ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 455 นามที่ดูคุ้นเคย
บทที่ 455 นามที่ดูคุ้นเคย
“หากพ่อไม่อนุญาต คิดว่าลูกจะออกไปได้อย่างนั้นหรือ?” จักรพรรดิชราหัวเราะ “ลำพังแค่เสื้อผ้าที่ลูกสวมใส่มีหรือจะตบตาเหล่าองครักษ์ได้? หากสตรีเช่นลูกปลอมตัวก็เข้าออกวังได้ตามใจชอบ ราชองครักษ์ทั้งหลายคงถูกลากตัวไปตัดศีรษะแล้ว”
วังหลวงมีการเฝ้าคุ้มกันอย่างรัดกุมและเข้มงวด แม้องค์หญิงเจ็ดจะปราดเปรื่องคิดอยากหลบซ่อนสายตาเหล่าองครักษ์มากมาย ก็ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพียงแต่เพราะนางพยายามออกไปเที่ยวเล่นภายนอกหลายครั้ง จักรพรรดิที่ทราบเรื่องจึงใจอ่อนปล่อยให้ออกไป กระทั่งสั่งให้เหล่าองครักษ์ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่เช่นนั้นแล้วองค์หญิงเจ็ดจะไม่มีทางย่างเท้าก้าวออกไปนอกวังได้สำเร็จ
เพียงแต่จักรพรรดิชราไม่ได้ชะล่าใจต่อความปลอดภัย จึงส่งองครักษ์ประจำวังปลอมตัวเป็นชาวบ้านคอยติดตามให้การคุ้มกันองค์หญิงเจ็ด
ส่วนทางด้านองค์หญิงเจ็ดที่นึกภูมิใจต่อการซ่อนเร้นตัวเองจนหลุดรอดสายตาเหล่าองครักษ์ พอได้ยินคำพูดของจักรพรรดิชราจึงต้องชะงัก “ลูกนึกว่าปลอมตัวได้ดีจนหลอกทุกคนได้แล้วเสียอีก ไม่นึกเลยว่าเสด็จพ่อทราบตั้งแต่แรกแล้ว”
“ลูกก็ทำได้ดีจนพ่อเกือบนึกไม่ถึงเหมือนกัน” จักรพรรดิชราหัวเราะตอบ “แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ออกไปนอกวังวันนี้พอใจหรือไม่?”
“ไม่พอใจเพคะ!” องค์หญิงเจ็ดโต้กลับตามตรง “พวกคนที่เสด็จพ่อส่งไปตามดูลูกไม่แนบเนียนเลย ลูกที่กลัวโดนจับเข้าวังจะเอาใจที่ไหนไปเที่ยวเล่นอย่างที่ต้องการได้?”
“พ่อทำก็เพราะห่วงความปลอดภัย ทุกวันนี้พวกกบฏแฝงตัวอยู่ทุกที่ ทั้งยังมีกองทัพโลกอสูรที่ออกอาละวาดไปทั่ว หากไม่มีคนคอยติดตามดู พ่อคนนี้จะสบายใจได้อย่างไร” จักรพรรดิตอบรับ
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ลูกออกไปอีกได้หรือไม่เพคะ?” องค์หญิงเจ็ดโพล่งถามตามตรง
ทั้งนางและอู๋ฝานยังมีนัดหมายกัน รวมกับความจริงที่ว่าวันนี้ไม่มีช่วงที่ได้เที่ยวเล่น หากอยากออกไปอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไม่ได้” จักรพรรดิชราส่ายหน้า แต่เมื่อเห็นองค์หญิงเจ็ดเริ่มโกรธจึงรีบตอบ “วันพรุ่งนี้จะมีคณะทูตจากอาณาจักรหนานปิงมาเยือน ในเมืองจะยิ่งจอแจ ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ลูกจะออกไปเที่ยวเล่นได้”
“พวกเขามาก็มาสิ เกี่ยวข้องอันใดกับลูก?” องค์หญิงเจ็ดทักท้วง “ลูกเพียงแค่อยากออกไปเที่ยวเล่นก็เท่านั้นเอง”
“รอคอยอีกสักระยะก็แล้วกัน” คำขอขององค์หญิงเจ็ดทำให้จักรพรรดิชราปวดเศียรเวียนเกล้า ปฏิเสธก็ไม่อาจทำได้ สุดท้ายจึงต้องหาทางถอยกันคนละครึ่งทาง
“ทราบแล้วเพคะ” แม้องค์หญิงเจ็ดยังไม่ค่อยยินดี แต่บิดาของนางก็ผ่อนปรนให้มากแล้ว ดังนั้นจึงพอกล้ำกลืนยอมรับได้ เรื่องดีก็คืออู๋ฝานจะยังอยู่ที่เมืองหลวงอีกระยะหนึ่ง จึงยังไม่ใช่เหตุเร่งด่วนแต่ประการใด
เมื่อนึกถึงอู๋ฝาน ขณะนี้เองที่องค์หญิงเจ็ดดวงตาทอประกายมองบิดาตนเอง “เสด็จพ่อ ไม่นานมานี้เพิ่งอวยบรรดาศักดิ์จื่อเจวี๋ยใช่หรือไม่เพคะ? ทั้งยังขอให้เขามาเมืองหลวงเพื่อพบเสด็จพ่อด้วยใช่หรือไม่?”
