับชายร่างใหญ่นับสิบก็ยังไม่มีปัญหาเสียด้วยซ้ำ ขณะที่อู๋ฝานผู้ซึ่งดูไม่ได้แข็งแกร่งอะไรในความเห็นของเจ้าฉี กลับกลายเป็นว่ากลุ่มคนไม่อาจเทียบกับเขาได้ด้วยซ้ำ
ความเป็นจริงสวนทางกลับสิ่งที่คิด ขณะเผชิญหน้ากับวงล้อมของกลุ่มคนอู๋ฝานกลับไม่เพลี่ยงพล้ำหรือเป็นฝ่ายเสียบเปรียบ เจ้าฉีที่ไม่ได้รู้จักกับชายหนุ่มจะประหลาดใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“นายท่านของข้าแข็งแกร่งมากนะขอรับ เคยสังหารผู้นำกองทัพกบฏมาแล้วหลายคนด้วยซ้ำ” ลั่วหยางเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ
“ผู้นำกองทัพกบฏ? มันคืออะไรกัน?” เจ้าฉีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เนื่องจากต้องการโอ้อวดเต็มที่ ลั่วหยางจึงเล่ารายละเอียดให้เจ้าฉีได้ทราบ ถึงเหตุการณ์ที่อู๋ฝานได้เผชิญหน้ากับกองทัพกบฏถึงสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือการเดินทางขนส่งเสบียง ส่วนอีกครั้งคือการปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านเร้นลับเอาไว้ ทั้งยังกล่าวเสริมพร้อมความนับถือที่มีต่อชายหนุ่มอย่างออกนอกหน้า ว่าการเด็ดหัวผู้นำกองทัพกบฏและกองทัพนับไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรด้วยซ้ำ
เจ้าฉีที่ฟังคำอธิบายของลั่วหยางก็ดวงตาเบิกกว้าง สุดท้ายจึงหันไปเหม่อมองอู๋ฝานที่อยู่ตรงหน้าพลางครุ่นคิด ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยงั้นหรือ?
และก็คล้ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นจริง! ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่อาจเผชิญหน้ากับหน่วยองครักษ์หลายคนโดยไม่เพลี่ยงพล้ำเช่นที่เห็นได้
‘ไม่แปลกใจเลยที่ได้รับแต่งตั้งเป็นจื่อเจวี๋ย’ เจ้าฉีครุ่นคิดอยู่ในใจ
อู๋ฝานแทบไม่ได้สนใจเลยว่าด้านหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังเริ่มต่อสู้เขาก็ได้ตระหนักว่ากลุ่มองครักษ์ของตระกูลเจ้าฉีแข็งแกร่งถึงขนาดไหน แม้ขณะนี้ตนกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบและทำให้อีกฝ่ายถอยไปง่าย ๆ กระทั่งทำให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีเพียงตัวเขาที่ทราบถึงอันตรายแท้จริง
‘ตัวตนของเจ้าฉีเป็นใครกันแน่ ทำไมองครักษ์ตระกูลนางถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?’ อู๋ฝานได้แต่คิดและสงสัยอยู่ภายในใจ
การต่อสู้ในวงล้อมไม่อาจเสียสมาธิ โดยเฉพาะในช่วงที่มียอดฝีมือหลายคนรุมล้อมเข้ามา หากอู๋ฝานเสียสมาธิเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ผลลัพธ์แปรเปลี่ยน ขอเพียงคู่ต่อสู้เห็นช่องโหว่ก็พร้อมจะฉกฉวยคว้าเอาไว้ ซึ่งก็เป็นเวลานี้เองที่อีกฝ่ายต่อยเข้าใส่หน้าอกของชายหนุ่ม ทำให้เขาต้องถอยหลังหลายก้าวพร้อมสีหน้าซีดเผือด
“อู๋ฝาน!”
“นายท่าน!”
