ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 489 แบรนด์แอมบาสเดอร์
บทที่ 489 แบรนด์แอมบาสเดอร์
หลังสั่งสอนบทเรียนแก่กลุ่มอันธพาลและหวงถิงเฟิงแล้ว อู๋ฝานก็ขับรถไปยังโรงงานใหม่ของตนเอง เป็นโรงงานเภสัชกรรมและโรงงานเครื่องดื่ม
อู๋ฝานซื้อโรงงานทั้งสองมาก่อนเดินทางไปภูเขาเทียนเหลียง ขั้นตอนขออนุมัติการผลิตก็ดำเนินอย่างราบรื่นเพราะหวังจื่อหมิงเข้าช่วยเหลือ
โรงงานเภสัชกรรมจะผลิตสินค้าสามรายการ ประกอบด้วยครีมผิวกระจ่าง ยาทาลบรอยแผลเป็น และยาสมานแผล สองรายการแรกอยู่ในหมวดเครื่องสำอาง ขณะที่รายการหลังเป็นยา ดังนั้นภายในหนึ่งโรงงานของอู๋ฝานจึงจำเป็นต้องจัดตั้งแผนกขึ้นมาถึงสอง
ในส่วนของโรงงานเครื่องดื่ม สินค้าในเวลานี้จะมีเพียงแค่หนึ่งเดียว นั่นคือชาตื่นรู้
สองโรงงานสี่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอู๋ฝานต้องลงทุนเป็นเงินกว่ายี่สิบล้าน โดยเป็นมูลค่ารวมทั้งตัวโรงงาน อุปกรณ์ วัตถุดิบตั้งต้น และอื่น ๆ
ครีมผิวกระจ่างไม่ค่อยมีปัญหา เพราะวัตถุดิบหลักที่ใช้ผลิตสามารถซื้อจากในโลกความเป็นจริงได้ แต่ยาทาลบรอยแผลและยาสมานแผลไม่มีวัตถุดิบจากโลกความเป็นจริง มันจำเป็นต้องซื้อหาจากโลกแห่งเกม แน่นอนว่าราคาไม่ได้แพงล้ำอะไร ที่โลกฝั่งนั้นถือว่าราคาค่อนข้างถูกด้วยซ้ำ อู๋ฝานแค่ส่งคนไปซื้อและคอยนำส่งด้วยตัวเองก็พอ ด้วยปัจจัยหลากหลายนี้จึงทำให้สินค้าของเขาค่อนข้างมีเอกลักษณ์ อย่างที่ต่อให้คนอื่นได้สูตรการผลิตไปก็ไม่มีลอกเลียนขึ้นมาได้
“ผู้จัดการเกา ไลน์การผลิตสินค้าทั้งสามรายการเป็นยังไงบ้างครับ?” หลังมาถึงโรงงานเขาก็ได้พบกับชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีนามเกาหาน อีกฝ่ายเป็นผู้จัดการของโรงงาน นับตั้งแต่ที่อู๋ฝานซื้อที่นี่ก็ไม่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนคนที่ยังทำงานอยู่ แต่มอบหมายให้ทำงานเดิมต่อไป
อู๋ฝานกล้าตัดสินใจก็เพราะใช้วิชาตรวจสอบกับอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นคนมีความสามารถและนิสัยดีพอสมควร เรียกได้ว่าควรค่าแก่การไว้เนื้อเชื่อใจ ส่วนประการที่สองนั้นเพราะวัตถุดิบหลักที่จำเป็นสำหรับใช้ผลิตยาทาลบรอยแผลเป็นและยาสมานแผลค่อนข้างพิเศษ ต่อให้เปิดเผยสูตรออกไปก็แทบไม่ต้องกังวลอะไรด้วยซ้ำ
หลังซื้อโรงงานแห่งนี้เขาก็ฝากวัตถุดิบส่วนหนึ่งเอาไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไลน์การผลิตช่วงเริ่มต้นจึงไม่ควรเกิดปัญหาใดขึ้น
“เถ้าแก่ พวกเราขึ้นไลน์ผลิตสินค้าทั้งสามรายการมาได้ระยะหนึ่งแล้วครับ ครีมผิวกระจ่างและยาสมานแผลผลิตได้แล้วอย่างละหนึ่งหมื่นขวด ส่วนยาทาลบรอยแผลเป็นพร้อมแล้วสองหมื่นขวดครับ ไลน์ผลิตของโรงงานยังคงทำงานไม่หยุดพัก แต่วัตถุดิบที่เถ้าแก่ฝากเอาไว้ก่อนหน้านี้เหลือไม่มากแล้ว เพราะแบบนั้นผมเลยติดต่อหาเพื่อสอบถามเรื่องนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มเติมครับ” เกาหานรายงานออกมา
ก่อนหน้าที่อู๋ฝานจะออกเดินทาง เขาได้อธิบายให้เกาหานทราบแล้วว่าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเรื่องจัดหาวัตถุดิบ และให้อีกฝ่ายรับหน้าที่แค่กระบวนการผลิตก็พอ
