ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 504 ลงมือ
บทที่ 504 ลงมือ
“พวกเจ้าทำบ้าอะไร?!” ขุนพลอวี่มองพวกเจ้าฉีด้วยท่าทีโกรธจัด ทหารรอบด้านต่างชักอาวุธออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“ข้าสิที่ต้องถามว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” เจ้าฉีขึ้นเสียงถามกลับไป
“ข้าสงสัยว่าพวกเจ้ากำลังให้ที่หลบซ่อนแก่มือสังหารที่ลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท ดังนั้นจึงต้องจับกุมกลับไปสอบสวน” ขุนพลอวี่ตอบกลับ
เจ้าฉีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายถึงกับชะงัก กระทั่งไม่คิดเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
นางให้ที่ซ่อนมือสังหารที่ลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อตัวเองงั้นหรือ? นี่นางได้ยินผิดไปหรือว่าหูฝาดไป?
“ไม่มีอะไรจะโต้แย้งละสิ?” ขุนพลอวี่เห็นเจ้าฉีนิ่งงันไปจึงคิดว่านางตกตะลึง พร้อมกับยิ่งเชื่อมั่นในข้อสันนิษฐานของจ้าวอิ๋งเฟิง
“วาจาไร้สาระ!” เจ้าฉีมองขุนพลอวี่ก่อนจะโต้กลับอย่างเดือดดาล “ข้าจะให้ที่ซ่อนมือสังหารไปทำไม?”
“ข้าหรือจะทราบได้ บางทีคงเป็นพวกเดียวกันวางแผนด้วยกันกระมัง” ขุนพลอวี่ตอบกลับ
“เจ้ามีหลักฐานอะไรถึงมากล่าวโทษ?” เจ้าฉีถามกลับ
“หลักฐาน? เอาตัวพวกเจ้ากลับไปสอบสวนก็รู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?” ขุนพลอวี่ย้อนถาม
“ขุนพลอวี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น “อย่าลากคนบริสุทธิ์มาเกี่ยวข้อง”
“ใต้เท้าอู๋ ข้าเชื่อว่าท่านบริสุทธิ์ แต่สหายของท่านนั้นข้าคงไม่อาจยืนยันอะไรได้” ขุนพลอวี่ตอบ แม้จะพูดด้วยความสุภาพ แต่สีหน้าท่าทีไม่ได้สุภาพตามคำพูดแม้แต่น้อย
ในเมื่อขุนพลอวี่ต้องการจับกุมตัวพวกเจ้าฉี ก็เท่ากับเป็นการบอกว่าไม่เชื่อในตัวอู๋ฝาน ที่สงสัยพวกเจ้าฉีก็เพราะอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด จุดเริ่มต้นทั้งหมดยังคงเป็นตัวชายหนุ่ม แต่เขาไม่กล้าจับกุมอีกฝ่าย ดังนั้นจึงหันไปเริ่มจากผู้อื่นแทน
ขณะพวกเขาไม่กล้าลงมือกับอู๋ฝาน คนเหล่านี้กลับโผล่มาจากที่ไหนไม่ทราบ แต่ก็น่าจะเกี่ยวข้องใช่หรือไม่? ตราบใดที่จับกุมตัวทำให้ยอมเปิดปากบอกซัดทอดจนถึงอู๋ฝานได้ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่หากพวกเจ้าฉีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงก็เพียงปล่อยตัวไป
อย่างน้อยขุนพลอวี่ก็คิดเช่นนั้น
“ใครมันกล้าแตะต้องท่านชาย ข้าจะหั่นมือคนผู้นั้นทิ้งเสีย!” หวงเจ๋อพูดพร้อมสีหน้าเย็นยะเยือก
หวงเจ๋อได้รับมอบหมายจากจักรพรรดิให้คุ้มครองและอารักขาองค์หญิงเจ็ด หากวันนี้นางยังได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ผู้เป็นนายคงได้สะบั้นศีรษะของเขาหลุดจากบ่าเพราะโทสะแน่
“กล้าดีนัก!” ขุนพลอวี่ตอบโต้อย่างเดือดดาล “ที่นี่คือเมืองหลวง กล้าดีอย่างไรขัดขืนการจับกุมตัว?! ทุกคนมากับข้า ใครมันกล้าต่อต้านจงลงมือโดยไร้ความปรานี!”
