ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 474 งานเลี้ยงอำลา
บทที่ 474 งานเลี้ยงอำลา
“คนอื่นคิดเห็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้า คงไม่ต้องรบกวนใต้เท้าจ้าวมาร่วมกังวล” หลี่จื่อหยางตอบกลับ
“ข้าพูดเพราะเป็นห่วง แต่คล้ายใต้เท้าหลี่ไม่เห็นความเอื้อเฟื้อเสียแล้ว” จ้าวอิ๋งเฟิงตอบกลับ “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ไม่สนก็ไม่สน จะทำอะไรก็เชิญเถิด”
เมื่อกล่าวจบจ้าวอิ๋งเฟิงจึงลุกขึ้นก้าวเดินไปหาขุนนางคนอื่น ก่อนจะร่วมวงสนทนาอย่างกระตือรือร้นต่อไป
“เหตุใดข้ารู้สึกเหมือนโดนเขาเพ่งเล็ง?” อู๋ฝานมองตามอีกฝ่ายพลางถาม “หรือจะมีเรื่องผิดใจอะไร? แต่ข้าก็เพิ่งเคยได้พบเขาวันนี้วันแรกด้วยซ้ำ”
“คนป่วยก็แบบนี้แหละขอรับ” หลี่จื่อหยางตอบกลับ “แต่เหตุผลที่เพ่งเล็งท่านไม่ใช่เพราะอาการป่วย แต่เพราะตัวตนของท่านกับความสัมพันธ์กับข้า”
“หมายถึงอย่างไรกันขอรับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ใต้เท้าอู๋น่าจะทราบเรื่องศึกภายในของกลุ่มขุนนางพลเรือนและกลุ่มทหาร” หลี่จื่อหยางตอบกลับ “ศึกครั้งนี้ตลอดทั้งปีไม่เคยว่างเว้น ไม่นานมานี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเสียด้วยซ้ำ ใต้เท้าอู๋เป็นคนจากฝั่งทหารจึงแทบจะเท่ากับเป็นตัวแทนของฝั่งนั้น ตอนได้บรรดาศักดิ์เป็นจื่อเจวี๋ยเพราะของขวัญวันเกิดเมื่อครั้งก่อน ขุนนางพลเรือนหลายคนแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน จ้าวอิ๋งเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“แล้วใต้เท้าหลี่เล่าขอรับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม “ท่านเองก็น่าจะอยู่ฝั่งขุนนางพลเรือนมิใช่หรือ”
“บอกตามตรง ข้าไม่ได้มีความประทับใจดี ๆ อะไรกับฝั่งทหาร มันจึงทำให้ก่อนหน้านี้ข้าแสดงท่าทีไม่เหมาะสมกับใต้เท้าอู๋” หลี่จื่อหยางตอบตามตรง “แต่ทีหลังจึงได้ทราบว่าใต้เท้าอู๋แตกต่างไปจากเหล่าขุนพล ท่านมีคุณสมบัติของปราชญ์บัณฑิตอยู่ด้วย ทั้งยังอายุก็ต่างกันไม่มาก ข้าจึงมองว่าไม่ควรตัดสินและต่อต้านไปก่อน”
“จริงหรือขอรับ?” อู๋ฝานถามกลับ เนื่องจากเชื่อว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปเพราะจี้หยกที่เขาพกติดตัวเอาไว้ต่างหาก
“แน่นอนขอรับ” หลี่จื่อหยางตอบรับ
แท้จริงแล้วด้วยตัวตนคนของฝ่ายขุนนางพลเรือน หลี่จื่อหยางย่อมไม่ชอบใจในตัวอู๋ฝานที่มาจากฝ่ายทหาร เหตุผลที่เปลี่ยนท่าทีก็เป็นดังเช่นที่คาดเดา เพราะจี้หยกจึงทำให้เขายอมเปลี่ยนท่าที แต่เขาไม่มีทางกล้าพูดออกมาตามตรง อีกทั้งยังรับรู้ได้ถึงบรรยากาศของความเป็นปราชญ์บัณฑิต ระหว่างอู๋ฝานกับเหล่าขุนพลแห่งกองทัพที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั้นแตกต่างกันมาก ดังนั้นหลี่จื่อหยางจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องเข้าหาและตีสนิท
