ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 454 เข้าใจผิด?
บทที่ 454 เข้าใจผิด?
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลี่หยางประสานมือตอบรับ “เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน อาณาจักรหนานปิงและอาณาจักรเฮยสุ่ยที่เป็นเพื่อนบ้านเกิดข้อพิพาททางชายแดน ความขัดแย้งยิ่งผ่านไปก็ยิ่งหนักข้อ อาณาจักรเฮยสุ่ยถือเป็นเงาของอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย สุดท้ายอาณาจักรหนานปิงที่เริ่มสูญเสียพื้นที่จึงขอความช่วยเหลือจากพวกเรา แต่ช่วงเวลาดังกล่าวพวกเราไม่อาจมอบมิตรไมตรีให้ได้ ดังนั้นจึงบอกให้พวกเขาอดทนเอาไว้ก่อน รอจนพวกเราว่างจึงจะสามารถส่งกำลังทหารไปช่วยเหลือได้ แต่ผ่านไปไม่นาน พวกเขากลับแจ้งมาว่าข้อพิพาทได้รับการคลี่คลายและไม่จำเป็นต้องส่งทหารไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิชราพยักหน้าตอบรับ “คล้ายว่าที่พวกเขาต้องการแต่งงานทางการเมืองครั้งนี้ คงเป็นเพราะต้องการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรทั้งสอง เพื่อที่ครั้งหน้าเจออันตรายจะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที”
เหล่าขุนนางต่างพยักหน้ารับเห็นพ้องเพราะคิดเห็นเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาไม่ค่อยถูกใจองค์หญิงซึ่งถูกส่งมาเจริญสัมพันธไมตรีนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางเป็นที่โปรดปรานของอาณาจักรหนานปิง การที่อีกฝ่ายส่งตัวนางมาก็มากพอที่จะแสดงเจตนาอันชัดเจนแล้ว
“รู้หรือไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างสองอาณาจักรนั้นคลี่คลายลงได้อย่างไร?” จักรพรรดิชราเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่ทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ อาณาจักรหนานปิงไม่ได้แจ้งรายละเอียดใด ๆ” หลี่หยางตอบกลับ
จักรพรรดิชราพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ เพียงแค่ความขัดแย้งระหว่างสองอาณาจักรเล็ก ๆ นับเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งจนไม่ควรค่าให้ต้องสนใจ หากไม่ใช่เพราะมีอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีอาณาจักรหนานปิงคงไม่เรียกร้องขอความช่วยเหลือเสียด้วยซ้ำ
เมื่อนึกถึงอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย จักรพรรดิพลันเผยสีหน้าดำมืดลง “อาณาจักรสุ่ยเยวี่ยทำไม่ถูกต้อง ความขัดแย้งเล็กน้อยเบื้องหลังไม่ใช่อะไรที่ควรเข้าไปแทรกแซง! ช่วงเวลานั้นกองทัพโลกอสูรบุกโจมตีโลกมนุษย์ของพวกเรา เพียงแค่หาทางสกัดและขับไล่ก็ไม่มีเวลาให้คิดเรื่องอื่นแล้ว แต่พวกมันกลับเลือกที่จะสร้างคลื่นลมเช่นนี้ขึ้นมา ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!”
