ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 494 ไม่มีอำนาจตัดสินใจ
บทที่ 494 ไม่มีอำนาจตัดสินใจ
“ปู่ของคุณบอกให้อยู่ห่างจากผมอย่างนั้นสินะครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถามถังอวี่เฟยด้วยท่าทีสงบ
“รู้ได้ยังไงคะ?” ถังอวี่เฟยตอบกลับโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันไม่ฟังคำของท่านอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่กันแน่ เมื่อวานยังขอให้มอบบ้านกับหาทางใกล้ชิดคุณอยู่เลย แต่พอวันนี้กลับบอกให้ฉันอยู่ห่างซะแล้ว”
ถังอวี่เฟยค่อนข้างโกรธและแทบไม่อาจยอมรับคำสั่งของผู้เป็นปู่ได้ หากเธอไม่ทราบเรื่องที่ปู่ของตัวเองยังแข็งแรงดี คงนึกสงสัยไปแล้วว่าเป็นอัลไซเมอร์หรือไม่ เวลาเพิ่งผ่านไปไม่นานเพราะอะไรถึงกลับคำอย่างกะทันหัน
“เพราะร้านคัลเลอร์แมนครับ” อู๋ฝานยิ้มตอบกลับ
“ร้านคัลเลอร์แมน?” ถังอวี่เฟยมองอู๋ฝานราวกับไม่เข้าใจคำตอบ
“แตกหักกับร้านคัลเลอร์แมนงั้นเหรอคะ? ร้านนั้นมีสำนักผู้ฝึกตนอยู่เบื้องหลัง?” เห็นได้ว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองความเป็นไปได้ที่กว้างกว่าทว่าแม่นยำ เพียงได้ยินคำตอบของอู๋ฝานก็คาดเดาต่อไปได้
“ใช่ครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับเป็นการยืนยัน “เมื่อกี้หวังจื่อหมิงโทรมาบอกผมให้ทราบเรื่องนี้ครับ”
อู๋ฝานเล่าสิ่งที่หวังจื่อหมิงบอกผ่านสายโทรศัพท์ให้ถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ทราบ จากนั้นจึงมองถังอวี่เฟย “เห็นได้ชัดว่าทางตระกูลของคุณได้ทราบข่าวคราวนี้แล้วเช่นกัน หลังชั่งน้ำหนักได้เสีย พวกเขามองว่าวังเมฆาสีชาดแข็งแกร่งกว่า ดังนั้นจึงขอให้อยู่ห่างจากผมครับ”
“เรื่องเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน” ถังอวี่เฟยยังไม่อาจเข้าใจ “เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ร้านคัลเลอร์แมนนั่นแหละที่ผิด ถือดีอะไรมาข่มขู่คุณแบบนี้?”
“ในแวดวงผู้ฝึกตน กำลังเป็นใหญ่เสมอครับ” หากเทียบกับถังอวี่เฟยแล้ว หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่มีท่าทีประหลาดใจแม้แต่น้อย
“แล้วจะทำยังไงคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองอู๋ฝาน
“ทำยังไง? ก็ต้องเตรียมตอบโต้สิครับ ไม่ว่าจะด้วยอะไร ผมไม่มีทางปิดร้านโลกในแหวนอย่างแน่นอน” อู๋ฝานตอบกลับ
ในเวลานี้ร้านโลกในแหวนคือช่องทางทำเงินหลักของอู๋ฝาน ทั้งยังเป็นฐานสำหรับช่วยโปรโมตสินค้าสารพัดในอนาคตได้อีกด้วย และในขณะเดียวกันก็ยังช่วยทำให้มีเส้นสาย กล่าวได้ว่าร้านนั้นสำคัญอย่างไม่อาจสูญเสียไปได้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปิดร้านเพียงเพราะคำขู่ของวังเมฆาสีชาด
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ทั้งอู๋ฝานและถังอวี่เฟยต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน นั่นคือไม่ใช่ความผิดของเขาแม้แต่น้อย กลับกันฝ่ายเขาต่างหากที่ถูกข่มเหง หวงถิงเฟิงเล่นงานร้านถึงสามครั้ง และถึงขั้นทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ เพราะเรื่องเหล่านั้นตนจึงสั่งสอนบทเรียนเล็กน้อยให้กับอีกฝ่าย แต่ไม่ได้เล่นงานจนถึงตาย ทว่าครั้งนี้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองเมตตาศัตรูจนเกินไปแล้ว
ผลลัพธ์ที่ได้ หวงถิงเฟิงและวังเมฆาสีชาดที่อยู่เบื้องหลังไม่ยอมรับความผิดและยังสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนที่จะกลั่นแกล้งหรือรังแกกันได้ง่าย ๆ เหรอ?