“บัญชีของโรงงานตอนนี้พอจะมีเงินอยู่บ้าง คุณเองก็น่าจะพอรับผิดชอบจัดซื้อวัสดุและวัตถุดิบได้” อู๋ฝานตอบ “แต่ในบรรดาวัตถุดิบเหล่านั้นมีของสามอย่างที่ผมเคยแจ้งเอาไว้ พวกนั้นผมจะเป็นคนจัดการนำมาให้ด้วยตัวเอง เพราะแบบนั้นไม่ต้องกังวลไปนะครับ”
“ครับเถ้าแก่“ เกาหานตอบรับ
“ในเมื่อผลิตสินค้าได้จำนวนหนึ่งแล้ว ก็น่าจะได้เวลาเริ่มโปรโมต” อู๋ฝานตอบ
“เถ้าแก่ครับ เรื่องนี้อาจจะยากไปบ้าง” เกาหานเผยสีหน้าลำบากใจ “สินค้าเดิมที่โรงงานแห่งนี้เคยผลิตกับสินค้าใหม่ที่เพิ่งผลิตค่อนข้างแตกต่างกันมากเกินไป เส้นทางการขายเดิมของพวกเราคงใช้งานได้ไม่มาก ถ้าต้องการส่งสินค้าออกไปขายก็จำเป็นต้องเปิดเส้นทางใหม่ขึ้นมา น่าจะต้องใช้ทั้งงบประมาณและระยะเวลาครับ”
เกาหานเห็นว่าอู๋ฝานยังค่อนข้างเด็กจึงกลัวว่าอีกฝ่ายจะกระหายผลกำไร ดังนั้นจึงต้องเอ่ยเตือนไว้ก่อน อย่างน้อยก็ไม่ให้เถ้าแก่คนใหม่โทษพวกตนที่ขายของไม่ค่อยออก
“หลายปีมานี้อุตสาหกรรมความงามมีคนกระโดดเข้ามาเล่นเยอะมากขึ้น สินค้าที่พวกเราทำขึ้นก็แทบจะเหมือนกับของคนอื่น เลยไม่น่าจะมีข้อได้เปรียบอะไร ถ้าคิดส่งออกไปขายในตลาดความงามคงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ครับ” เกาหานอธิบายออกมา
เห็นได้ชัดว่าเกาหานศึกษาตลาดมาเรียบร้อย เพราะได้ทราบว่าโรงงานต้องผลิตอะไรเขาจึงเตรียมข้อมูลไว้ตอบคนเป็นเถ้าแก่ล่วงหน้า
แต่คำของเกาหานจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อเป็นโรงงานผลิตสินค้าใหม่ที่ค่อนข้างธรรมดา
“ผู้จัดการเกา ถ้าคุณได้ลองใช้สินค้าของโรงงานเราคงไม่พูดแบบนี้แน่” อู๋ฝานยิ้มตอบ “แต่เรื่องที่พูดมาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล กลิ่นหอมของไวน์ยังทำให้คนในตรอกกลัวจนตัวสั่นได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้สินค้าดีแค่ไหนก็ยากจะโดดเด่นในบรรดาสินค้าประเภทเดียวกัน โดยเฉพาะกับตอนนี้ที่ตลาดมีแบรนด์ใหญ่ยึดตำแหน่งเอาไว้อย่างเหนียวแน่น”
เกาหานไม่ทราบว่าเพราะอะไรเถ้าแก่คนใหม่ถึงมีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์มาก หรือว่าสินค้าที่พวกเขาทำขึ้นมาจะเทียบกับแบรนด์ใหญ่ได้จริง? เกาหานได้เพียงคิด แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่ายากจะเป็นจริงได้
“ที่พวกเราควรทำคือการลงทุนด้านการประชาสัมพันธ์และเส้นทางค้าขายครับ” เกาหานบอกออกมา
“ก็จริงครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “สินค้าแบบนี้จะงกค่าประชาสัมพันธ์ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้คุณน่าจะคุ้นเคยดีกว่าผม เพราะงั้นฝากจัดการด้วยครับ”
“ครับเถ้าแก่” เกาหานตอบรับ เพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นคนคุ้นเคยงานด้านนี้จริง ๆ สินค้าที่โรงงานแห่งนี้เคยผลิตก็จำเป็นต้องทำทั้งการประชาสัมพันธ์และพัฒนาเส้นทางค้าขาย หากจะบอกว่าเขามีความสามารถด้านนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“จริงด้วย!” ขณะอู๋ฝานเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เอ่ยขึ้น “คิดว่าการหาแบรนด์แอมบาสเดอร์สักคนให้กับสินค้าของเราเป็นยังไงครับ?”