แท้จริงแล้วสี่อาณาจักรใหญ่ก็มักทำเรื่องเช่นนี้ แม้แต่อาณาจักรเหยียนเฟิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของประเทศตน ทว่าเรื่องราวที่ทุ่งรกร้างครั้งก่อน เพราะอีกสามอาณาจักรทรยศหักหลังจึงนำไปสู่ความสูญเสียทางกองทัพของอาณาจักรเหยียนเฟิง รวมถึงสัมพันธ์ระหว่างสี่อาณาจักรที่ไม่เคยดีอยู่แล้ว ครั้งนี้จึงทำให้จักรพรรดิชราไม่ลืมเลือนที่จะสบถก่นด่าอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยอีกสักหลายคำ
หลังสบถจนสาแก่ใจ เรื่องนี้จึงถูกพับเก็บไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว เป็นอีกครั้งที่กลุ่มคนย้อนกลับมาพูดคุยถึงหัวข้อก่อนหน้านี้
“ตอนนี้การก่อกบฏภายในอาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเรา รวมกับกองทัพโลกอสูรที่รุกรานสร้างความวุ่นวายไปทั่วหนแห่ง ทำให้ประชาชนเริ่มกังวลใจแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะรับประกันว่าอาณาจักรใต้บัญชาจะไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่น ในเมื่ออาณาจักรหนานปิงเป็นฝ่ายเริ่มต้องการสานสัมพันธ์อันดีผ่านการแต่งงาน ข้าก็มองว่าไม่ควรปฏิเสธ” จักรพรรดิชราเอ่ยขึ้น “ฉีอ้ายชิง เจ้ารับผิดชอบเรื่องคณะผู้แทนจากอาณาจักรหนานปิงให้ดี จากข้อมูลที่ได้รับ พวกเขาน่าจะมาถึงนครเหยียนหยางในวันรุ่งขึ้น”
หากส่งองค์หญิงเล็กแห่งหนานปิงมาแต่งงาน ก็ไม่มีทางที่องค์หญิงจะเดินทางมาเพียงผู้เดียว แต่จะต้องมาพร้อมคณะทูตและสินสอด
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉีข่ายตอบรับอย่างนอบน้อม
“ต้อนรับแขกให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่องเรื่องมารยาท คนของหนานปิงอาจค่อนแคะเรื่องที่พวกเราไม่ได้ส่งกำลังทหารไปครั้งก่อนอยู่บ้าง แต่พวกเขาที่แสดงเจตนาต้องการแต่งองค์หญิงเล็กครั้งนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี อย่าละเลยความเอาใจใส่” จักรพรรดิบอก
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ฉีข่ายตอบรับอีกครั้ง
“ตึง!”
ขณะจักรพรรดิชรากำลังคิดจะเอ่ยอะไร ตอนนั้นเอง ประตูของห้องทรงอักษรก็ถูกเปิดรุนแรงจากภายนอกพร้อมปรากฏร่างคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
คิ้วของทุกคนในที่นี้ รวมถึงจักรพรรดิชราต่างต้องเลิกขึ้นสูง แม้จะยังไม่ได้เห็นตัวผู้ก่อการ แต่ก็พอจะทราบได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
องค์หญิงเจ็ดเจ้าฉี!
ทั่วทั้งวังหลวงแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง ผู้เดียวที่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามายังห้องทรงพระอักษรโดยไม่ต้องแจ้งความประสงค์ ก็มีเพียงแค่องค์หญิงเจ็ดซึ่งจักรพรรดิรักและโปรดปรานที่สุด
“เสด็จพ่อ!”
ไม่นานเสียงของเจ้าฉีก็ดังขึ้น และจากน้ำเสียงดูจะโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย
รอยยิ้มอับจนของจักรพรรดิชราเผยกลบสีหน้าอันคร่ำเคร่งเมื่อครู่ กระทั่งหันไปกล่าวกับเหล่าขุนนาง “วันนี้พอแค่นี้ พวกเจ้ากลับไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท พวกเราทูลลา!” กลุ่มคนตอบรับเป็นเสียงเดียว
หลังพวกเขาหันกลับเตรียมออกไปจึงได้เห็นเจ้าฉีที่กำลังโกรธกริ้วเดินเข้ามา และเมื่อเห็นชุดที่นางสวมใส่ พวกเขาถึงกับต้องประหลาดใจไปครู่หนึ่ง แต่เนื่องจากอยู่ในราชสำนักมานาน ต่อให้ประหลาดใจก็ไม่อาจแสดงออกมาทางสีหน้าได้