เมื่อเห็นสถานการณ์แปรเปลี่ยน ทั้งเจ้าฉีและลั่วเยวี่ยต่างก็อุทานออกมา
หลังมองไปยังอีกฝ่ายที่เห็นโอกาสจนเกือบคว้าเอาไว้ได้ อู๋ฝานจึงตั้งสมาธิใหม่อีกครั้งก่อนจะบุกเข้าไป
วิชาของอู๋ฝานตอนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการใช้ขาเป็นอาวุธ ส่วนการใช้มือยังค่อนข้างเลวร้ายอยู่ หากอาศัยแค่ทำร้ายผู้คนนั้นทำได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วและพละกำลังด้วย เนื่องจากกระบี่อยู่ในรถลาก และคู่ต่อสู้เป็นองครักษ์ประจำตระกูลของเจ้าฉี อีกฝ่ายจะไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาได้เปรียบไปมากกว่านี้ เรื่องดีก็คือแม้ไม่มีกระบี่ให้ใช้งาน แต่ขาของเขาก็สามารถใช้แทนอาวุธทำร้ายผู้อื่นได้ ความแข็งแกร่งของวิชาขาห่วงโซ่แสดงศักยภาพออกมาได้ดีเยี่ยม กระทั่งเกิดเป็นร่างเงาภาพติดตามปรากฏกลางอากาศประหนึ่งมีขานับสิบข้างก็ไม่ปาน
ความอึดของอู๋ฝานทำให้ชายผู้นำไม่กล้ายืนเฉยรับชมต่อ สายตาของเขาจ้องเขม็งขณะโน้มตัวบุกเข้าไปเปิดฉาก
แม้อู๋ฝานจะตกอยู่กลางวงล้อม แต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจากทางด้านหลัง เขาหันกลับโดยไม่เสียเวลา พร้อมเหวี่ยงหมัดออกไป
“ตึง!”
สองหมัดปะทะกัน หนึ่งเป็นของอู๋ฝาน อีกหนึ่งเป็นของหัวหน้าองครักษ์
หลังสองหมัดปะทะกัน อู๋ฝานก็ถอยไปสองก้าว ขณะที่หัวหน้าองครักษ์กลับต้องถอยเท้าไปสี่ถึงห้าก้าว ขณะเดียวกันนั้นก็ยังเผยสีหน้าแดงก่ำเหยเก ทว่าไม่ช้าก็ระงับอาการเก็บเอาไว้
“อีกครั้ง!” หัวหน้าองครักษ์มองอู๋ฝานด้วยสายตาระแวดระวัง ก่อนจะลงมือเขาได้ตระหนักแล้วว่าชายหนุ่มมีพละกำลังเกินคาดคิด หลังลงมือก็รับรู้ด้วยตนเอง แม้ต้องยิ่งระมัดระวัง แต่ก็ทำให้เลือดในกายร้อนรุ่มด้วยเช่นกัน ประหนึ่งไฟแห่งการต่อสู้กำลังลุกโชน
นับตั้งแต่ถวายการรับใช้ราชสำนัก ผ่านมาหลายปีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยได้พบยอดฝีมือระดับนี้? นานแค่ไหนแล้วที่เลือดในกายไม่ได้ร้อนรุ่ม? เนื่องจากราชสำนักมีการตรวจตราและคุ้มกันวังหลวงอย่างเข้มงวด เพียงแค่คิดผู้คนก็ยังไม่กล้า เรียกได้ว่าแม้มีกำลังก็ไม่อาจนำมาใช้งานได้ ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เจอคู่ต่อสู้ที่สามารถทุ่มสุดตัว ไม่แปลกหากจะกระตุ้นความคลุ้มคลั่งที่หลับใหลอย่างยาวนานให้ตื่นขึ้น
ใจอู๋ฝานนึกตระหนกตกใจไม่น้อย หมัดเมื่อครู่นี้แม้จะรีบเร่งไปบ้าง แต่เรี่ยวแรงที่ใช้นั้นก็ไม่ใช่เล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังถึงขั้นต้องถอยมาสองก้าว ขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ล้มลงหรือบาดเจ็บ เห็นได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมือที่แท้จริงคนหนึ่ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายบุกเข้ามาอีกครั้ง อู๋ฝานจึงต้องกลั้นหายใจก่อนจะทำการตอบโต้