“ขอพ่อนึกก่อน” จักรพรรดิชราครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “เหมือนจะมีอยู่จริง นามว่าอู๋ฝาน กล่าวไปแล้วเขาก็เกี่ยวข้องกับลูกอยู่เหมือนกัน”
“เกี่ยวข้องอันใดกันเพคะ?” องค์หญิงเจ็ดถามกลับ
“เขาเป็นคนที่มอบกระต่ายกำมะหยี่ในงานเลี้ยงวันเกิดของลูกที่ผ่านมาไง พ่อเห็นว่าลูกชอบของขวัญนั้นไม่น้อยจึงอวยบรรดาศักดิ์ให้ ที่เรียกมาเมืองหลวงก็เพื่อรับของตอบแทนตามเรื่องราว” จักรพรรดิชราหัวเราะตอบ
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิยังไม่ทราบเรื่องที่อู๋ฝานเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว
“เป็นเขางั้นหรือ?! ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้ได้ยินชื่อแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคย” องค์หญิงเจ็ดพึมพำเสียงเบากับตัวเอง
ช่วงวันเกิดที่ผ่านมาเสด็จพ่อของนางได้แต่งตั้งจื่อเจวี๋ยขึ้นมาคนหนึ่ง นางทราบแต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ดังนั้นจึงจำชื่อของอู๋ฝานไม่ค่อยได้ เพียงแต่พอจะมีความประทับใจอันคลุมเครืออยู่บ้าง เมื่อวันนี้เจอกับอีกฝ่ายจึงไม่ทันได้ตระหนักตอนชายหนุ่มเอ่ยชื่อเสียงเรียงนาม
แน่นอนว่านามอู๋ฝานนั้นดาษดื่นไม่โดดเด่น หากทราบเพียงแค่ชื่อ เจ้าฉีก็ยากจะเชื่อมโยงชายหนุ่มกับคนที่มอบกระต่ายกำมะหยี่ให้
“ลูกพึมพำอะไร?” จักรพรรดิชราเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรเพคะ” องค์หญิงเจ็ดหลบตาก่อนจะตอบกลับ “เสด็จพ่อ ลูกได้ยินว่าอู๋ฝานมีฝีมือไม่น้อย ครั้งหน้าที่ออกไปนอกวังให้เขาคอยติดตามคุ้มกันลูกได้หรือไม่เพคะ? หากเป็นเช่นนั้นเสด็จพ่อจะได้วางใจด้วย”
“ลูกไปได้ยินจากไหนว่าเขามีฝีมือดี?” จักรพรรดิเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ลูกก็เพียงได้ยินผ่านหูมา” องค์หญิงเจ็ดตอบเลี่ยง ๆ “เสด็จพ่อคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”
องค์หญิงเจ็ดเอ่ยถามพลางเขย่าแขนจักรพรรดิชราด้วยท่าทีออดอ้อน
ท่าทีออดอ้อนของนางไม่อาจใช้งานกับอู๋ฝานได้ แต่มีผลตรงข้ามกับจักรพรรดิชราจนถึงขนาดต้องรับคำในเวลาสั้น ๆ “ก็ได้ หากเขามีฝีมือจริงอย่างที่ลูกว่าก็ไม่มีปัญหา”
ปกติแล้วจักรพรรดิไม่จำเป็นต้องสอบถามความยินยอมพร้อมใจของอู๋ฝาน เนื่องจากเขาคือจักรพรรดิ อีกฝ่ายเป็นขุนนางที่มีแต่จะต้องเชื่อฟัง
“ขอบคุณเสด็จพ่อเพคะ!” องค์หญิงเจ็ดที่ได้ยินคำรับปากของจักรพรรดิชราจึงยินดีขนาดหอมแก้มผู้เป็นบิดาไปฟอดใหญ่ เรียกได้ว่าแสดงอาการยินดีออกนอกหน้า
ลูกสาวอันเป็นที่รักเป็นฝ่ายหอมแก้มก่อนด้วยตนเอง จักรพรรดิยิ่งใจฟูนึกยินดีเผยสีหน้ายิ้มแย้ม “พูดไปแล้วอู๋ฝานก็เดินทางมาจากเทศมณฑลชิงหยวน พ่อได้รับจดหมายที่ผู้ปกครองเทศมณฑลชิงหยวนส่งมาเมื่อไม่นานมานี้พอดี”
