ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 452 กลับไป
บทที่ 452 กลับไป
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
หัวหน้าองครักษ์กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้น มือกุมหน้าอกตนเองไว้ สายตาจับจ้องอู๋ฝานด้วยความงุนงง เนื่องจากไม่อาจทำความเข้าใจว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะอะไรการโจมตีที่เขารู้ว่าได้เปรียบ กลับกลายเป็นได้รับบาดเจ็บเสียเอง ขณะที่อีกฝ่ายกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย?
อู๋ฝานเผยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าแท้จริงในใจกลับนึกลอบยินดีอยู่ด้วยซ้ำไป
[เกราะผนึกใจกระจ่าง : ระดับทอง
ค่าสถานะ : พลังป้องกัน+80 ความแข็งแกร่ง+30 ความอดทน+40
ทักษะเสริม : ดูดซับความเสียหาย (ทักษะเรียกใช้งาน)
ดูดซับความเสียหาย : เมื่อถูกโจมตี จะลดทอนความเสียหายลง 50% สามารถใช้งานได้หนึ่งชั่วโมงต่อครั้ง ไม่สามารถสะสมจำนวนครั้งการใช้งานได้]
[ธงรบสีแดง ระดับเงิน เพิ่มพลังโจมตีสมาชิกหน่วย 20% รองรับการเพิ่มพลังให้สมาชิก 20 คน คงสภาพได้ 30 นาที ระยะเวลาคูลดาวน์ 1 ชั่วโมง]
[ธงรบสีเทา ระดับเงิน เพิ่มค่าพลังป้องกันของสมาชิกหน่วย 20% รองรับการเพิ่มพลังให้สมาชิก 20 คน คงสภาพได้ 30 นาที ระยะเวลาคูลดาวน์ 1 ชั่วโมง]
เมื่อครู่ช่วงที่ทั้งสองปะทะกันซึ่งดูไม่มีอะไร อู๋ฝานกลับใช้สมบัติติดตัวทั้งสามชิ้นในชั่วพริบตา จนทำให้สามารถคว้าเอาชัยชนะในวูบเดียวมาได้ เมื่อมองจากภายนอกจึงดูเป็นชัยชนะอันง่ายดาย
เกราะผนึกใจกระจ่างเป็นไอเทมที่เขาสวมใส่ไว้ตลอดตั้งแต่เดินทางออกจากหมู่บ้านเร้นลับ มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอู๋ฝานจึงกล้าใช้ร่างกายตนเองรับการโจมตีของหัวหน้าองครักษ์ เพราะทักษะดูดซับความเสียหายสามารถแบกรับ มันเป็นทักษะที่เขาแทบไม่เคยใช้งาน แต่ตอนนี้มันส่งผลอันยิ่งใหญ่ออกมาแล้ว
นอกจากนี้ในช่วงที่อู๋ฝานเล่นงานหัวหน้าองครักษ์ นอกจากเหวี่ยงหมัดขวาออกไปแล้ว มือซ้ายก็ยังแอบซุกไว้ด้านในเสื้อผ้า เพื่อดึงเอาธงรบทั้งสองออกจากกระเป๋าหลัง เนื่องจากธงรบทั้งสองทำได้ทั้งเพิ่มพลังโจมตีและป้องกัน เมื่อรวมกับผลจากทักษะประจำชุดเกราะผนึกใจกระจ่าง จึงทำให้มีทั้งพลังโจมตีและป้องกันที่สูงขึ้น
ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงทำให้อู๋ฝานต่อยหัวหน้าองครักษ์จนกระเด็น ขณะที่ตนเองไร้ซึ่งบาดแผล
หลังจัดการหัวหน้าองครักษ์ได้ คนอื่นที่ยังเหลือย่อมไม่มีทางต้านรับการโจมตีของอู๋ฝานได้อีก แต่ละคนเริ่มร่วงโรยกันไปนอนกับพื้น อย่างไรธงรบทั้งสองก็สามารถส่งผลลัพธ์ต่อเนื่องหนึ่งก้านธูป ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มในตอนนี้จึงมากยิ่งกว่าช่วงเริ่มต้นการต่อสู้
“โห! อู๋ฝาน ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้” เจ้าฉีเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทียินดี
ก่อนหน้านี้อู๋ฝานแสดงเจตนาชัดว่าจะไม่ขับรถลากหลบหนี แต่เลือกที่จะต่อสู้ เจ้าฉีจึงคิดไปเองว่าชายหนุ่มจะต้องพ่ายแพ้จนสุดท้ายตัวนางต้องถูกพากลับไป หาได้คาดไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดเหล่าองครักษ์ที่มาเพื่อพาตัวนางกลับยังไม่อาจใช่คู่ต่อสู้ นับได้ว่าทำให้นางผิดคาดอย่างแท้จริง!