“ตึง!” หมัดปะทะกันอีกครั้ง และครั้งนี้อู๋ฝานยังเป็นฝ่ายครองความได้เปรียบ แม้ได้เปรียบก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเอาชนะได้
แต่ที่ทำให้อู๋ฝานยิ่งประหลาดใจคือการที่อีกฝ่ายถอยเท้าไปเพียงแค่สองก้าวก็พร้อมพุ่งกายกลับขึ้นมาอีกครั้ง หมัดนี้ประหนึ่งขุนเขาที่พยายามกดทับลงไปยังร่างกาย ก่อนหมัดจะปะทะกัน ก็ทำให้เขาตระหนักได้ถึงแรงกดดันอันยิ่งใหญ่
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังใช้วิทยายุทธ์ประการหนึ่ง อย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกแห่งเกม หากมอนสเตอร์สามารถดร็อปตำราวิชาออกมาได้ ก็ไม่แปลกใจที่คนของโลกฝั่งนี้จะมีวิชาวิทยายุทธ์ในครอบครอง
อู๋ฝานตระหนักว่าหมัดของคู่ต่อสู้แข็งแกร่งจึงต้องการหลบเลี่ยง เพียงแต่อีกฝ่ายว่องไวและใช้มุมที่แยบยล ไม่ว่าเขาจะพยายามเบี่ยงเพียงใด หมัดนั้นก็จะเข้ามาปะทะให้จงได้ เรียกได้ว่าแทบไม่มีช่องว่างให้หลบ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อู๋ฝานจึงไม่คิดหลบเลี่ยงแต่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่าย และการกระทำถัดมาก็ไม่ใช่การโจมตีตอบโต้ ทว่าเป็นการปล่อยให้คู่ต่อสู้ต่อยหมัดใส่หน้าอกตนเอง ขณะเดียวกันนั้นหมัดของเขาก็พุ่งไปปะทะกับอีกฝ่าย
สภาพตอนนี้จึงเปรียบได้กับคนทั้งสองกำลังแลกเลือดคิดตายร่วมกัน
หัวหน้าองครักษ์เห็นอู๋ฝานคิดหลบจึงเผยยิ้มเย็นยะเยือกในใจ หมัดของเขาไม่มีใครสามารถหลบเลี่ยงได้ เมื่อเผชิญหน้าแล้วมีแต่ต้องรับเอาไว้อย่างไม่มีทางเลือก ขณะนี้เมื่อเห็นชายหนุ่มตัดสินใจรับหมัดของตนเอง ในขณะเดียวกันก็ยังสวนหมัดตอบกลับมา หัวหน้าองครักษ์ก็ไม่คิดเก็บมาใส่ใจ อย่างไรแรงในหมัดของอีกฝ่ายนั้น เขาก็ได้พิสูจน์แล้ว ต่อให้รับเอาไว้ก็เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ขณะที่ฝ่ายเขาต่างหากที่จะทำให้ชายหนุ่มบาดเจ็บได้มากกว่า เรียกได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า!
‘ก่อนหน้านี้ก็นึกว่าจะแย่แล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นคนกล้าได้กล้าเสียถึงขนาดนี้’ หัวหน้าองครักษ์ครุ่นคิดอยู่ในใจ
แต่ทันใดนั้น ความคิดก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน ผลลัพธ์กลับไม่ใช่ดังเช่นที่หัวหน้าองครักษ์คาดคิด
อู๋ฝานรับการโจมตีโดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ ร่างไม่กระเด็นหรือถอยกลับ ไม่แม้กระทั่งมีอาการชะงักเสียด้วยซ้ำ สีหน้ายังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นที่เคยเป็น
กลับกัน หลังรับหมัดของอู๋ฝานไว้ หน้าอกของเขากลับจุกแน่น ลำคอรับรู้ถึงกลิ่นเหล็กฉุนแผ่พุ่งจนต้องกระอักเลือดคำโตออกมา ในชั่วพริบตาตัวคนก็กระเด็นลิ่วถอยกลับจนล้มตึงลงกับพื้นอย่างรุนแรง