ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 473 คนรู้จัก
บทที่ 473 คนรู้จัก
ตอนที่ได้รับพระราชโองการก่อนหน้านี้ อู๋ฝานถูกเรียกตัวมาวังหลวงเพื่อร่วมงานเลี้ยง เดิมนั้นจึงคิดว่าคงได้ทานอาหารร่วมกับจักรพรรดิ แต่ขณะนี้คล้ายจะคิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไปแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้คิดทานอาหารด้วยเป็นการส่วนตัว และงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นเพื่อเขาด้วยเช่นกัน
ตัวเอกของงานเลี้ยงวันนี้คือองค์หญิงแห่งหนานปิง ไม่ใช่เขา ที่ตนได้เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยก็เพราะบังเอิญมาเข้าเฝ้าช่วงเวลาอาหารพอดี
ขณะอู๋ฝานได้มหาขันทีนำทางสู่ห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง ก็พบว่ามีคนมาถึงอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาต่างนั่งตามที่ของตนพลางพูดคุยหยอกล้อกับคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียง
“ที่นั่งของใต้เท้าอู๋อยู่ตรงนี้” หลังมหาขันทีนำทางอู๋ฝานถึงห้องโถง จึงชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้ประตูพร้อมเอ่ยบอก
อู๋ฝานสำรวจพร้อมได้พบว่าเป็นตำแหน่งที่อยู่ไกลห่าง กระทั่งเรียกได้ว่าไกลจากบัลลังก์มังกรที่สุดก็ไม่ผิด คงเป็นเพราะสถานะและตัวตนของเขา หากเทียบกับผู้อื่นในงานเลี้ยงวันนี้ตนนับว่าต่ำเตี้ยที่สุดแล้วก็เป็นไปได้
“ขอบคุณกงกงขอรับ” อู๋ฝานตอบรับ เนื่องจากเขาไม่ได้คิดเห็นอะไรเรื่องตำแหน่งที่นั่ง อย่างไรการเดินทางมาเมืองหลวงและวังหลวงครั้งนี้ก็เพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิโดยมีเรื่องที่ดินศักดินาเป็นประเด็นหลัก เรื่องอื่นใดนอกเหนือจากนั้นไม่คิดสนใจ
เนื่องจากไม่รู้จักใคร อู๋ฝานจึงทำได้เพียงนั่งตามลำพังด้วยอาการเบื่อหน่าย อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่างานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น
“ใต้เท้าอู๋?” ขณะอู๋ฝานรอคอยอยู่นั้นเสียงอันคุ้นเคยกลับดังขึ้นให้ได้ยิน เขาหันไปมองพร้อมได้เห็นว่าผู้พูดคือหลี่จื่อหยาง ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยงานพลเรือน
“ที่แท้ก็ใต้เท้าหลี่นี่เอง” อู๋ฝานประสานมือตอบรับ
“ใต้เท้าอู๋มาถึงที่นี่เร็วยิ่งนัก” ใต้เท้าหลี่ตอบรับขณะนั่งลงข้างอู๋ฝานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “นับเป็นเรื่องบังเอิญ ที่นั่งของข้าอยู่ข้างใต้เท้าอู๋พอดี วันนี้พวกเราคงได้สนทนากันอย่างสนุกสนาน”
“ใต้เท้านั่งตรงนี้?” อู๋ฝานมองหลี่จื่อหยางด้วยอาการประหลาดใจ
หากตำแหน่งที่นั่งของหลี่จื่อหยางอยู่ข้างตนเองจริง ก็ถือว่าอยู่ค่อนข้างใกล้ประตู เดิมอู๋ฝานคิดว่าอีกฝ่ายที่เป็นหัวหน้าหน่วยงานพลเรือน เป็นถึงขุนนางพลเรือนขั้นที่สี่คนหนึ่ง คงจะได้รับที่นั่งตรงกลางหรือใกล้ ๆ แถวหน้า ไม่คาดว่าจะได้รับการดูแลจัดสรรแทบไม่ต่างอะไรกับตนเอง
“ถูกต้องแล้วขอรับ” หลี่จื่อหยางยิ้มรับโดยไม่คิดว่าตำแหน่งที่นั่งตรงนี้ผิดแปลกแต่อย่างใด
ขณะที่อู๋ฝานกำลังประหลาดใจว่าเหตุใดที่นั่งอีกฝ่ายจึงอยู่ไกลห่าง หลี่จื่อหยางเองก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกันที่เห็นชายหนุ่มมาเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้