“อย่าทำตัวชื่นชอบออกนอกหน้าถึงเพียงนั้น เจ้าเป็นบุรุษนะ” อู๋ฝานยิ้มขณะตอบคำกลับ
เจ้าฉีที่เดิมอารมณ์ดี เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ฝานจึงต้องหุบยิ้มเผยใบหน้าแข็งทื่อตอบกลับมา “ข้าย่อมทราบดี แต่แค่ชื่นชมฝีมือของเจ้าก็เป็นเรื่องผิดงั้นหรือ?”
“ก็ไม่” อู๋ฝานส่ายหน้า “เพียงแต่บุรุษทำท่าทีและน้ำเสียงประหนึ่งสตรี คงไม่ใช่ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นสตรีหรอกนะ?”
“ไร้สาระ!” เจ้าฉีทักท้วงกลับ “จงหยุดวาจาไร้สาระเท่านี้ ข้าเป็นบุรุษ”
“ทราบแล้ว ทราบแล้ว” อู๋ฝานรับคำก่อนจะเผยท่าทีจริงจัง “จะว่าไปแล้วเจ้าฉี ตัวตนของเจ้าแท้จริงแล้วเป็นใครกัน? ไฉนบ้านเจ้าจึงมียอดฝีมือมากมายเป็นองครักษ์?”
เหตุผลที่อู๋ฝานสอบถามก็เพราะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามา อีกทั้งออร่าของกลุ่มคนยังไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มก่อนหน้า เพียงแต่ครั้งนี้มากันหลายสิบคน
ดังนั้นที่อู๋ฝานถามเจ้าฉีเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ทางด้านเจ้าฉีเองก็เห็นกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามาเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่คิดเสียเวลาโต้เถียงกับอีกฝ่ายว่าตนเองใช่บุรุษหรือไม่ แต่เลือกที่จะเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทีหมดหวัง “เหมือนวันนี้ข้าคงหนีไปจากที่นี่ไม่ได้แล้วกระมัง”
“ก็ไม่ขนาดนั้น ในเมื่อข้ารับปากจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด” อู๋ฝานตอบรับ
อู๋ฝานยังมีไพ่อีกหลายใบให้ใช้งาน เชื่อว่าหากต้องต่อสู้จริงจัง ตนเองก็ยังสามารถพาเจ้าฉีหลบหนีไปได้
“นายท่าน ทางนั้น!” ลั่วเยวี่ยที่ถือกระบี่ยาวเดินเข้ามาหาอู๋ฝานพร้อมยืนเคียงข้าง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง
อู๋ฝานมองตามก่อนจะต้องขมวดคิ้ว เพราะทิศทางนั้นก็มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินมุ่งหน้ามาเป็นจำนวนนับร้อย พวกเขาเหล่านี้สวมชุดเครื่องแบบ คล้ายจะเป็นหน่วยพิทักษ์เมือง และจากท่าทีที่เดินทางมาคล้ายว่าจะมาหาพวกตน
ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากปรากฏคนกลุ่มใหญ่จากอีกสองทิศทางมุ่งหน้ามาทางพวกอู๋ฝานด้วยจิตสังหารรุนแรง กลายเป็นว่าพวกเขาในตอนนี้กำลังถูกรุมล้อมจากทุกทิศทาง ผู้สัญจรไปมาก่อนหน้านี้ที่เกิดสนใจจนหยุดรับชม เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่แห่แหนกันมาก็หวาดกลัวจนต้องเผ่นหนี
อู๋ฝานขมวดคิ้วมุ่น เนื่องจากไม่เคยคิดมาก่อนว่าการช่วยเหลือใครสักคนจะต้องเผชิญศึกครั้งใหญ่ ดังทราบว่านครเหยียนหยางเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครทรงอำนาจถึงขนาดเรียกระดมกองทัพและองครักษ์อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