“คำนับองค์หญิงเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าเสนาบดีต่างเอ่ยคำเป็นเสียงเดียวกัน
แน่นอนว่าองค์หญิงเจ็ดเมินเฉยพร้อมกับเดินผ่านพวกเขาตรงไปพบจักรพรรดิชรา
เมื่อเจอเรื่องราวเช่นนี้พวกเขาก็ไม่ประหลาดใจ จึงทำเพียงแค่เดินออกจากห้องทรงอักษรอย่างที่ควรทำ
“ฉีเอ๋อร์ ทำไมมาหาพ่อเช่นนี้กันล่ะ? คิดถึงพ่องั้นหรือ?” จักรพรรดิชราเก็บสีหน้าจริงจังของผู้ปกครองอันยิ่งใหญ่ที่เคยใช้กับเหล่าเสนาบดี ขณะนี้มีเพียงรอยยิ้มเพื่อต้อนรับเจ้าฉี
“เสด็จพ่อ ลูกเพียงออกจากวังไปเล่นสักหลายวัน เหตุใดจึงส่งคนมากมายตามจับตัวลูกกลับมาล่ะเพคะ?” เจ้าฉีเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
องค์หญิงเจ็ดนามเจ้าฉีผู้กำลังต่อว่าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง และเป็นคนเดียวกับท่านชายเจ้าฉีผู้ที่อู๋ฝานเคยเจอก่อนหน้านี้ เมื่องานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อน หญิงสาวได้ร้องขอจักรพรรดิชราเรื่องออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง เพียงแต่คำขอไม่ได้รับคำตอบ
แต่เจ้าฉีไม่ละทิ้งความคิด ช่วงที่ผ่านมาจะคอยมองหาช่องโหว่ลักลอบออกจากวัง ทว่าไม่เคยสำเร็จแม้สักครั้ง จนกระทั่งเมื่อช่วงเช้าวันนี้เองที่ลักลอบออกไปพร้อมหญิงรับใช้ส่วนตัวนามเสี่ยวชิงได้สำเร็จ
นางที่เดิมกำลังอารมณ์ดี คิดว่าจะได้ไปเที่ยวเล่นดูบ้านเมืองกลับได้พบว่าเหล่าราชองครักษ์ติดตามไม่ห่าง เจ้าฉีคิดว่าบิดาตนเองส่งมาตามจับตัวกลับจึงต้องการหลบหนี สุดท้ายเพราะแตกตื่นจึงวิ่งลงไปที่ถนนจนถูกรถลากของอู๋ฝานชนเข้า สุดท้ายจึงนำไปสู่อุบัติเหตุก่อนหน้านี้
และหลังแยกกับอู๋ฝานที่ภัตตาคารได้ไม่นาน ก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าฉีถูกองครักษ์เจอ เนื่องจากไม่ต้องการถูกจับตัวกลับเข้าวังจึงหลบหนีอีกครั้ง แต่ผู้ใดจะคาดว่านางจะพบเจอกับพวกชายหนุ่มอีกครั้งจนนำไปสู่เรื่องราวใหญ่โตก่อนหน้านี้
เจ้าฉีไม่พอใจที่บิดาของตนเองส่งคนไปตามจับกุมตัวกลับมา หลังกลับมาจากนอกวังจึงไม่คิดเสียเวลาเปลี่ยนชุดบุรุษที่ใส่ปลอมแปลง แต่เลือกตรงเข้ามายังห้องทรงอักษรเพื่อต่อว่าจักรพรรดิชรา
“ไม่เลย พ่อแค่ส่งพวกเขาลอบติดตามลูกไปเพื่อให้การคุ้มกัน เว้นแต่ลูกจะออกจากเมืองหลวง พวกเขาจะไม่แสดงตัวออกมา หรือไม่ก็หากฟ้ามืดแล้วลูกไม่กลับ นอกจากกรณีเหล่านั้นพวกเขาจะไม่บังคับพาลูกกลับมา” จักรพรรดิที่ได้ยินถึงกับต้องประหลาดใจ
เจ้าฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มไตร่ตรองเรื่องราว ครั้งนั้นนางเห็นองครักษ์ติดตามมาโดยไม่คาดคิด และที่พวกเขาทำก็เพียงแค่ตามมาอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้มีเจตนาเข้ามาใกล้แต่อย่างใด ทว่าเพราะนางร้อนรนไปเองจึงคิดว่าพวกเขาจะมาตามจับตัว สุดท้ายจึงนำไปสู่การพยายามหลบหนี และตอนที่พบเห็นคนไล่ตามครั้งที่สองก็บังเอิญว่านางกำลังมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองพอดี
ถ้าอย่างนั้นแล้วทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่นางก่อขึ้นงั้นหรือ?
ช่างน่าอับอาย
ทว่าเจ้าฉีก็ยังมองค้อนจักรพรรดิชราก่อนจะเอ่ยกลับ “เสด็จพ่อทราบเรื่องลูกแอบหนีออกไปจากวังอยู่ก่อนแล้วหรือเพคะ?”