“จดหมายนั่นเขียนอะไรไว้หรือเพคะ? ความดีความชอบของอู๋ฝานหรือ?” องค์หญิงเจ็ดเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ เป็นความดีความชอบของเจ้าตัวที่เขียนจดหมายมาต่างหาก” จักรพรรดิชราไม่คิดใส่ใจหากต้องเปิดเผยเรื่องราวสำคัญของบ้านเมืองให้องค์หญิงเจ็ดทราบ
“เอาความดีเข้าตัวหรือเจ้าคะ?” องค์หญิงเจ็ดเอ่ยถาม
“แม้ผู้ปกครองเทศมณฑลชิงหยวนเป็นขุนนางพลเรือน แต่ก็มีความกล้าและกำลังทหารในครอบครอง เทศมณฑลแห่งนั้นถูกพวกกบฏนับหมื่นบุกโจมตีเล่นงาน ทว่าเจ้าตัวกลับไม่หวาดหวั่นต่อภัยอันตรายขึ้นบัญชาการทัพหน้า สุดท้ายเอาชนะทัพกบฏจนแตกพ่าย ไม่เพียงจับกุมตัวพวกมันนับหมื่น แต่ยังสามารถสะบั้นศีรษะของผู้นำศัตรูมาได้ และศีรษะนั้นถูกส่งมาพร้อมจดหมายที่กล่าวถึงเมื่อครู่” จักรพรรดิเฒ่าบอกเล่าออกมา
“แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น?” องค์หญิงเจ็ดถึงขั้นประหลาดใจ
“ใช่” จักรพรรดิชราพยักหน้ารับ “ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองยิ่งเน่าเฟะ ผู้ครองเทศมณฑลกัวแสดงศักยภาพได้ดีถึงขั้นนี้พ่อจึงคิดอยากตกรางวัลให้หนัก เพื่อเป็นขวัญกำลังใจต่อผลลัพธ์ของความกล้า เพื่อให้ผู้อื่นเอาเป็นแบบอย่าง”
ขณะจักรพรรดิชราเล่าออกมา ยังนำเอกสารฉบับหนึ่งออกจากกองเอกสารบนโต๊ะตรงหน้าส่งให้แก่องค์หญิงเจ็ด
เนื่องจากเป็นบุตรสาวที่สวรรค์ประทานให้ บิดาผู้เป็นจักรพรรดิมีแต่รักและโปรดปราน ดังนั้นการให้อ่านเอกสารของบ้านเมืองที่สำคัญจึงถือเป็นเรื่องปกติเข้าใจได้
“เอ๋? ไฉนนามนี้ดูคุ้นเคยนัก?” องค์หญิงเจ็ดมองจดหมาย
“กัวจื่อหมิงเคยมอบของขวัญในงานเลี้ยงวันเกิดของลูกที่ผ่านมา เป็นผลงานภาพคัดลายมือของตนเอง ครั้งนั้นลูกโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี” จักรพรรดิชราหัวเราะเสียงเบา “ฝีมือการคัดลายมือถือว่าต่ำไปบ้าง แต่ทำหน้าที่บ้านเมืองปกป้องประชาชนได้ดี นับว่าเป็นขุนนางพลเรือนที่มีศักยภาพ”
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่ใช่นามผู้เขียนจดหมาย แต่ลูกหมายถึงนามผู้นำกบฏต่างหาก” องค์หญิงเจ็ดตอบกลับ
องค์หญิงเจ็ดที่แม้แต่นามของอู๋ฝานผู้ที่มอบของขวัญอันน่าพึงพอใจให้ยังจำไม่ได้ ไฉนเลยจะจดจำนามของผู้ที่มอบของขวัญอันไม่น่าพึงพอใจให้ได้?
ดังนั้นองค์หญิงเจ็ดจึงไม่ได้จำชื่อของกัวจื่อหมิงได้ แต่ชื่อที่กล่าวว่าคุ้นเคยคือหัวหน้ากบฏที่เขียนรายงานในจดหมายต่างหาก
โฉวหย่งเชา!
นางเพิ่งได้ยินชื่อนี้เมื่อไม่นาน เพียงแต่ไม่ใช่จากบิดาของนาง แต่เป็นจากปากคำของลั่วหยาง!