ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 537 มื้อเที่ยงที่จวนหลี่
บทที่ 537 มื้อเที่ยงที่จวนหลี่
หลังอู๋ฝานและลั่วหยางออกจากร้านขายของชำก็มุ่งตรงไปยังบ้านของหลี่จื่อหยาง
นับตั้งแต่หลี่จื่อหยางทราบว่าจี้หยกเป็นขององค์หญิงเจ็ด อีกฝ่ายก็มีท่าทีกระตือรือร้นเข้าหาอู๋ฝานอย่างชัดเจน กระทั่งเชิญไปเยือนจวนหลายครั้ง ทั้งยังแวะเวียนมาหาที่ศาลาพักม้าอีกหลายครั้งเช่นกัน ในเมื่ออีกฝ่ายมีเจตนาดีชายหนุ่มก็ไม่คิดปฏิเสธ ยังไม่กล่าวว่าเขายังต้องการเส้นสายในเมืองหลวง เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เพิ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน หากสามารถสานสัมพันธ์ที่นี่ได้ มันย่อมมีส่วนช่วยในการพัฒนาภายหน้า อีกทั้งเขายังเริ่มเปิดกิจการร้านค้าในเมืองหลวงแล้วด้วย
อู๋ฝานค่อนข้างมีความมั่นใจต่อสินค้าในร้าน การจะขายดีนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เมื่อใดร้านของเขามีชื่อเสียงและมีผลกำไรมากยิ่งขึ้น ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าจะไม่มีใครมาเพ่งเล็ง อย่างไรผู้คนในเมืองหลวงต่างก็มีแต่คนใหญ่คนโต หากพวกเขาเหล่านั้นคิดเล่นงานร้านในช่วงที่ตนไม่อยู่ย่อมไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นจึงต้องมีคนที่พอจะสามารถคุ้มครองร้านเอาไว้ได้
ดังนั้นเขาจึงต้องการผูกมิตรกับหลี่จื่อหยาง แทนที่จะให้อีกฝ่ายมาเยือนศาลาพักม้า เขาตัดสินใจเป็นฝ่ายส่งคำขอไปเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง ประการแรกนั้นเพราะต้องการวางสถานะตัวตนให้ต่ำกว่าอีกฝ่ายเพื่อซื้อใจ ประการที่สองนั้นคืออูหย่ายังคงซ่อนตัวอยู่ หากหลี่จื่อหยางมาบ่อยจนเห็นอะไรเข้า ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นปัญหาที่ยากจะคลี่คลาย อู๋ฝานไม่คิดว่าด้วยความสัมพันธ์ตนเองกับอีกฝ่ายในตอนนี้ หากเจอมือสังหารที่กำลังตามหาแล้วจะยอมช่วยเหลือหรือปิดซ่อนเรื่องราว
“ใต้เท้าอู๋เชิญทางนี้ขอรับ” เมื่อเห็นอู๋ฝานมีท่าทีอ่อนน้อม คนที่รู้ธรรมเนียมเช่นหลี่จื่อหยางจึงยิ่งอ่อนน้อมตอบ
หลังชายหนุ่มมาถึงจวนหลี่ก็ได้พบว่าเจ้าของบ้านมาคอยถึงหน้าประตู เนื่องจากเขาแจ้งนัดหมายเพียงแค่ว่าจะมาเยือนวันนี้ ไม่ได้บอกกล่าวถึงเรื่องเวลา การที่อีกฝ่ายสามารถมาทักทายตรงนี้ได้ ยิ่งเป็นการบอกว่าคงไม่ใช่เพิ่งจะมารออย่างแน่นอน
“ต้องขออภัยใต้เท้าหลี่แล้วขอรับ ทำให้ท่านต้องมารอข้า” อู๋ฝานเอ่ย
“หามิได้ หามิได้! ใต้เท้าอู๋มีโอกาสมาเยือนที่นี่จึงถือเป็นเกียรติแก่ของสถานที่แห่งนี้ กระทั่งทำเอาข้าตื่นเต้นอยู่ทั้งคืนเพราะหวังจะได้พบใต้เท้าอู๋” หลี่จื่อหยางนำทางอู๋ฝานเดินเข้าไปในจวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “และข้ายังรอเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ต่อให้เป็นสองวันหรือสองเดือนก็นับเป็นเกียรติของข้าอยู่ดีขอรับ”