“ใต้เท้าหลี่กล่าวว่าจ้าวอิ๋งเฟิงเพ่งเล็งข้าเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นขอรับ?” อู๋ฝานค่อนข้างฉลาดจึงเลือกไม่ซักถามประเด็นเดิมต่อ หากยังรุกไล่ไม่เลิกจะทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าจนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่น่ายินดี ไม่ว่าหลี่จื่อหยางเปลี่ยนแปลงท่าทีด้วยเหตุผลใด สิ่งสำคัญคือการที่ทั้งสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดใส่ใจเรื่องราวหยุมหยิมเล็กน้อย
“ไม่แน่ใจว่าใต้เท้าอู๋รู้จักเสนาบดีแห่งกรมพลเรือนเช่นใต้เท้าหยวนจีหรือไม่? ปีหน้านี้ท่านผู้นั้นเตรียมตัวเกษียณกลับบ้านเกิดแล้ว” หลี่จื่อหยางไม่ตอบคำถามของอู๋ฝานตามตรง แต่เลือกที่จะเล่าเรื่องของเสนาบดีกรมพลเรือนนามหยวนจีออกมาแทน
อู๋ฝานส่ายหน้า เนื่องจากเพิ่งมาถึงเมืองหลวงจึงไม่ค่อยรู้จักใครที่นี่และมีหลายเรื่องที่ยังไม่ทราบ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“ตามปกติแล้วเสนาบดีประจำกรมพลเรือนคนใหม่จะคัดเลือกจากหัวหน้าหน่วยงานทั้งสี่ภายใต้กรมพลเรือน” หลี่จื่อหยางเล่าต่อ
อู๋ฝานดวงตาทอประกายขึ้นมา “เป็นแบบนี้นี่เอง”
เห็นได้ชัดว่าทั้งหลี่จื่อหยางกับจ้าวอิ๋งเฟิงต่างก็มีความคาดหวัง ว่าปีหน้าจะสามารถขึ้นไปแทนตำแหน่งหยวนจี ได้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมพลเรือนคนใหม่ ตำแหน่งดังกล่าวถือว่าสูงส่งและเป็นที่หมายปอง ตำแหน่งมีเพียงหนึ่งแต่มีผู้ท้าชิงถึงสี่ จ้าวอิ๋งเฟิงจะเพ่งเล็งหาทางเล่นงานหลี่จื่อหยางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
และเมื่อครู่นี้ตอนที่จ้าวอิ๋งเฟิงเดินเข้ามาจึงได้เห็นหลี่จื่อหยางพูดคุยกับใครบางคนด้วยท่าทีอารมณ์ดี จึงทำให้อีกฝ่ายชี้หน้าพล่ามเหตุผลอันไร้สาระทั้งหลายขึ้นมา
“ข้าต้องขออภัยใต้เท้าอู๋ด้วยขอรับ” หลี่จื่อหยางขออภัยอู๋ฝานอย่างเป็นทางการ
“ไม่เป็นไรขอรับ” อู๋ฝานโบกมือตอบ เพราะเขาไม่คิดเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเป็นจริงเป็นจัง
ขณะเวลาผ่านไป จำนวนคนในห้องโถงก็ยิ่งมารวมตัวกันมากขึ้น หลังบรรดาขุนนางทั้งหลายมาเยือน มหาขันทีผู้อยู่ในห้องโถงจึงตะโกนเสียงดัง “จักรพรรดิเสด็จ!”
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง ขณะจักรพรรดิชราเดินมาจากทางด้านข้างเพื่อนั่งลงยังบัลลังก์มังกร
“ถวายพระพรฝ่าบาท!” หลังจักรพรรดินั่งประจำที่ เหล่าขุนนางต่างพร้อมใจกันคุกเข่าลงแสดงความเคารพ
อู๋ฝานเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนโดดเด่นในโถง นับเป็นโชคดีที่ตำแหน่งอยู่ไกลสุดสายตาผู้อื่น เหล่าขุนนางต่างก็หันไปทางจักรพรรดิกันทั้งสิ้น ดังนั้นต่อให้ทำอะไร พวกเขาจึงไม่เห็นแต่อย่างใด
ทว่าจักรพรรดิชราผู้อยู่ด้านบนย่อมได้เห็น มหาขันทีข้างกายก็ได้เห็น แต่ขณะกำลังจะต่อว่าออกมานั้นจักรพรรดิกลับห้ามปรามเอาไว้ หลังมองอู๋ฝานจึงเอ่ยคำออก “ทุกคนลุกขึ้นได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทุกคนต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน หลังลุกขึ้นจึงกลับไปนั่งลงประจำที่กันอีกครั้งหนึ่ง
จักรพรรดิชราเผยท่าทีบอกมหาขันทีข้างกาย ขณะนี้เสียงตะโกนแหลมจึงดังขึ้น “องค์หญิงสามแห่งอาณาจักรหนานปิงเสด็จ!”
