ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 531 อีกหนึ่งความตาย
บทที่ 531 อีกหนึ่งความตาย
จานเฮ่อคลุ้มคลั่ง!
ทั้งอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ต่างได้ข้อสรุปเดียวกัน
ภายใต้การปิดล้อมโจมตีระหว่างอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ อาการบาดเจ็บของจานเฮ่อเริ่มหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอาการที่ถูกลอบแทงนั้นกำลังมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่จานเฮ่อราวกับไม่รับรู้หรือเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังมองข้ามอาการบาดเจ็บและความรู้สึก เขาต่อสู้กับทั้งอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์อย่างต่อเนื่องโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อยเช่นกัน
ไม่มีทั้งการป้องกัน และไม่สนชีวิตของตนเอง
แต่แม้จะต่อสู้ได้ดุดันเพียงใดก็ไม่อาจช่วงชิงความได้เปรียบ อู๋ฝานไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากันตั้งแต่แรกแล้ว แม้สถานการณ์จะเป็นตามเดิม ชายหนุ่มก็ยังไม่มีอะไรให้ต้องหวั่นวิตกด้วยซ้ำ ยังไม่กล่าวว่าขณะนี้ได้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เข้ามาช่วยสนับสนุน
แม้ความแข็งแกร่งของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะด้อยกว่าจานเฮ่อ แต่ความว่องไวของวิชาและความเร็วการโจมตี ทำให้แม้ไม่อาจสร้างความเสียหายได้มากนัก แต่ก็ยังสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของอีกฝ่ายได้ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการช่วยหันเหความสนใจเพื่อสนับสนุนการโจมตีของอู๋ฝาน
การต่อสู้ดำเนินต่อไปเช่นนี้ แม้จานเฮ่อจะได้รับบาดเจ็บหนักมากยิ่งขึ้น แต่กลับไม่มีท่าทีคิดถอยแต่อย่างใด ทั้งอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เริ่มผสานการโจมตีและสนับสนุนได้คล่องแคล่วมากขึ้น และนอกจากนี้จานเฮ่อยังราวกับหยุดการใช้สมองครุ่นคิดก่อนโจมตี จนทำให้แทบไม่อาจเล่นงานทั้งสองได้
จนกระทั่งเกือบสิบนาทีให้หลัง จานเฮ่อที่โรมรันอย่างดุดันเมื่อครู่เริ่มอ่อนแรงลง การเคลื่อนไหวที่เดิมรวดเร็วเริ่มเชื่องช้าประหนึ่งหอยทาก จนราวกับมีใครฉายภาพสโลว์โมชั่นที่ถ่ายเอาไว้ให้รับชม อีกทั้งสีหน้ายังเริ่มมีเปลี่ยนแปลง มันไม่ได้คลุ้มคลั่ง แต่แสดงออกซึ่งความเจ็บปวด ความแตกตื่น และความอ่อนแอ
ฤทธิ์ยาหมดลงแล้ว!
อู๋ฝานทราบในทันที และอันที่จริงก็รู้ได้ไม่ยาก เพราะท่าทีและความสามารถของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็เห็นเช่นเดียวกัน
ในเมื่อความแข็งแกร่งของจานเฮ่อลดลง คนทั้งสองย่อมไม่ปล่อยโอกาสดี ๆ ให้หลุดลอย
“ตึง!”
“ฟึ่บ!”
หนึ่งหมัดกับหนึ่งกระบี่พุ่งเข้าใส่จานเฮ่อพร้อมกัน ร่างอีกฝ่ายถูกเล่นงานโดยตรง อีกหนึ่งบาดแผลเปิดออกและยังลึกถึงกระดูก
จานเฮ่อนอนนิ่งกับพื้นไม่อาจลุกขึ้นได้ในทันทีเหมือนตอนยังคลุ้มคลั่ง เขานอนนิ่งพลางส่งเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดออกมา
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหลุดออกจากอาการคลุ้มคลั่งแล้ว และผู้ที่ใช้ยาเช่นเขาย่อมทราบดีถึงผลข้างเคียง หลังใช้งานความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อีกทั้งจะยังทำให้ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดปิดการทำงานลง ในขณะเดียวกันผลข้างเคียงของยาก็แสดงออกอย่างชัดเจน ระหว่างช่วงที่มีผล แม้จะยังมีสติรับรู้ว่าใช้งานยา แต่ก็ยากจะสงบใจลงได้ กระทั่งมีความคิดที่คลุ้มคลั่ง หากไม่ใช่กรณีตายในการต่อสู้ เขาจะยังคงลงมือโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีความคิดหลบหนีแม้แต่น้อย
และเมื่อใดสิ้นฤทธิ์ยา ทั้งร่างของเขาจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเป็นระยะเวลาถึงสองชั่วโมง ระหว่างนั้นจะมีสภาพปางตาย อ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรง หากมีก็คงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ
จานเฮ่อเห็นว่าก่อนหน้านี้ตนไม่อาจเอาชนะอู๋ฝานจึงยอมเสี่ยงใช้เม็ดยา เพราะคิดว่าตนเองจะสามารถคลี่คลายเรื่องราวและสังหารคนทั้งสองได้ในเวลาสิบนาทีของฤทธิ์ยา หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้ร่างกายเผชิญกับอาการไร้เรี่ยวแรงในภายหลังก็จะไม่ส่งผลกระทบอะไร
แต่เขาก็ยังปรามาสความแข็งแกร่งของอู๋ฝานต่ำเกินไป กระทั่งปรามาสหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ซะด้วยซ้ำ สิบนาทีผ่านไป เขาก็ไม่อาจได้ผลลัพธ์ดี ๆ อะไรทั้งสิ้น คนทั้งสองยังคงอยู่ดีไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าเขากำลังเผชิญอาการบาดเจ็บอย่างสาหัส เพราะก่อนหน้านี้ต่อสู้อย่างคลุ้มคลั่งโดยไม่มีการตั้งป้องกัน ผลลัพธ์คือบาดแผลที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย
ปัจจุบันฤทธิ์ของยาได้หมดไปแล้ว และต่อให้ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บใด ทว่าเขาก็ยังไม่อาจใช่คู่ต่อสู้ของอู๋ฝาน นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่าตอนนี้บาดเจ็บปางตายและไร้สิ้นเรี่ยวแรง
จานเฮ่ออยากจะลุกขึ้น แต่อาการบาดเจ็บหนักเกินไป ร่างกายก็ไม่มีแรง ต่อให้พยายามอย่างไรก็ไร้ผล ที่ทำได้ก็มีเพียงนอนหอบหายใจกับพื้นและคร่ำครวญเพราะอาการบาดเจ็บ
ทั้งอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้จานเฮ่อเพื่อมองสำรวจ
จานเฮ่อมองอู๋ฝานด้วยสายตาเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
“จัดการยังไงดีคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถามเสียงเบา แม้จะเอ่ยถาม แต่น้ำเสียงกลับมีจิตสังหารปรากฏอยู่อย่างชัดเจน
จานเฮ่อตระหนักถึงจิตสังหารจากหญิงสาว ขณะนี้จึงรวบรวมกำลังจากทั้งกายตะโกนขึ้น “พวกแกไม่อาจสังหารฉันได้!”
