ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 511 เทพมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่
บทที่ 511 เทพมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่
ความแข็งแกร่งของอู๋ฝานที่แสดงออกได้ถึงขอบเขตมืดขั้นสูงสุด ทั้งหมดเป็นผลลัพธ์จากค่าสถานะ ทักษะ และอุปกรณ์สวมใส่ที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน
ภายในโลกแห่งเกม อัตราการดร็อปอุปกรณ์ต่ำเตี้ยและน้อยนิด โดยเฉพาะกับอุปกรณ์ระดับสูงที่ยิ่งมีโอกาสดร็อปน้อยยิ่งกว่าน้อย
อู๋ฝานสามารถสร้างขึ้นมาใช้งานเองได้ แต่อุปกรณ์ที่เขาสามารถสร้างด้วยฝีมือระดับมาสเตอร์ตอนนี้เป็นเพียงแค่ระดับอำพัน หากต้องการเลื่อนระดับวิชาสู่ปรมาจารย์ กว่าจะสำเร็จได้ก็ต้องใช้เวลาอย่างมหาศาล
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเลเวลและทักษะปัจจุบันของอู๋ฝาน อุปกรณ์สวมใส่ระดับอำพันที่สร้างขึ้นด้วยตนเองถือว่าเกินกว่าเลเวลสามสิบเสียด้วยซ้ำ และการสร้างอุปกรณ์ระดับอำพันที่มีค่าสถานะสูงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ส่วนเรื่องทักษะ ตอนนี้อู๋ฝานได้เรียนรู้วิชาต่อสู้มากมาย โดยเฉพาะหลังได้เป็นจ้าวหอคันธะสงัด เขาจึงได้เรียนรู้วิชาทั้งหมดของสำนัก แม้จะได้เรียนรู้วิชามากมาย แต่กลับไม่มีฝีมือนำมาใช้งาน ระดับปัจจุบันของตัวเขายังต่ำเตี้ย อย่างไรก็เป็นเพราะไม่มีเวลามากพอไปออกล่ามอนสเตอร์ ดังนั้นความสามารถทางการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นน้อยนิดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ดังนั้นความแข็งแกร่งปัจจุบันของอู๋ฝานจึงราวกับโดนคอขวดบีบรัดเอาไว้ หากต้องการผ่านพ้นขอบเขตมืดขั้นสูงสุด ก้าวข้ามไปเป็นขอบเขตแปรสภาพขั้นต้น ก็จำเป็นต้องออกล่ามอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวล
ภายในหน้าต่างค่าสถานะ ทั้งฉายาและตำแหน่งทางการยังทำให้เขาต้องประหลาดใจพอสมควร เพราะมันช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งส่วนตัวได้ ปัจจุบันทั้งฉายาและตำแหน่งทางการของตัวเขาค่อนข้างต่ำเตี้ย ดังนั้นส่วนเสริมที่ได้รับจึงมีอย่างจำกัด แต่ภายหน้าเมื่อตำแหน่งทางการและฉายาก้าวหน้ายิ่งขึ้น อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นจะยิ่งแสดงให้เห็นออกมาอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจากฉายาและตำแหน่งทางการไม่ได้มาจากตัวพวกมันเอง แต่อาศัยจากค่าสถานะพื้นฐานของตัวเขา ดังนั้นมันจึงยิ่งมีเหตุผลในการเพิ่มเลเวลให้มากขึ้น
“อู๋ฝาน เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดไม่พูดไม่จา?” เจ้าฉีจับตามองมาโดยตลอด อีกฝ่ายนิ่งค้างไปราวกับเป็นคนไม่มีสติอยู่กับตัว นางจึงอดไม่ได้ที่จะต้องร้องเรียกเพื่อถามไถ่
“ข้าไม่เป็นไร” อู๋ฝานลุกขึ้นยืนก่อนจะแตะกระดูกที่หัก ก่อนจะต้องเงยหน้ามองเทวรูปทั้งสามตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเจ้าฉีบอกว่าจะมาจุดธูปภาวนาและขอพร อู๋ฝานยังรู้สึกขบขัน เพราะรากฐานความคิดของเขามองว่าเป็นเพียงการปลอบประโลมตนเอง มันไม่ได้มีส่วนช่วยใด ๆ ต่อความเป็นจริง หรือนางคาดหวังจะให้มีเทพหรือเซียนมาปรากฏตัวขึ้น?