“แบรนด์แอมบาสเดอร์?” เกาหานชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะเรื่องแบบนี้น่าจะมีแต่แบรนด์ใหญ่ที่ทำไม่ใช่เหรอ? กับโรงงานแห่งนี้ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรถึงขั้นต้องมีแบรนด์แอมบาสเดอร์เลย? หาแค่พรีเซนเตอร์ก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?
“ใช่ครับ” ทว่าอู๋ฝานคิดไปมากกว่านั้น กระทั่งมองว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องทำ เพราะเกาหานยังไม่ทราบถึงสรรพคุณที่แท้จริงของสินค้า จนถึงตอนนี้จึงยังคิดถึงภาพในอนาคตของผลิตภัณฑ์ทั้งสามไม่ออก
แต่อู๋ฝานไม่ใช่ เขามีความมั่นใจในสินค้าทั้งสาม ไม่แปลกหากจะมองภาพรวมที่ใหญ่ขนาดต้องใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่ยิ่งจ้างคนที่มีชื่อเสียงจะยิ่งดึงความนิยมและความสนใจในตัวสินค้า
“จำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เกาหานไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะสามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงถามเพื่อให้เถ้าแก่ทบทวน
“จำเป็นขนาดนั้นเลยครับ” อู๋ฝานตอบรับอย่างมั่นใจ
“ถ้าอย่างนั้นเถ้าแก่ต้องการจ้างแบรนด์แอมบาสเดอร์เป็นใครดีครับ? ดาราเกรดสามหรือว่าเกรดสี่พอจะหาได้และราคาไม่แพงมากครับ” เกาหานตอบกลับ
“เกรดสาม เกรดสี่? ไม่เอาแบบนั้นสิครับ” อู๋ฝานส่ายหน้า “สินค้าของพวกเราไม่ใช่ของธรรมดา ถ้าไม่หาแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะหาก็ต้องเป็นเกรดหนึ่ง หรือไม่ก็แถวหน้าของเกรดหนึ่งถึงจะเหมาะสม“
“เกรดหนึ่ง หรือไม่ก็ระดับแถวหน้าของเกรดหนึ่งเหรอครับ?” เกาหานถึงกับตื่นตกใจ
“ใช่ครับ!” อู๋ฝานตอบกลับ “คิดว่าสวี่จื่อฉีเป็นยังไงครับ?”
“สวี่จื่อฉี?!” เกาหานถึงกับร้องอุทานตอบรับจนเสียงเปลี่ยน
“ผมว่าสวี่จื่อฉีก็ดีเลย ได้เธอคนนั้นรับรองผลิตภัณฑ์ของเราคงไม่มีปัญหาแน่” อู๋ฝานตอบกลับ
ไร้สาระ! ในประเทศนี้ใครบ้างไม่รู้จักสวี่จื่อฉี!
เกาหานแทบอยากจะตะโกนใส่หน้าอู๋ฝาน
ดาราสาวผู้เป็นหนึ่งในจุดสูงสุดของแผ่นดิน เป็นดาราที่ดังที่สุดในประเทศเวลานี้ แต่อู๋ฝานกลับพูดออกมาเหมือนการที่เธอคนนั้นมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่พอจะเหมาะสมยอมรับได้อย่างไรอย่างนั้น