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับก่อนจะครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ยคำ “ฉันเคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาบ้าง วังเมฆาสีชาดถือเป็นสำนักชั้นหนึ่งในเจียงโจว แต่หากมองภาพรวมจากทั่วประเทศก็ถือเป็นสำนักชั้นที่สอง หากเทียบด้านกำลังกับหอคันธะสงัดของคุณแล้วอาจจะด้อยกว่าด้วยซ้ำ เจ้าวังมีนามว่าเมิ่งข่าย สามปีก่อนสำเร็จขอบเขตแปรสภาพขั้นต้น วิทยายุทธที่ใช้เหมือนจะชื่อลูกเตะอรหันต์ เป็นวิชาที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและโดดเด่นด้านพลังทำลายล้างในการต่อสู้”
“ภูเขาน้ำแข็ง เหมือนเธอคุ้นเคยกับสถานการณ์ของเจียงโจวดีจังเลยนะ” ถังอวี่เฟยมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ เพราะเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าออกมานั้นละเอียดยิ่งกว่าที่เธอทราบ
“ก่อนจะมาเรียนที่เจียงโจว ฉันก็ต้องตรวจสอบข้อมูลของสำนักผู้ฝึกตนในเจียงโจวด้วยสิ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ
“สมแล้วที่เป็นคนของตระกูลหลิ่วจากเมืองหลวง” ถังอวี่เฟยยกนิ้วโป้งให้
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองข้ามไปก่อนจะหันไปพูดกับอู๋ฝานต่อ “เมิ่งข่ายคนนั้นมีชื่อเสียงในแวดวงผู้ฝึกตนที่ไม่ค่อยดีนัก เป็นคนต่ำช้าและโหดเหี้ยม เป็นคนที่พร้อมจะตามล้างแค้นแม้กับเรื่องเล็กน้อย ถ้าเป็นเพียงแค่ธุรกิจของโลกเบื้องหน้าเขาคงไม่ค่อยใส่ใจอะไร แต่หากเขามองว่าคุณกำลังท้าทายอำนาจของวังเมฆาสีชาดคงไม่มีทางปล่อยไปแน่ เพราะแบบนั้นควรระมัดระวังเอาไว้ค่ะ”
“ทราบแล้วครับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ “ตอนนี้เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ไปซะแล้ว และคงไม่มีทางคลี่คลายแบบประนีประนอมได้อีก ผู้อาวุโสสำนักนอกแห่งวังเมฆาสีชาดได้ลั่นวาจาไว้ว่าให้ปิดร้านโลกในแหวนของผมในอีกสามวัน ไม่งั้นพวกเขาจะลงมือ เมื่อผมไม่คิดปิดร้าน ก็ถือว่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว”
“ตั้งตัวเป็นศัตรูก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรค่ะ แค่สำนักชั้นสองแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ น้ำเสียงนั้นแสดงออกชัดถึงความมั่นใจ
“เอาละครับ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงไป ผมจัดการด้วยตัวเองได้” อู๋ฝานยิ้มตอบ “ถ้าพวกนั้นไม่มาสร้างปัญหาผมก็คงไม่อะไร แต่หากมา ผมก็ไม่คิดมากมารยาทด้วยแน่นอน”
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกนะคะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบ
ถังอวี่เฟยอยากที่จะพูดคำที่คล้ายคลึงกันนี้ออกมา แต่เมื่อคำพูดถึงริมฝีปากกลับต้องกลืนเข้าไปตามเดิม ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากช่วย ทว่าเธอเป็นคนของตระกูลถัง แม้จะอยากช่วยแค่ไหน ตัวเธอก็ไม่มีอำนาจที่แท้จริงในกำมือ อีกทั้งผู้เฒ่าตระกูลถังยังสั่งผ่านทางโทรศัพท์มาอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าไม่มีแนวคิดให้ความช่วยเหลืออู๋ฝานอย่างแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์เช่นตอนนี้ ต่อให้เธอพูดอะไรออกไปก็แทบไม่ต่างกับลมปาก
ทั้งถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์อยู่ต่อที่บ้านอู๋ฝานอีกสักพักหนึ่งจึงกลับไป ระหว่างนั้นถังอวี่เฟยจากที่เคยส่งเสียงพูดคุยอยู่ตลอดกลับกลายเป็นเงียบงัน
“เกิดในตระกูลใหญ่ก็เป็นแบบนี้ มีหลายเรื่องที่แม้อยากทำก็ทำไม่ได้” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พูดขึ้นมา ราวกับเธอได้เห็นว่าถังอวี่เฟยกำลังหนักใจเรื่องราวใด
“ฉันอยากช่วยอู๋ฝาน” ถังอวี่เฟยตอบกลับ “แต่ฉันก็ตระหนักได้ว่าตัวเองที่เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลถังกลับทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะตัวตนหรืออำนาจตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นของฉันเลยแม้แต่อย่างเดียว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่าทีของท่านปู่”
“ก็นะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ “สถานการณ์ของฉันค่อนข้างดีกว่าเธออยู่บ้าง สาเหตุที่ฉันกล้าให้ความช่วยเหลืออู๋ฝานก็เพราะวังเมฆาสีชาดเป็นเพียงแค่สำนักชั้นสอง หากเป็นสำนักชั้นหนึ่งแถวหน้าหรือสำนักชั้นยอดก็คงเป็นเหมือนเธอ ที่ต่อให้ใจอยากทำก็ทำอะไรไม่ได้”
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ทราบดีว่าอำนาจเบื้องหลังเธอจะไม่ใส่ใจอะไรหากเป็นเพียงแค่การปะทะกับสำนักชั้นสอง แต่ถ้าเป็นอำนาจที่ทัดเทียมกันก็จำเป็นต้องระมัดระวัง เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจหรือพูดออกมา มันคือความลำบากใจของผู้ที่มีสังกัด บ่อยครั้งหลายเรื่องเกิดขึ้น แต่พวกเขากลับไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ
“เธอคิดว่าครั้งนี้อู๋ฝานจะเป็นไรไหม?” ถังอวี่เฟยถามด้วยความเป็นกังวล ปู่ของเธอบอกให้อยู่ห่างจากอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวครั้งนี้จริงจังและหนักหนาแค่ไหน วังเมฆาสีชาดไม่มีทางแค่ข่มขู่โดยไม่ลงมือ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นสำนักชั้นหนึ่งในพื้นที่เจียงโจว การที่เธอจะกังวลขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก