ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 519 กิจการที่ไร้ชื่อเสียง
บทที่ 519 กิจการที่ไร้ชื่อเสียง
“จื่อฉี นี่กำหนดการของช่วงนี้” ผู้จัดการของสวี่จื่อฉีหันมายื่นสมุดให้กับเธอ
แต่สวี่จื่อฉีไม่ตอบรับ ราวกับไม่ได้ยิน
“จื่อฉี จื่อฉี! ฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย?” ผู้จัดการเรียกพลางถาม
“ฟังอยู่ค่ะพี่จ้าว” สวี่จื่อฉีตอบกลับ “ตารางงานช่วงนี้ของฉันแน่นเกินไปแล้ว ฉันไม่มีเวลาเหลือให้พักอย่างเต็มที่เลย ไม่เคยได้ไปพักร้อนและใช้เวลาให้คุ้มเลยด้วยซ้ำ พี่เอาแต่ผลักงานโฆษณามาให้ ฉันอยากพักไปเที่ยวบ้างค่ะ”
“ไม่ได้นะ!” พี่จ้าวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “จื่อฉี โฆษณาพวกนี้ต้องสู้กับอีกหลายบริษัทกว่าจะแย่งมาได้ ดาราอีกหลายคนจ้องงานพวกนี้ตาเป็นมัน ถ้าเธอผลักไส คนอีกมากมายจะคิดยังไง เธออยู่ในช่วงเวลาทองนะ จะปล่อยให้เวลาเสียเปล่าไม่ได้สิ เธอเองก็รู้ว่าวงการบันเทิงแข่งขันกันดุเดือดแค่ไหน ทุกวันมีคนดังมากมายอยากจะขึ้นมาแทนที่เธอ ขอเพียงคลาดสายตาไปสักนิดก็โดนทิ้งห่างไปไกล คนจะลืมเลือนเธอจนหมดนะ”
“ช่างมันค่ะ ปล่อยมันไปเลย ฉันไม่อยากได้อะไรแล้ว ที่ฉันอยากทำก็แค่ขอแสดงกับร้องเพลงต่อไปก็พอแล้วค่ะ” สวี่จื่อฉีตอบกลับ
“ถ้าไม่ไปงานแสดงตัวก็ไม่ได้รับการแนะนำ ถึงเวลานั้นใครจะมาดูเธอร้องเพลงกับแสดง?” พี่จ้าวตอบกลับ “จื่อฉี อย่าทำตัวเป็นเด็ก เธอเองก็รู้ว่าวงการบันเทิงโหดร้ายแค่ไหน โดยเฉพาะกับดาราหญิง ถ้าเธออยากประสบความสำเร็จก็มีราคาที่ต้องจ่าย การอยู่ในวงการนี้ก็เหมือนเรือวิ่งทวนน้ำ หากไม่ไปต่อก็มีแต่ถอยหลัง เธอไม่มีเวลาให้ผ่อนคลายหรือหย่อนยานหรอกนะ บริษัทมากมายต่างก็ยินดีจ่ายเพื่อซื้อเวลาทำงานของเธอ ถ้าปล่อยมันทิ้งตอนนี้ ความเสียหายที่บริษัทต้องรับก็มีไม่ใช่น้อยเลยนะ”
“หลายปีตั้งแต่เข้าวงการมาฉันแทบไม่มีเวลาได้พักให้ดีเลยด้วยซ้ำนะคะ แค่ขอหยุดพักร้อนก็ไม่ได้งั้นเหรอ?” สวี่จื่อฉีเริ่มไม่พอใจ “ไม่กี่ปีมานี้บริษัทมีรายได้มากมายเข้ามาก็เพราะฉันไม่ใช่เหรอ? ขอแค่พักร้อนสักหน่อยมันคงไม่ใช่คำขอที่เกินเลยไปหรอกมั้งคะ?”
“ก็ไม่ได้เกินเลยไปหรอก” พี่จ้าวตอบกลับ “แต่ตอนที่พวกเรากำลังเร่งเครื่องอย่างตอนนี้ ถ้าจัดเวลาพักให้เธอแล้วมันจะเป็นยังไงล่ะ?”
“หลายเดือนก่อนพี่ก็พูดแบบนี้ สุดท้ายจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้พักเลยนะคะ” สวี่จื่อฉีโต้กลับ
พี่จ้าวนึกละอาย หลังครุ่นคิดไปพักหนึ่งเธอจึงตอบ “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน สัปดาห์ถัดจากนี้มีบริษัทเพิ่งเปิดใหม่ที่เจียงโจว อีกฝ่ายอยากเชิญเธอไปแสดงตัวเพื่อดึงชื่อเสียง ทางบริษัทเราก็ตอบรับไปแล้ว พอจัดการอีเวนท์ทางนั้นเสร็จเธออยู่พักที่เจียงโจวอีกสักวันหรือสองวันก็แล้วกัน”
“แค่สองวันเหรอคะ?” สวี่จื่อฉีแสดงความผิดหวังออกมา
“สองวันก็เป็นเวลาไม่ใช่น้อยแล้วนะ สองวันนี้ถือว่าเห็นแก่เธอมากแล้ว เพราะฉันต้องจัดระเบียบตารางงานใหม่ครั้งใหญ่เลย” พี่จ้าวตอบกลับ “ส่วนเรื่องคู่ค้ารายนี้ ฝ่ายที่เชิญไปงานปาร์ตี้เป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของที่นั่น คนที่จะเข้าร่วมงานก็มีทั้งเกียรติและชื่อเสียง ค่าตัวที่ทางนั้นจ่ายมาก็ดีไม่ใช่น้อย เพราะแบบนั้นทางบริษัทเราถึงตกลงรับมา”
สวี่จื่อฉีพูดไม่ออก เธอไม่ได้สนใจงานปาร์ตี้อะไรนั่น กระทั่งรู้สึกไม่ชอบซะด้วยซ้ำ เพราะงานปาร์ตี้แบบนั้นเธอเคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง บริษัทเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด และพวกคนใหญ่คนโตและชนชั้นสูงเหล่านั้นก็ไม่เคยจะมีความเป็นสุภาพบุรุษกันแม้สักคน กระทั่งมีบางคนอดใจไม่ไหวอยากฉีกกระชากเสื้อผ้าเธอเพื่อกลืนกินเข้าไปทั้งตัวด้วยซ้ำ
สวี่จื่อฉีที่เคยประสบพบเจอมาแล้วจึงไม่อยากรับงานแบบนี้อีก แต่ทางบริษัทก็ยังพยายามจัดหางานที่คล้ายคลึงกันมาให้ ดังนั้นต่อให้เธอไม่อยากไปก็ต้องไป และมันก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอเบื่อหน่ายกับวงการนี้เต็มทน
“พี่จ้าว ฉันไม่ไปงานนี้ได้ไหม?” สวี่จื่อฉีถามอย่างคาดหวัง
“ไม่ได้” พี่จ้าวส่ายหน้าตอบกลับมา “เรื่องนี้ทางบริษัททำข้อตกลงไปแล้ว อีกฝ่ายมีอำนาจไม่น้อย รับปากแล้วถอนคำพูด ไม่เท่ากับสร้างความขุ่นเคืองรึไง?”
“แต่ฉันไม่อยากรับมือกับคนพวกนั้นแล้วนี่นา” สวี่จื่อฉีตอบกลับ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลถึงขนาดนั้น ไว้ถึงเวลาฉันจะคอยอยู่ข้างเธอตลอดเวลาเอง แบบนี้โอเคไหม?” พี่จ้าวรู้ความกังวลในใจของสวี่จื่อฉีดี ขณะนี้จึงพยายามปลอบ
“ก็ได้ค่ะ” สวี่จื่อฉีเห็นอีกฝ่ายยื่นคำขาดก็ทราบดีว่าคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงงานครั้งนี้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงต้องรับเอาไว้
‘อย่างน้อยพอจบงานก็ได้พักที่เจียงโจวตั้งสองวัน จะได้ใช้เวลาที่มีพักให้คุ้มค่า… แถวโน้นมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังไม่น้อยเลย จะไปที่ไหนดีนะ’ สวี่จื่อฉีครุ่นคิดอยู่ในใจ และความคิดของเธอนั้นก็มีเพียงช่วงเวลาพักร้อนหลังจบงานอีเวนท์
“พอพูดถึงเจียงโจว เมื่อสองวันก่อนมีบริษัทที่เจียงโจวเดินทางมา เหมือนจะเป็นด้านเวชภัณฑ์และความงาม เห็นว่าอยากจ้างเธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์” พี่จ้าวพูดขึ้นมา
“เป็นบริษัทยังไงคะ?” สวี่จื่อฉีเอ่ยถามไปเรื่อย
“เป็นบริษัทเปิดใหม่ยังไม่มีชื่อเสียง” พี่จ้าวตอบกลับมาอย่างดูแคลน “โรงงานเล็กแบบนั้นไม่รู้ว่าในประเทศมีอยู่ตั้งเท่าไหร่ สินค้าก็ยังเป็นพวกเสริมความขาว ลบเลือนแผลเป็นอะไรพวกนี้ เดาว่าคงอยากหลอกกินเงินแบบเชือดนิ่ม ฉันช่วยเธอปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของพี่จ้าว สวี่จื่อฉีจึงยื่นมือไปแตะรอยแผลเป็นที่หลังมือโดยไม่รู้ตัว มันเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัด เธอได้มาจากความซุกซนตอนยังเด็กที่เล่นไปทั่วจนเจ็บตัว หลายปีผ่านไปรอยแผลเป็นนี้ไม่เคยเลือนหาย ไม่มีแม้วี่แววว่าจะจางลงด้วยซ้ำ
ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้เธอจึงพยายามหาวิธีมากมายที่จะลบมันให้หายไป …แต่มันไม่เคยสำเร็จ แผลเป็นยังคงอยู่ดังเช่นที่เคยเป็น กระทั่งถึงขนาดทั้งประเทศรู้ว่าเธอเป็นดาราดังที่มีแผลเป็นกันทั่วแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นสินค้าลบเลือนรอยแผลเป็นจึงแวะเวียนมาหาเธอไม่ขาดสาย ทั้งหมดต่างก็ต้องการให้เธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพราะแผลเป็นของเธอนับเป็นเรื่องที่ผู้คนรู้กันดีที่สุด
ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเธอเคยมีความคาดหวัง ทดลองใช้แล้วมากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่มีอะไรที่ได้ผล กระทั่งว่าบางผลิตภัณฑ์ทำให้เกิดอาการแพ้ด้วยซ้ำ
แต่ที่ทำสวี่จื่อฉียิ่งโกรธจัดก็เพราะผู้ผลิตขอให้เธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสินค้า โดยการหาทางลบรอยแผลเป็นบนหลังมือของเธอหลังกล้อง ไม่ว่าด้วยอะไรมันถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค เธอจึงปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้โดยไม่มีลังเลมาโดยตลอด
“แล้วสินค้าล่ะคะ?” สวี่จื่อฉีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
แม้หญิงสาวเคยทดลองและล้มเหลวมาแล้วมากมาย แต่ทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีผลิตภัณฑ์ลบเลือนรอยแผลเป็นใหม่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังอยากทดลอง อย่างไรแผลเป็นก็นับว่ากวนใจเธอมานาน อีกทั้งเธอยังเป็นดาราที่แทบจะต้องแสดงตัวตลอดเวลา แม้แต่เด็กสาวทั่วไปก็คงทนไม่ได้หากต้องเห็นรูปตัวเองมีรอยแผลเป็นแสดงให้เห็น
“ผู้จัดการของทางนั้นฝากสินค้าทดลองเอาไว้ให้ แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเก็บไว้ตรงไหน เพราะช่วงนี้ยุ่งเกินไปนั่นแหละนะ” พี่จ้าวตอบกลับ “แต่เธอไม่ต้องลองหรอก ยังไงก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ผล โรงงานเล็ก ๆ ไม่เป็นที่รู้จักแบบนั้นจะมีสินค้าที่ดีได้ยังไงกัน? มีแต่คิดจะใช้ชื่อเสียงของเธอหลอกลวงลูกค้าละสิไม่ว่า”
……………………………