ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 503 ผู้สมรู้ร่วมคิด
บทที่ 503 ผู้สมรู้ร่วมคิด
เสียงที่ปรากฏอย่างกะทันหันทำให้บรรยากาศที่อึมครึมในลานเงียบลง กระทั่งอู๋ฝานยังต้องหันไปมองทางเข้าโดยไม่รู้ตัว พร้อมได้เห็นเจ้าฉีที่มาพร้อมเสี่ยวชิงและองครักษ์ที่เคยปะทะกันไปครั้งก่อนติดตามมา ขณะนี้กำลังก้าวเดินเข้ามาจากภายนอก
เจ้าฉีหนีออกจากบ้านอีกแล้ว?
มันเป็นความคิดแรกของอู๋ฝานในทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
แต่พอได้เห็นหัวหน้าองครักษ์ที่ติดตามมาด้วย เขาจึงทิ้งความคิดเมื่อครู่ไป เพราะหากนางหนีออกมาจากบ้านอีกครั้ง คงไม่มีองครักษ์คอยตามติดเช่นนี้แน่
ทว่าไม่ว่าเจ้าฉีจะหนีออกจากบ้านหรือไม่นั้น การปรากฏตัวครั้งนี้ของนางก็ไม่ใช่เรื่องดี เหล่าทหารที่พร้อมจะลงมือในทุกเมื่อ หากการต่อสู้ปะทะเกิดขึ้น อีกฝ่ายที่เป็นเพียงสตรีอาจถูกลูกหลงเล่นงานจนบาดเจ็บได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นอู๋ฝานจึงหันไปบอก “มาทำอะไรที่นี่กัน? รีบออกไปจากที่นี่ก่อน!”
“ข้ามาจ่ายเงินคืนให้เจ้าไง” เจ้าฉีตอบกลับ นางมองกลุ่มคนในลาน ทว่าไม่คล้ายพบความผิดปกติจึงเอ่ยถามออกมา “ทำไมที่นี่มีคนเยอะขนาดนี้กัน?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องของข้า เงินก็ไม่ต้องจ่ายคืนแล้ว รีบออกไปก่อน” อู๋ฝานบอก
“ไม่ได้สิ!” เจ้าฉีปฏิเสธความหวังดีของอู๋ฝาน “ข้าติดหนี้ผู้อื่นแล้วจะไม่ให้จ่ายเงินคืนได้ยังไงกัน? ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมีของต้องทวงคืนด้วย”
อู๋ฝานจึงมองจี้หยกที่ห้อยเอวตนเองอยู่ก่อนจะโยนให้กับนาง “รับเอาไว้แล้วรีบไปจากที่นี่”
หลังเห็นท่าทีของชายหนุ่ม หลี่จื่อหยางถึงกับดวงตาแทบถลนออกจากเบ้าขณะจ้องมองเจ้าฉี ราวกับต้องการยืนยันตัวตนของอีกฝ่าย
เจ้าฉีรับจี้หยกเอาไว้ก่อนจะมองด้วยความสงสัย “แล้วเหตุใดต้องเร่งร้อนไล่ข้าไปด้วยเล่า? ไม่ว่างงั้นหรือ?”
ไร้สาระ! ไม่เห็นรึไงว่าข้ากำลังโดนคนมากมายปิดล้อม?