แต่เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ความคิดของเขาจึงต้องสั่นคลอน ตนถูกบังคับให้ตระหนักว่าโลกนี้มีเทพเซียนอยู่จริง ๆ และหากว่ามีจะเป็นเช่นไร จะเป็นเหมือนดังเทพเซียนทางตะวันออกของโลก หรือเป็นทวยเทพจากปกรณัมฝั่งตะวันตกกันแน่
เมื่อมาคิดอีกครั้ง โลกแห่งนี้มีมอนสเตอร์ปรากฏขึ้น ทั้งยังมีโลกอสูร ดังนั้นหากจะมีโลกเทพหรือโลกเซียนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
อู๋ฝานนึกได้อีกครั้งว่าวันแรกซึ่งมาเยือนที่นี่ ชายชราที่กินอาหารไม่จ่ายคนนั้นบอกว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากเทพสวรรค์ เพราะเหตุนั้นจึงได้รับแหวนที่สามารถใช้เทเลพอร์ต ทำให้สามารถคว้าโอกาสมากมายมาเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองจากผืนดินสู่ผืนฟ้า
หากเป็นเช่นที่ว่า โลกนี้ก็เห็นควรจะมีเทพหรือว่าเซียนอยู่จริง อย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกแห่งเกม ไม่ว่าสิ่งใดล้วนสามารถมีตัวตนอยู่ได้ แต่จะเป็นตัวตนใด อยู่ฝั่งโลกมนุษย์หรือว่าโลกอสูร อู๋ฝานไม่อาจทราบแน่ชัด ส่วนเทพเช่นเทพสวรรค์ที่ส่งตัวเขามาเป็นเช่นไร ชายหนุ่มก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไรก็ดี ข้าภาวนาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กลับกันได้” เจ้าฉีบอกกับอู๋ฝาน
“ดี” อู๋ฝานพยักหน้ารับ หลังหันมองเทวรูปทั้งสามอีกครั้ง เขาจึงตามเจ้าฉีออกไปจากโถงหลัก
“จะว่าไปแล้ว เมื่อครู่ที่ไปภาวนานั้นเป็นเทพเช่นไร?” ที่ด้านบนรถลาก อู๋ฝานเอ่ยถามกับนาง
ในเมื่อสงสัยถึงการมีตัวตนของเทพในโลกแห่งนี้ เขาจึงคิดอยากทราบข้อมูลมากยิ่งขึ้น อย่างไรตอนนี้ก็มีระบบศรัทธาเข้ามาเกี่ยวข้อง ตนจึงต้องเตรียมการสำหรับจัดตั้งเทวรูปในภายหน้าต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นก็เพราะอยากทราบเรื่องราวของเทพที่เกี่ยวข้องกับเทวรูปเหล่านั้นด้วย
“เป็นเทพเจ้าอวี่ฮุ่ย เป็นหนึ่งในเทพเซียนที่เล่าขานกันว่าดูแลโลกมนุษย์” เจ้าฉีกล่าวตอบ “ส่วนอีกสองเคียงข้างเป็นพระโพธิสัตว์”
“โลกนี้มีเทพเซียนอยู่จริงงั้นหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด” เจ้าฉีตอบกลับ “แต่มีนิทานมากมายและตำราโบราณอีกหลายเล่มที่หลงเหลือจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้บันทึกกล่าวถึงเทพเซียนมากมายนับไม่ถ้วนเอาไว้ ทว่าข้าแค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยพบเห็น”
อู๋ฝานพยักหน้าตอบ เรื่องแบบนี้ที่โลกแห่งความจริงก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ ตำนานปกรณัมมากมายตามแต่ละท้องที่ กระทั่งมีหลากหลายช่วงเวลา บ้างก็เชื่อมโยงเข้าหากัน เนื้อหาส่วนใหญ่ค่อนข้างดูสมจริง แต่ยากจะตอบได้ว่าเทพเซียนในความเป็นจริงมีอยู่หรือไม่ เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
‘เหมือนพอกลับเข้าเมืองคงต้องหาตำราที่เกี่ยวข้องมาอ่านดูบ้างแล้ว’ อู๋ฝานคิดกับตนเอง
“ทำไมถึงถามขึ้นมากันล่ะ?” เจ้าฉีเกิดสงสัย
“ก็ไม่มีอะไร แค่ถามไปเรื่อยน่ะ” อู๋ฝานตอบกลับ “จะว่าไปแล้ว เจ้ามีแผนจะออกมานอกเมืองจุดธูปสักการะบูชาเทวรูปอีกหรือไม่?”
“หือ?”
“ก็ไม่มีอะไร แค่กังวลว่าเจ้าออกมานอกเมืองคนเดียวจะไม่ปลอดภัย หากจะออกมาครั้งหน้าข้าจะได้ออกมาด้วย” อู๋ฝานตอบ
อู๋ฝานอยากตามเจ้าฉีออกมานอกเมืองอีกครั้งจริง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยของนาง ทว่าเป็นเพราะต้องการใช้โอกาสดังกล่าวส่งตัวอูหย่าออกไปนอกเมือง เนื่องจากตอนนี้การตรวจสอบบริเวณประตูเมืองเป็นไปอย่างเข้มข้น หากอาศัยเพียงแค่ตัวตนของเขาคงยากจะพานางออกมาได้ แต่หากมากับเจ้าฉีผู้เป็นองค์หญิงคนโปรดของจักรพรรดิ มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากทราบตั้งแต่แรกว่านางคือองค์หญิงเจ็ด เขาก็คงหาข้ออ้างยัดตัวอูหย่าใส่ในรถลากเดินทางออกมานอกเมืองเสียตั้งแต่ครั้งนี้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นนางก็จะสามารถออกมานอกเมืองได้อย่างปลอดภัย ทว่าน่าเสียดายที่กว่าเขาจะตัดสินใจใช้วิชาตรวจสอบกับนางก็เป็นหลังจากนั้น เพราะตอนแรกไม่ทราบจึงทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ขณะนี้จึงคาดหวังว่านางจะออกไปนอกเมืองอีกครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อที่เขาจะได้ขอติดตามไปด้วย
เจ้าฉีจ้องอู๋ฝานด้วยความสงสัย สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นมา “อ้อ ข้ารู้แล้ว!”
อู๋ฝานหัวใจเต้นผิดจังหวะ พยายามควบคุมเก็บอาการทางสีหน้าพลางเอ่ยถาม “รู้ว่าอะไร?”
หรือนางเห็นเจตนาของเขาแล้ว? แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยบอกอะไรเลยด้วยซ้ำ และหากนางทราบเรื่องอูหย่าซ่อนตัวในสถานที่ของเขา ด้วยความเกลียดชังที่มีย่อมทำให้ต้องส่งคนไปจับกุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ข้ารู้! เจ้าอยากจะให้ข้าว่าจ้างอีกครั้งใช่หรือไม่?” เจ้าฉีมองอู๋ฝานอย่างภูมิอกภูมิใจ ราวกับว่าข้อคาดเดานี้ถูกต้องตรงเผง
อู๋ฝานลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “เห็นข้าเป็นคนหน้ามืดตามัวเพราะเงินทองงั้นหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าฉีตอบกลับ
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้นข้าก็ไม่ขอเสแสร้งแล้วกัน” อู๋ฝานแสดงท่าทีอับจนขณะกล่าวตอบ “ข้าต้องใช้เงินจริง ๆ นี่นา”
“ดูสิว่าข้าคาดเดาได้ถูกต้องและแม่นยำแค่ไหน” เจ้าฉีเผยยิ้มอย่างภูมิใจ
……………………………