อู๋ฝานอาจไม่ทราบ แต่หลี่จื่อหยางทราบดีว่างานเลี้ยงวันนี้ไม่ใช่ทุกคนจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมงาน เขาผ่านเงื่อนไขเข้าร่วมได้ก็เพราะเป็นขุนนางขั้นสี่ ขณะที่อู๋ฝานเป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยเช่นหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์และจื่อเจวี๋ย เรียกว่าสถานะตัวตนไม่มีทางมากพอได้เข้าร่วมงานเลี้ยงวันนี้ แต่ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ตำแหน่งที่นั่งจะไกลห่างไปบ้าง ทว่าก็มากพอแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยม ถึงขนาดทำให้ในใจหลี่จื่อหยางนึกสงสัยต่อความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มและองค์หญิงเจ็ดมากยิ่งขึ้น
เมื่อพบเห็นหลี่จื่อหยางและเหล่าขุนนางขั้นที่สี่ต่างก็นั่งแถวหลัง อู๋ฝานจึงค่อยรู้สึกว่าดีแล้วที่ได้ตำแหน่งที่นั่งตรงนี้
“เมื่อกล่าวไปแล้วข้าเองก็อยากจะขอบคุณใต้เท้าหลี่ที่ส่งข้ารับใช้มาให้จริง ๆ ขอรับ” อู๋ฝานเผยยิ้มพลางบอกเล่า “เดิมข้าอยากไปขอบคุณด้วยตนเอง แต่เพราะเรื่องหลายอย่างทำให้ไม่ค่อยมีเวลา หวังว่าใต้เท้าหลี่จะเข้าใจ”
“ย่อมเข้าใจอยู่แล้วขอรับ” หลี่จื่อหยางตอบรับ “ก็แค่เรื่องราวเล็กน้อย เดิมทีก็เป็นความผิดของข้าอยู่แล้ว ใต้เท้าอู๋ไม่ถือโทษโกรธก็เกินพอ”
“ไม่กล้า ไม่กล้า” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “ใต้เท้าหลี่และข้าไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน แต่ก็ไม่ได้เบาะแว้งใดกันด้วย ดังนั้นมาดื่มร่วมกันจะดีกว่า”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ” หลี่จื่อหยางตอบรับ
อู๋ฝานในตอนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวจนเบื่อหน่าย อย่างน้อยก็มีคนให้คุยด้วย เนื่องจากเพิ่งมาถึงเมืองหลวงจึงยังไม่ค่อยทราบเรื่องราวและธรรมเนียม ขณะนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้สอบถามจากอีกฝ่าย
ฝ่ายหลี่จื่อหยางค่อนข้างยินดีที่ได้ช่วยคลายความสงสัยให้แก่อู๋ฝานด้วยซ้ำ เนื่องจากเป็นหน่วยงานพลเรือนจึงทำให้พอมีสถานะในเมืองหลวง และทราบเรื่องราวที่ค่อนข้างหลากหลาย
“ใต้เท้าหลี่ดูมีช่วงเวลาสนทนาที่ดีเสียจริง” ขณะหลี่จื่อหยางกำลังแนะนำเรื่องราวในเมืองหลวงแก่อู๋ฝาน เสียงที่ฟังแล้วไม่น่ายินดีก็ดังขึ้น
เมื่ออู๋ฝานมองตามจึงเห็นชายวัยใกล้เคียงหลี่จื่อหยางที่นั่งลงข้าง ๆ อีกฝ่ายปรายตามองพวกเขาทั้งสองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ใคร่สบายใจ
“ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าจ้าวนี่เอง” หลี่จื่อหยางมองอีกฝ่ายพลางตอบรับ “ได้ยินมาว่าไม่นานมานี้ใต้เท้าจ้าวป่วยจนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไฉนวันนี้ออกมาภายนอกได้เล่าขอรับ?”
หลี่จื่อหยางเอนกายเข้ามากระซิบกับอู๋ฝาน “คนนี้คือจ้าวอิ๋งเฟิง เป็นหัวหน้าหน่วยงานทะเบียน”
“ป่วยก็แค่เรื่องเล็กน้อย องค์เหนือหัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงต้อนรับพระสนมในภายหน้าย่อมถือเป็นเรื่องสำคัญ ต่อให้เจ็บเจียนตายข้าก็ต้องมาเข้าร่วม” จ้าวอิ๋งเฟิงตอบกลับพร้อมปรายตามองอู๋ฝาน “ที่นึกสงสัยก็คือท่านนี้เป็นใคร?”