“งั้นเหรอ?” อู๋ฝานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางถามกลับ “เพราะอะไรล่ะ?”
“ฉันคือผู้อาวุโสแห่งวังเมฆาสีชาด ถ้าสังหารฉัน วังเมฆาสีชาดจะไม่มีทางปล่อยพวกแกให้รอดพ้นแน่!” จานเฮ่อเอ่ยข่มขู่ สีหน้าแสดงออกชัดถึงความมั่นใจ เขาไม่เชื่อว่าคนทั้งสองจะกล้าสังหารตนเอง เพราะมันจะนำไปสู่ความเสี่ยงที่อาจกระตุ้นโทสะของวังเมฆาสีชาด
“แล้วถ้าปล่อยแกไป? วังเมฆาสีชาดจะไม่ฆ่าฉันอย่างงั้นสิ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ตราบเท่าที่ปล่อยฉันไป เรื่องในวันนี้จะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังไงคนแซ่หวงนั่นก็ตายไปแล้ว จากนี้ก็แค่ทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น และฉันก็ยังจะคุ้มครองร้านโลกในแหวนในฐานะผู้อาวุโสนอกสำนักแห่งวังเมฆาสีชาดให้ด้วย!” จานเฮ่อตอบ
“น่าเสียดาย” อู๋ฝานส่ายหน้าก่อนจะลงมือเล่นงานที่หน้าผากของจานเฮ่อ ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลหน้าผากนั้นถึงกับยุบตัวจนมีเลือดไหลออกมา
“ฉันไม่เชื่อคำพูดของแก” อู๋ฝานถอนมือกลับก่อนจะตอบอย่างสงบ
อู๋ฝานไม่หวาดเกรงการล้างแค้นจากวังเมฆาสีชาด และกำลังจะฆ่าเขาอย่างนั้นเหรอ?!
“แล้วทำไมจะไม่กล้า?” อู๋ฝานถามกลับเสียงนิ่ง “ถ้าอยากจะสังหารฉัน งั้นฉันก็แค่สังหารตอบกลับ จะมีอะไรอื่นได้อีก? หรือคิดว่าฉันคนนี้จะกลัววังเมฆาสีชาดของแกงั้นสิ?”
จานเฮ่อจับจ้องอู๋ฝานราวไม่คิดเชื่อ ทว่าไม่อาจเอ่ยคำ ราวกับไม่ทราบว่าควรจะพูดอะไรต่อ หรือไม่ก็สูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว
“วังเมฆาสีชาดพอจะแข็งแกร่งอยู่บ้างก็จริง” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น “แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งพอจะข่มขวัญทุกคนให้หวาดกลัว ลองคิดดูสิว่าทำไมฉันถึงต้องกลัววังเมฆาสีชาด?”
ทำไม?
เสียงนี้ดังก้องในจิตใจของจานเฮ่อ
วังเมฆาสีชาดของพวกเขาคือสำนักอันดับหนึ่งในเจียงโจว จะต้องหวาดกลัววังเมฆาสีชาดก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? ยังต้องถามอีกเหรอว่าทำไม?
จานเฮ่ออ้าปากคิดจะเอ่ยอะไรออกมา แต่สิ่งที่ออกมาไม่ใช่คำพูด แต่เป็นเลือดที่ท่วมปาก
จากนั้นศีรษะของเขาก็เอนลงก่อนจะสิ้นชีวิตไป
อู๋ฝานมองอีกฝ่ายสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าด้วยสีหน้าไม่หวั่นไหว
“ไปกันค่ะ” และก็เหมือนความตายของหวงถิงเฟิง ความตายของจานเฮ่อก็ไม่อาจส่งผลต่อความรู้สึกของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
อู๋ฝานพยักหน้ารับ ก่อนทั้งสองจะขับรถจากไป โดยเหลือไว้เพียงร่างไร้ชีวิตทั้งสี่ในที่เกิดเหตุ บางทีพรุ่งนี้เช้าคงมีการเจอศพ เมื่อถึงเวลานั้นทั้งเจียงโจวคงได้เกิดเสียงฮือฮากันขึ้นมา
……………………………