“เจ้าสิอวดดี!” เจ้าฉีตอบกลับอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้าอวดดีและไร้เหตุผลกันเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
“พวกเราทำอะไรไม่ใช่ธุระของเจ้าต้องมาสั่งสอน” ขุนพลอวี่เผยยิ้มเย้ยหยันก่อนจะโบกมือ เหล่าทหารข้าง ๆ ทะยานพุ่งเข้าหาพวกเจ้าฉี
อู๋ฝานที่เห็นย่อมไม่อาจนิ่งเฉยต่อไปได้ อย่างไรพวกเจ้าฉีก็ถูกลากมาพัวพันเพราะตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้ทั้งสามถูกทหารเหล่านี้จับกุมตัว เพราะไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าหากถูกจับกุมตัวไปสอบปากคำแล้วจะมีการทรมานเกิดขึ้นหรือไม่
“ตึง!”
หวงเจ๋อเตะทหารคนที่เข้ามาใกล้ พร้อมสะบัดดาบเล่มยาวในมือฟาดใส่ทหารคนอื่นโดยไม่ลังเล
ขณะเดียวกันนั้นอู๋ฝานก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็เข้าไปอยู่ท่ามกลางวงต่อสู้แล้ว
ทั้งอู๋ฝานและหวงเจ๋อต่างก็เคยปะทะกันจนตัดสินแพ้ชนะได้เมื่อหลายวันก่อน ขณะนี้ร่วมมือกันต้านรับศัตรู เรียกได้ว่าเป็นคู่สอดประสานที่ทั้งน่าทึ่งและน่าชื่นชม
คนทั้งสองเป็นยอดฝีมือตัวจริง แม้ทหารประจำเมืองจะไม่อ่อนแอ แต่หากนำมาเทียบก็ยังไกลห่างจากทั้งสอง ที่เป็นประหนึ่งเสือร้ายทั้งสองตัวร่วมมือกัน ทำเอาเหล่าทหารไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อสู้ตอบโต้ได้
“ฮ่า ฮ่า ทำได้ดี อู๋ฝาน ครั้งนี้เจ้าตายแน่!” จ้าวอิ๋งเฟิงที่รับชมมาตลอด ยามนี้เมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นฝ่ายเข้าร่วมต่อสู้ด้วยตัวเองจึงยินดีอย่างถึงที่สุด
เดิมนั้นหากอู๋ฝานเพียงยืนเฉยรับชมก็คงไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเปิดฉากเข้าหาทหารคุ้มกันเมืองด้วยตัวเอง นับว่าเป็นการก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่ โทษทัณฑ์ครั้งนี้หนักหนา เมื่อใดกองทัพประจำเมืองจับกุมตัวได้คงมีแต่ชะตาต้องตาย!
ต่อให้อีกฝ่ายมีสถานะเป็นจื่อเจวี๋ย อย่างไรครั้งนี้ก็ไม่อาจรอดพ้นจากปัญหาไปได้!
“ใครจะตายกันแน่ก็ยังไม่ทราบ” หลี่จื่อหยางพึมพำเสียงเบากับตัวเองขณะเผยสีหน้าท่าทีไม่รู้ไม่เห็น
นับตั้งแต่ที่อู๋ฝานโยนจี้หยกออกไป ดวงตาหลี่จื่อหยางก็จ้องมองเจ้าฉีมาโดยตลอด ผู้อื่นอาจไม่ทราบ แต่เขาเคยได้พบองค์หญิงเจ็ดเมื่อนานมาแล้วจึงทราบ ขณะนี้ขุนพลอวี่คิดจับกุมตัวนาง อีกทั้งยังกระทำโดยไร้ซึ่งหลักฐาน ท่าทีเลวร้ายเช่นนี้ แค่คิดก็จินตนาการได้ว่าคงพบจุดจบไม่ดีสักเท่าใดนัก
ส่วนวันคืนของจ้าวอิ๋งเฟิงนับจากนี้ก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายเป็นเหตุให้ขุนพลอวี่คิดจับกุมตัวเจ้าฉี ทั้งยังเป็นคนกล่าวข้อสงสัยที่เลื่อนลอยต่อหน้าอีกฝ่าย หากไม่ต้องโทษสถานหนักก็ไม่ทราบแล้วว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร
ในเมื่อคู่แข่งทางการเมืองแส่หาเรื่องเข้าตัว หลี่จื่อหยางในเวลานี้จึงค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
จ้าวอิ๋งเฟิงที่รับชมเรื่องราวอยู่หาได้ทราบไม่ว่าที่ตนเองกำลังมีเรื่องด้วยนั้นคือองค์หญิงเจ็ด พอได้ยินคำพูดพึมพำของหลี่จื่อหยางจึงแค่นเสียงตอบกลับ “ว่าอะไร? คิดว่าอู๋ฝานเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วจะยังคลี่คลายสถานการณ์ได้อีกงั้นหรือ? มันก็แค่จื่อเจวี๋ยตัวจ้อยคนหนึ่ง เป็นมันที่ต้องสงสัยว่าให้ที่พักพิงแก่มือสังหาร ขณะนี้ยังช่วยผู้สมรู้ร่วมคิดจากการถูกจับกุมตัว เห็นได้ชัดว่าเพราะความแตกแล้วจึงไม่เก็บงำอะไรเอาไว้ได้อีก เมื่อใดฝ่าบาททราบเรื่องราวจะไม่มีทางปล่อยมันรอดพ้นแน่!”
“ผู้สมรู้ร่วมคิด? เจ้ากล่าวว่าผู้อื่นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด? ฮ่า ฮ่า” หลี่จื่อหยางอดไม่ได้จนต้องหัวเราะเสียงดังออกมา
“เจ้าหัวเราะอะไร?” จ้าวอิ๋งเฟิงลอบมองทางเจ้าฉี ราวกับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
“ข้าหัวเราะใต้เท้าจ้าวที่ไม่ทราบว่าตอนนี้กำลังเผชิญคราวเคราะห์ครั้งใหญ่แล้ว” หลี่จื่อหยางตอบกลับ
“ข้าหรือจะมีคราวเคราะห์อันใด? หลังจับกุมตัวคนร้ายให้ที่พักพิงมือสังหารได้ ฝ่าบาทจะมีแต่ตกรางวัลให้แก่ข้า ส่วนใต้เท้าหลี่ที่ใกล้ชิดอู๋ฝาน เกรงว่าคงโดนร่างแหไปด้วย คิดจะมีวันคืนอันสงบนับจากนี้อาจเป็นเรื่องยากกระมัง” จ้าวอิ๋งเฟิงค่อนแคะตอบกลับ
“งั้นหรือ? หลังใต้เท้าจ้าวใส่ความใต้เท้าอู๋และ… คุณชายท่านนั้น ตอนนี้ยังคิดใส่ความข้าด้วย?” หลี่จื่อหยางถามกลับ
“ข้าก็ไม่ได้พูดแบบนั้น แต่เชื่อว่าฝ่าบาทคงไม่ปล่อยใครก็ตามที่มีส่วนรู้เห็นในความผิดครั้งนี้ให้รอดพ้น” จ้าวอิ๋งเฟิงตอบกลับด้วยสีหน้าภาคภูมิ
“ถูกต้องแล้ว องค์เหนือหัวจะไม่ปล่อยคนผิดรอดพ้นอย่างแน่นอน” หลี่จื่อหยางมองหน้าจ้าวอิ๋งเฟิงพร้อมพยักหน้าตอบรับเป็นการเห็นพ้อง “โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ทราบดีชั่วข่มขู่ใส่ความคนที่ฝ่าบาทรักและหวงแหนที่สุด หากฝ่าบาททราบคงไม่ปรานีเป็นแน่”
“ว่าอะไร?” จ้าวอิ๋งเฟิงมองหลี่จื่อหยางราวกับไม่เข้าใจ แม้จะรู้สึกได้ว่าคำพูดของหลี่จื่อหยางมีความหมายแฝง ทว่าตนเองไม่อาจเข้าใจได้
หลี่จื่อหยางไม่คิดใส่ใจจ้าวอิ๋งเฟิงอีกต่อไป แต่มองยังใจกลางวงต่อสู้ รับชมอู๋ฝานและหวงเจ๋อแสดงฝีมือออกมา บรรดาทหารที่ขุนพลอวี่และขุนพลอีกคนหนึ่งที่จ้าวอิ๋งเฟิงนำมาในภายหลัง ขณะนี้ต่างก็ถูกเล่นงานจนล้มนอนแน่นิ่งกับพื้นไปแล้วทีละคน