กลุ่มคนแห่แหนกันมาสมควรเป็นเพราะตัวตนของเจ้าฉี อู๋ฝานแทบไม่อาจห้ามใจใช้งานวิชาตรวจสอบกับนางได้ แต่หากใช้งานออกไปอาจส่งผลให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงประหนึ่งโดนล้วงความลับ ดังนั้นปกติแล้วเขาจะใช้กับแค่ผู้ที่เป็นศัตรูหรือไม่เป็นมิตรแต่แรก เพราะเหตุผลดังกล่าวเขาจึงอดกลั้นเอาไว้ไม่ใช้งาน
เจ้าฉีตัดสินใจเอ่ยกับชายหนุ่ม “อู๋ฝาน แม้บางครั้งเจ้าจะทำตัวน่ารำคาญไปบ้าง แต่ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณจากใจจริง ขอให้ปล่อยวางเรื่องนี้ ข้าจะกลับไปกับพวกเขาเอง”
“แม้จะมีคนมาเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มีหนทางพาเจ้าไป” อู๋ฝานยิ้มบาง ๆ ตอบรับ น้ำเสียงนี้ไม่ได้ดังมาก ทว่าถ้อยคำชัดเจนและแสดงออกซึ่งความมั่นใจ
ท่าทีมั่นใจของอู๋ฝานทำให้เจ้าฉีชะงักงันไป แต่ไม่ช้านางก็ตระหนักทราบดีถึงความเป็นจริงตรงหน้า “เปล่าประโยชน์ ต่อให้เอาชนะคนพวกนี้จนหมด แต่ก็จะมีคนส่งคนมาเพิ่มอีก เจ้าจะไม่อาจออกไปจากนครเหยียนหยางแห่งนี้ได้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เจ้าฉีจึงยิ้มออกมา แม้ว่าจะใส่ชุดบุรุษ ทว่าเสน่ห์ที่แสดงออกนั้นล้นเหลือ “อันที่จริงเมื่อครู่นี้ข้าโกหก ครอบครัวของข้าแสนดีกับข้าเสียด้วยซ้ำ ทว่าเพราะเบื่อที่จะอยู่แต่บ้านจึงหาทางออกมา ท่านพ่อเพียงไม่อยากให้ข้าอยู่นอกบ้านนาน ไม่ต้องกังวลไปนะ”
“เจ้า” อู๋ฝานถึงกับจ้องมองเจ้าฉีด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คาดว่าอีกฝ่ายสร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมา แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มขื่นขมตอบรับ “ฝีมือการแสดงก่อนหน้านี้ถือว่าไม่เลวเลย อยากจะให้ตุ๊กตาทองด้วยซ้ำ”
“อะไรคือตุ๊กตาทอง?” เจ้าฉีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เป็นรางวัลพิเศษที่จะมอบให้แก่คนเช่นเจ้า” จากน้ำเสียงคล้ายอู๋ฝานไม่ได้พูดถึงในด้านที่ดี
เจ้าฉีเพียงยิ้มขณะมองไปทางเสี่ยวชิง ก่อนจะมองทางกลุ่มทหารและองครักษ์ที่ใกล้เข้ามา เนื่องจากเจ้าฉีแสดงความเต็มใจที่จะเดินทางกลับแล้ว คนอื่นที่บุกเข้ามาจึงไม่คิดสร้างความยุ่งยากอื่นใดอีก
“เจ้าฉี!” ขณะนี้เองที่อู๋ฝานตะโกนเรียก
“ว่าอะไร?” เจ้าฉีผู้ซึ่งกำลังจะเดินไปขึ้นรถลาก กลับต้องหยุดก่อนจะหันมามองอู๋ฝาน
“ข้าทำตัวน่ารำคาญตั้งแต่เมื่อใด?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“เยอะจนไม่นับ!” เจ้าฉียิ้มตอบกลับมา “เก็บจี้หยกของข้าเอาไว้ ไม่นานข้าจะมาไถ่มันกลับคืน”
จบคำนางและเสี่ยวชิงจึงขึ้นโดยสารรถลากจากไปภายใต้การคุ้มกันของกลุ่มทหารและองครักษ์