“ใต้เท้าหลี่สุภาพเกินไปแล้วขอรับ” อู๋ฝานตอบกลับ
ขณะที่พูดคุยกับอู๋ฝาน หลี่จื่อหยางก็พาชายหนุ่มเดินชมทั่วสถานที่ ก่อนจะนำทางไปยังห้องโถงรับรองที่จัดเตรียมงานเลี้ยงรอคอยแขกผู้มีเกียรติมาร่วมทานอาหาร
กล่าวได้ว่าจวนของหลี่จื่อหยางค่อนข้างกว้างใหญ่และหรูหรากว่าของอู๋ฝานที่เทศมณฑลชิงหยวนอย่างเทียบไม่ได้ แม้เขาจะเคยคิดว่าจวนที่เทศมณฑลชิงหยวนถือว่าดีเยี่ยมมากแล้ว แต่ขณะนี้เมื่อมีตัวอย่างมาที่ดีกว่าเปรียบเทียบก็เข้าใจได้ว่าไม่ใช่ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าหน่วยงานพลเรือนแห่งกรมพลเรือน ทั้งยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในเมืองหลวง การได้อยู่อาศัยในบ้านใหญ่โตเช่นนี้จึงสมเหตุสมผล
“ทุกท่าน ขอข้าแนะนำให้ก็แล้วกัน คนผู้นี้คือจื่อเจวี๋ยที่ฝ่าบาทเพิ่งแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ เป็นใต้เท้าอู๋ นามว่าอู๋ฝาน!” โถงแห่งนี้ไม่ได้ไร้ซึ่งผู้คน ขณะอู๋ฝานและหลี่จื่อหยางมาถึงก็พบว่ามีคนมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“คำนับใต้เท้าอู๋ขอรับ”
“ก่อนหน้านี้ใต้เท้าอู๋มีความกล้าหาญจึงเข้าช่วยเหลือองค์เหนือหัวที่โถงใหญ่ นับเป็นแบบอย่างแก่ชนรุ่นเราอย่างแท้จริง!”
“ใต้เท้าอู๋อายุยังน้อยแต่ได้เป็นจื่อเจวี๋ย อนาคตสดใสขนาดไม่เห็นปลายทางเลยละขอรับ”
ยามกลุ่มคนเห็นอู๋ฝานและหลี่จื่อหยางเดินเข้ามา พวกเขาจึงรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ หลังหลี่จื่อหยางแนะนำตัวให้ชายหนุ่ม พวกเขาก็พร้อมคำนับทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม
“ชมเชยข้าเกินไปแล้วขอรับ ข้ามิกล้า ข้ามิกล้า” อู๋ฝานประสานมือตอบรับ
“เชิญใต้เท้าอู๋นั่งทางด้านนี้ก่อนขอรับ!” หลี่จื่อหยางนำทางอู๋ฝานจนถึงโต๊ะพร้อมบอก
“นี่… คล้ายว่าจะไม่ถูกต้อง ใต้เท้าหลี่กับใต้เท้าคนอื่นต่างก็มีสถานะสูงส่งกว่าข้ากันทั้งนั้น ที่นั่งนี้ไม่เหมาะสมขอรับ” อู๋ฝานตอบกลับ
“วันนี้ที่นั่งตรงนี้เตรียมไว้ให้ใต้เท้าอู๋โดยเฉพาะ ดังนั้นอย่าได้ถ่อมตัวเกินไปเลยขอรับ” หลี่จื่อหยางนำพาอู๋ฝานไปนั่งแถวหน้าสุดโดยไม่สนคำโต้แย้ง
ไม่เพียงผู้อื่นไม่เห็นต่างหรือทักท้วง แต่กระทั่งช่วยกันกล่าวเร่งให้อู๋ฝานนั่ง
อู๋ฝานได้เห็นว่าหลี่จื่อหยางให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงมื้อเที่ยงวันนี้ถึงเพียงใด ไม่เพียงไปรอที่หน้าประตูอยู่นาน แต่ยังเรียกขุนนางคนอื่นมาร่วมงานด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านี้สนิทสนมกับอีกฝ่าย หรือไม่ก็เป็นคนที่มีเส้นสายกัน ดังนั้นจึงไม่ถือเรื่องมารยาทหรือธรรมเนียมปฏิบัติ
“ใต้เท้าอู๋มาเยือนวันนี้นับเป็นเรื่องน่ายินดี พวกเราต้องกินดื่มกันให้เต็มที่” หลังทุกคนนั่งประจำที่ หลี่จื่อหยางจึงรินเหล้าองุ่นให้อู๋ฝานด้วยตนเอง