“ข้ามีนามว่าอู๋ฝานขอรับ” อู๋ฝานประสานมือให้
“อู๋ฝาน?” จ้าวอิ๋งเฟิงครุ่นคิดไปชั่วครู่ “คล้ายว่าไม่เคยได้ยิน”
“ใต้เท้าอู๋เพิ่งได้รับบรรดาศักดิ์จื่อเจวี๋ยมาจากฝ่าบาท” หลี่จื่อหยางตอบกลับ
“โอ้ คล้ายว่าจะจำได้แล้ว ที่แท้ก็เป็นจื่อเจวี๋ยที่มอบของขวัญเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดแก่องค์หญิงเจ็ดจึงได้รับการอวยบรรดาศักดิ์จากฝ่าบาทนี่เอง” จ้าวอิ๋งเฟิงตอบรับ แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้ชวนรับฟังนัก
“ขอรับ” อู๋ฝานรับคำด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
“อย่างน้อยทุกวันนี้ก็มีคนเช่นพวกเราที่รับหน้าที่ทำงานถวายองค์เหนือหัวอย่างสุดหัวใจและวิญญาณ ทว่าไม่ได้รับอะไรเป็นรางวัลเลย แต่กลับเป็นคนที่ลักซ่อนนำเสนอจนได้รับบรรดาศักดิ์และตำแหน่ง ฟ้าช่างไม่มีตา ใต้เท้าอู๋ก็คงคิดเห็นเช่นเดียวกันกระมัง?” จ้าวอิ๋งเฟยมองอู๋ฝานพลางถาม
แม้การดูหมิ่นและเหยียดหยามในน้ำเสียงของจ้าวอิ๋งเฟิงจะถูกระงับเอาไว้บ้างแล้ว แต่ความหมายในถ้อยคำที่มีต่ออู๋ฝานก็เด่นชัด อย่างน้อยผู้รับฟังในที่นี้ก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
“ข้าไม่เคยเห็นขุนนางผู้ใดถวายในสิ่งที่ช่วยคลายกังวลให้แก่องค์เหนือหัวแม้สักนิด เห็นก็แต่คนบ่นเฉกเช่นสตรีและคร่ำครวญว่าฝ่าบาทไม่รู้จักคัดเลือกคนให้ดีเสียอย่างนั้น” อู๋ฝานตอบกลับ “ข้าไม่ทราบว่าหากฝ่าบาทได้ยินถ้อยคำเหล่านี้แล้วจะคิดเห็นเช่นไร จะยอมรับว่าเลือกใช้คนไม่ดี หรือว่าจะทุบตีสตรีคร่ำครวญผู้นั้นจนพ้นจากราชสำนักกันแน่? ใต้เท้าจ้าวคิดเห็นเช่นไรกันเล่าขอรับ?”
“เจ้า!” จ้าวอิ๋งเฟิงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน “อย่าคิดใส่ร้ายข้าโดยไร้ซึ่งมูล!”
“ใส่ร้ายหรือไม่นั้นฝ่าบาทจะเป็นผู้ตัดสินด้วยพระองค์เอง” อู๋ฝานตอบกลับ “พวกเราที่เป็นเพียงขุนนางทำได้เพียงทวนคำสั่งที่ได้ยินมาเพื่อทำตาม ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทได้ขอรับ”
จ้าวอิ๋งเฟิงสีหน้าแปรเปลี่ยนจนแทบม่วงคล้ำ เดิมคิดว่าอู๋ฝานผู้มาจากสถานที่ไกลห่างและต่ำต้อย ความรู้ย่อมสมควรเล็กน้อยตามไปด้วย ดังนั้นจึงคิดโอ้อวดตำแหน่งอำนาจของตนสร้างความอับอายให้ หาได้คาดคิดไม่ว่านอกจากอีกฝ่ายจะไม่กลัวเกรงแล้วยังจะโต้กลับอย่างจัดจ้าน
จ้าวอิ๋งเฟิงเห็นว่าอีกฝ่ายรับมือด้วยยาก ขณะนี้จึงชี้หน้าหลี่จื่อหยาง “ใต้เท้าหลี่ ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งภายใต้กรมทั้งสี่แห่งกรมพลเรือน ท่านถึงกับกล้าสนทนาดี ๆ กับบุคคลไม่รู้ความ ไม่รู้จักดีชั่ว หากเมื่อใดออกไปผู้อื่นจะมองและคิดเห็นเช่นไร!”