ภายใต้สายตาของทุกคนในห้องโถง องค์หญิงสามแห่งอาณาจักรหนานปิงผู้มีผ้าคลุมหน้าบดบังก้าวเดินอย่างช้า ๆ เข้ามายังโถงหลัก ก่อนจะหยุดลงห่างจากบัลลังก์มังกรสามจั้ง ก่อนคุกเข่าลงเผชิญหน้าจักรพรรดิชราพร้อมเอ่ย “องค์หญิงสามแห่งอาณาจักรหนานปิง อูหย่า คำนับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงเพคะ”
“ลุกขึ้นได้” จักรพรรดิตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” อูหย่าลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
“สองอาณาจักรต่างก็ปรองดองกันมาตลอด การแต่งงานครั้งนี้จะยิ่งส่งเสริมความแน่นแฟ้นระหว่างสองอาณาจักรให้เหนียวแน่น เป็นมิตรต่อกันไปอย่างน้อยก็ชั่วกาลนาน” จักรพรรดิเอ่ยคำขึ้น “ข้ากังวลเรื่องอาณาจักรหนานปิงถูกโจมตีเล่นงานจากอาณาจักรเฮยสุ่ย เดิมนั้นข้าก็คิดอยากส่งกำลังคนเข้าไปช่วยเหลือ แต่ไม่คาดว่าเรื่องราวจะสงบลงก่อน แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป หากภายหน้าเกิดเรื่องใดขึ้นข้าจะพร้อมส่งกองทัพเข้าไปสนับสนุนโดยเร็วเท่าที่จะทำได้”
“เป็นพระมหากรุณายิ่งเพคะฝ่าบาท” องค์หญิงสามแห่งหนานปิงตอบรับอย่างนอบน้อม
“อืม” จักรพรรดิเพียงพยักหน้ารับ “เดินทางมาคงเหนื่อยล้าไม่น้อย ข้าได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับการมาเยือนครั้งนี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทางอาณาจักรหนานปิงเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
“นั่งลงก่อนและดื่มด่ำไปกับบทเพลงและการเต้นรำจากอาณาจักรเหยียนเฟิงของเรา” จักรพรรดิชราเอ่ยขึ้น
ทว่าองค์หญิงแห่งหนานปิงกลับไม่เดินไปประจำตำแหน่งที่นั่งซึ่งจักรพรรดิชราจัดเอาไว้ให้ แต่เลือกที่จะเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยได้เรียนการเต้นรำมาบ้าง หวังว่าพระองค์จะให้โอกาสหม่อมฉันแสดงความสามารถเพคะ”
“โอ้?” จักรพรรดิประหลาดใจไปเล็กน้อย เพียงแต่ยามนึกถึงเหล่าสตรีของตระกูลเสนาบดีทั้งหลายก็พบว่าไม่ได้น่าประหลาดใจ การเรียนเต้นรำและร้องเพลงไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นจึงตอบรับ “วันนี้เจ้าเพิ่งมาถึงก็ควรจะได้พักเสียก่อน โอกาสยังมีอีกมาก ไว้ภายหน้าก็ยังไม่สายเกินไป”
“หม่อมฉันไม่เหนื่อยเลยสักนิดเพคะ” อูหย่าตอบกลับ “นับเป็นเกียรติของหม่อมฉันที่ได้เต้นรำต่อหน้าฝ่าบาท หวังพระองค์จะให้โอกาสแก่หม่อมฉันเพคะ”
จักรพรรดิมองอีกฝ่ายขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ไม่นานกลุ่มนักร้องและนักดนตรีจึงเข้ามายังพระราชวัง องค์หญิงแห่งหนานปิงเริ่มร่ายรำรับกับเสียงเพลง
อู๋ฝานและผู้อื่นต่างได้ชื่นชมความสามารถที่ถูกแสดงอยู่ในโถงหลัก ได้ทานอาหารเลิศรสที่นางกำนัลในวังหลวงทยอยนำมา
“องค์หญิงสามแห่งหนานปิงเต้นรำได้ดีทีเดียว” หลี่จื่อหยางผู้ชมการแสดงกำลังพูดออกมาราวกับลุ่มหลงมัวเมา
“นับว่าค่อนข้างดีขอรับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับเป็นการเห็นพ้อง องค์หญิงสามแห่งอาณาจักรหนานปิงมีเรือนร่างอันงดงาม ท่วงท่าการร่ายรำก็ชวนสะกดสายตา หากเทียบกับบรรดาผู้ขับร้องทั้งหลายจึงยิ่งโดดเด่น
“แต่นี่ไม่ถูกต้อง!”
อู๋ฝานแม้ชื่นชมแต่ก็จับจ้อง สายตามององค์หญิงสามแห่งหนานปิงด้วยสีหน้าที่ทั้งประหลาดใจและไม่แน่ใจ
เนื่องจากเขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารจากองค์หญิงสามแห่งหนานปิง!