แต่อู๋ฝานห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ “วันนี้ข้ามาเยือนจวนของใต้เท้าหลี่เป็นครั้งแรก ทว่าไม่ได้นำของล้ำค่าอะไรติดตัวมาด้วย แต่นำเหล้าองุ่นที่บ่มด้วยตนเองและตำรับชาที่ปรุงขึ้นเองติดไม้ติดมือมา หวังว่าใต้เท้าหลี่จะไม่คิดมากหากของเหล่านี้อาจจะไร้มูลค่า”
“ใต้เท้าอู๋สุภาพเกินไปแล้ว มาตัวเปล่าก็ยังเป็นเกียรติ ไฉนยังต้องนำของติดไม้ติดมือมาด้วย?” หลี่จื่อหยางรับเอาเหล้าองุ่นสุดเหนือเมฆและชาตื่นรู้ที่อู๋ฝานส่งให้มา ก่อนจะกล่าวบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“มาเยือนบ้านผู้อื่นก็ไม่ควรมามือเปล่าขอรับ” อู๋ฝานยิ้มตอบ
“ใต้เท้าอู๋ทราบวิธีการบ่มเหล้าองุ่นและปรุงตำรับชาด้วยหรือขอรับ?” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยถาม
“เล็กน้อยขอรับ” อู๋ฝานถ่อมตัว
กลุ่มคนคิดว่าเขาตอบรับไปตามตรง เพราะเนื่องจากสมควรทราบเล็กน้อยจริง อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงจื่อเจวี๋ย เป็นผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง ไฉนผู้สูงศักดิ์จะไปทำอะไรเช่นที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทำได้?
“นับว่าเป็นเรื่องดี เช่นนั้นถือโอกาสลิ้มลองเหล้าองุ่นและชาที่ใต้เท้าอู๋นำมาเลยก็แล้วกัน” หลี่จื่อหยางเอ่ยขึ้น
จากนั้นแก้วของเหล่าขุนนางจึงได้รับการริน เพียงแค่เหล้าองุ่นพ้นจากปากขวดลงสู่แก้ว สายตาของพวกเขาถึงกับทอประกายขึ้นมา
หอม!
หอมเป็นอย่างมาก!
เพียงแค่สูดดม พวกเขาก็ได้กลิ่นเหล้าองุ่นที่หอมอย่างเด่นชัด มันเป็นกลิ่นที่ทำให้พวกเขาต้องมองด้วยอาการตื่นตะลึงเสียด้วยซ้ำ
บัณฑิตในยุคนี้รักชอบเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก การดื่มกินร่ำสุราก็นับเป็นของคู่กัน ในสายตาของพวกเขาของพวกนี้คือสิ่งสวยงาม แม้การร่ำสุราของพวกเขาไม่ได้โดดเด่นเท่าเหล่านักรบผู้เก่งกาจ แต่พวกเขาก็ยังชื่นชอบการดื่ม ทั้งยังดื่มบ่อยครั้ง หากจะทราบเรื่องรสชาติของเหล้าองุ่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด
ทว่าพวกเขาไม่เคยได้กลิ่นของเหล้าองุ่นใดที่หอมหวานขนาดนี้มาก่อน!
“นี่เป็นเหล้าองุ่นอะไรกัน?” หลี่จื่อหยางถือแก้วขึ้นมามองเหล้าองุ่นขาวสีนวลประหนึ่งอัญมณีตรงหน้า พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะถามกับอู๋ฝาน
แม้ในยุคนี้จะมีเหล้าองุ่น แต่การบ่มเหล้าองุ่นส่วนใหญ่ยังคงมีความขุ่น ต่อให้เป็นเหล้าองุ่นชั้นสูงที่ผ่านกระบวนการกรองเพียงใด ก็ยังไม่มีรูปลักษณ์ดูดีเท่าเหล้าองุ่นขาวที่อู๋ฝานนำมาเสนอ
ดังนั้นมันจึงเป็นครั้งแรกที่หลี่จื่อหยางได้พบเห็นเหล้าองุ่นเช่นนี้ หากกลิ่นของมันไม่เตะจมูกอย่างเด่นชัด เขาคงอาจรู้สึกว่ากำลังถือแก้วน้ำเปล่าอยู่ก็เป็นไปได้
“สุดเหนือเมฆขอรับ” อู๋ฝานตอบกลับ
สุดเหนือเมฆ?
บรรดาผู้คนในที่นี้ต่างครุ่นคิด แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่เคยได้ยินชื่อเสียงของเหล้าองุ่นนี้มาก่อน