อู๋ฝานได้แต่บ่นอยู่ในใจ
“ไม่ได้สิ เหตุใดจึงรีบให้ผู้อื่นจากไปถึงเพียงนั้นกัน?” จ้าวอิ๋งเฟิงเอ่ยขึ้น ก่อนจะมองทางขุนพลอวี่และอีกคนหนึ่ง “ขุนพลทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้รู้จักกันกับอู๋ฝาน บางทีอาจจะใกล้ชิดกันจนน่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ข้าแนะนำให้จับกุมตัวไปพร้อมกันเลย บางทีอาจจะได้สืบทราบว่ามือสังหารผู้นั้นอยู่ที่ใดกันแน่”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวอิ๋งเฟิงไม่ทราบตัวตนของเจ้าฉี ไม่ใช่ว่าสถานะของอีกฝ่ายต่ำต้อย แต่เขาไม่มีคุณสมบัติพอจะเคยได้เห็นเจ้าฉีในชุดบุรุษ ดังนั้นเพียงแค่มองจึงไม่ทราบ
ส่วนจี้หยกที่ถูกโยนออกไปเมื่อครู่นั้น เดิมจ้าวอิ๋งเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ทราบตัวตนแท้จริงของเจ้าฉี เพียงแค่คิดว่าเป็นมิตรสหายของอู๋ฝาน ในเมื่อรู้จักกันอย่างนั้นจับกุมไปพร้อมกันเสียเลยจึงจะเป็นเรื่องดี
แต่พอได้ยินคำของจ้าวอิ๋งเฟิง หลี่จื่อหยางที่คาดเดาตัวตนของเจ้าฉีได้แล้ว กลับต้องมองอีกฝ่ายพลางคิดในใจ ‘จ้าวอิ๋งเฟิงเอ๋ย เจ้ากล้าดีอย่างไรทำตัวเช่นนี้กับองค์หญิงเจ็ด! ชีวิตเจ้าสุขสบายเกินไปจนหาเรื่องยากลำบากใส่ตัวงั้นหรือ?’
ในฐานะคู่แข่ง หลี่จื่อหยางที่ได้เห็นอีกฝ่ายแสวงหาความตายมาสู่ตนโดยการกล้าเพ่งเล็งเจ้าฉี ต่อให้ทราบเรื่องเขาก็ไม่คิดที่จะพูดออกมา กระทั่งหวังให้อีกฝ่ายพูดจารุนแรงยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ
จ้าวอิ๋งเฟิงไม่ทราบตัวตนของเจ้าฉี ขุนพลอวี่และผู้อื่นก็ไม่ทราบเช่นกัน แม้กระทั่งเป็นช่วงที่นางแต่งกายด้วยชุดสตรีพวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ ไฉนเลยจะจำแนกหญิงสาวที่เวลานี้สวมใส่เสื้อผ้าบุรุษได้?
หลังได้ยินคำพูดของจ้าวอิ๋งเฟิง ขุนพลอวี่และขุนพลอีกคนหนึ่งที่นำกำลังคนมาภายหลังต่างมองเจ้าฉี ท่าทีคุกคามแสดงออกชัดเจนผ่านสายตาของพวกเขา ทำให้หวงเจ๋อที่ติดตามมาคอยอารักขาต้องขมวดคิ้ว สุดท้ายจึงก้าวเดินออกมายืนตรงหน้านาง
ทั้งขุนพลอวี่และอีกคนหนึ่งที่ตามมาในภายหลังค่อนข้างคล้อยตามคำพูดชี้นำของจ้าวอิ๋งเฟิง
อู๋ฝานคือตัวตนที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจลงมือได้ยาก อย่างไรเรื่องราวก็ยังไม่แน่ชัด ทั้งยังไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่าชายหนุ่มซ่อนตัวมือสังหารเอาไว้ ด้วยตัวตนของอีกฝ่ายและความดีความชอบเมื่อวาน หากพวกเขาบุ่มบ่ามลงมือจับกุมอาจกลายเป็นชักนำปัญหาใหญ่มาสู่ตน
ทว่าพวกเขาไม่คิดมากอะไรหากต้องจับกุมผู้ร่วมสมคบคิดที่เพิ่งจะปรากฏตัว บางทีผู้ให้ความร่วมมือตรงหน้านี้อาจทราบที่อยู่ของมือสังหารดังเช่นที่จ้าวอิ๋งเฟิงพูดก็เป็นได้ เพราะคำสั่งจากเบื้องบนที่ถ่ายทอดลงมา พวกเขาต้องเผชิญแรงกดดันในการสืบหาตัวมือสังหารอย่างหนัก ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดก็ต้องคว้าเอาไว้
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของบุคคลตรงหน้าก็ไม่ได้ข่มขวัญพวกเขาดังเช่นตัวตนของอู๋ฝาน ต่อให้จับกุมผิดตัวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ขุนพลทั้งสองจึงมองหน้ากันเองพร้อมส่งสัญญาณบอกผู้ใต้บัญชาให้เข้าปิดล้อมพวกเจ้าฉีเอาไว้
“พวกเจ้าคิดทำอะไร?” เจ้าฉีที่ยังไม่ทราบว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ขณะนี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ทั้งโกรธเคืองและประหลาดใจ
“ขอให้มากับพวกเราด้วย” ขุนพลอวี่เอ่ยขึ้น
พูดจบ กลุ่มทหารจึงพากันเข้าหาพวกเจ้าฉีเพื่อคิดจับกุมตัว
“ตึง ตึง ตึง!”
หวงเจ๋อผู้ทื่ยืนขวางเบื้องหน้าเจ้าฉีไม่ลังเลที่จะลงมือ แม้เขาจะไม่อาจต่อกรกับอู๋ฝานได้ แต่การจัดการทหารทั่วไปนั้นไม่ใช่ปัญหา กลุ่มทหารที่คิดเข้าจับกุมตัวหญิงสาวทั้งสามจึงถูกโจมตีจนร่างกระเด็นลอยลิ่ว
“กล้าดียังไงขัดขวางการจับกุม?!” ขุนพลทั้งสองตะโกนเสียงดังด้วยโทสะ
“พวกเจ้ากล้าจับกุมข้างั้นหรือ?!” เจ้าฉีชี้หน้าขุนพลทั้งสองอย่างโกรธเคือง
อู๋ฝานที่อยู่อีกด้านกำลังคร่ำครวญ อุตส่าห์บอกให้ออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังไม่ไป ตอนนี้ถูกลากมาข้องเกี่ยวด้วยแล้วเห็นไหม
เจ้าฉีถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเรื่องของตน อู๋ฝานจึงไม่คิดนิ่งดูดาย ตอนนี้หันไปมองทางขุนพลอวี่และขุนพลอีกคนหนึ่งก่อนจะเอ่ย “พวกเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย ปล่อยคนไป”
“ใต้เท้าอู๋ยังไม่ทราบสถานการณ์อย่างนั้นหรือ? เจ้าเป็นผู้ต้องสงสัย ตอนนี้กำลังพูดแทนผู้อื่น คิดว่าคำพูดนี้จะมีความน่าเชื่อถือหรืออย่างไร?” จ้าวอิ๋งเฟิงเย้ยหยันอู๋ฝาน
“ข้าจะเป็นผู้ต้องสงสัยหรือไม่ใช่ แต่พวกเขาก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ดี” อู๋ฝานตอบ
“ไม่มีทาง!” จ้าวอิ๋งเฟิงตอบกลับ
“ขอแนะนำให้พวกเจ้าทั้งสามหยุดขัดขืนและมากับพวกเรา ไม่เช่นนั้นแล้วคงต้องมีการบาดเจ็บกันบ้าง” ขุนพลผู้ที่มาในภายหลังบอกกับพวกเจ้าฉี
สิ้นคำกล่าว เหล่าทหารจึงรวมตัวกันปิดล้อม แต่หวงเจ๋อยังคงลงมือจัดการอย่างต่อเนื่อง
“พวกเจ้าคิดทำอะไร? คิดก่อกบฏงั้นหรือ!” เจ้าฉีตะโกนถาม
เจ้าฉีโกรธจัด แต่ขุนพลทั้งสองโกรธยิ่งกว่า พวกเขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะต่อต้าน ทั้งยังไม่เห็นพวกตนเองในสายตาเลยอย่างนั้นหรือ?
“อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่งั้นหรือ?” ขุนพลผู้ที่มาภายหลังก้าวเท้าเข้ามาชี้หน้าตะโกนด่าทอเจ้าฉี
“กึก!” หวงเจ๋อก้าวเท้าออกไปพร้อมใช้อาวุธในฝักฟาดใส่นิ้วของขุนพลผู้นั้น ทุกคนในที่นี้ต่างได้ยินเสียงดังฟังชัด นิ้วของขุนพลผู้นั้นหักอย่างไม่ต้องสงสัย
“กล้าดียังไงมาชี้หน้าท่านชายของข้า?!” หวงเจ๋อเผยเสียงเย็นเยือกพร้อมคำรามใส่ขุนพลผู้นั้น
สถานการณ์และบรรยากาศในตอนนี้แปลกประหลาดอีกครั้งครา ยกเว้นเพียงแต่ขุนพลผู้นั้นที่แผดร้องเพราะนิ้วหัก ในที่นี้ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกแล้ว